ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 448 สายเลือดของปรมาจารย์
ทันทีที่ฉินมู่กล่าวเช่นนั้น ทุกคนในตึกก็แค่นเสียงหยันไม่รู้จบ
ฉินมู่ไม่ใส่ใจพวกเขาและแย้มยิ้ม “หากว่ามิใช่มีแดนโบราณวินาศขวางกั้นระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ แผ่นดินตะวันตกถูกคงถูกสันตินิรันดร์กวาดล้างไปตั้งนานแล้ว อันที่จริงเลยนะ มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเจ้าได้ล้าหลังทอดทิ้งไปตามกาลเวลาแล้วเมื่อเทียบกับสันตินิรันดร์ และเวทมนตร์และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์ก็ยังล้าหลังอยู่บ้างในสายตาของข้า ดังนั้นข้าจึงเสาะหาความเปลี่ยนแปลง พี่หญิงและชายทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตก อยู่ใกล้ข้าขนาดนี้มันอันตรายมากเลยนะ อย่าว่าแต่วรยุทธขั้นหกทิศ แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งหลายในขั้นเจ็ดทิศ เจ้า เจ้า และเจ้า เมื่อเจ้ามาใกล้ตัวข้า ในสายตาของข้าแล้ว…”
เขาชี้ไปยังยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นและส่ายหัว “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นศพที่พูดได้เดินได้ ปัญหาเดียวก็คือว่า เจ้าจะกลายเป็นศพตอนไหนก็เท่านั้นแหละ”
ทุกคนเดือดพล่านไปด้วยจิตสังหาร เยว่ชิงซานพลันลุกขึ้นและยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน! จะจองหองไปแล้วนะ! เจ้าเมืองเกอเคอ เจ้าเป็นผู้เหย้าของที่นี่ และข้าหมายจะประมือกับจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ สามารถทำได้หรือไม่”
เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ทุกคนที่นี่เป็นแขกเหรื่อที่มาร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้แห่งเมืองหอมเบ่งบาน ไฉนต้องชักมีดขึ้นใส่กัน ทุกท่านควรเสาะหาคนรักเพื่อร่วมค่ำคืนอันแสนสำราญ นั่นไม่น่าอัศจรรย์กว่าหรอกหรือ แน่ล่ะ หากว่าทุกท่านยังยืนกรานที่จะต่อสู้ ข้าก็คงไม่อาจยับยั้งพวกท่านได้ ใช่หรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเป็นผู้ชมดูเท่านั้น
เยว่ชิงซานเดินออกไปจากตึกพลางยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน ออกมา ข้าต้องการค่าหัวเจ้าจากตำหนักสวรรค์แท้”
ฉินมู่เผยยิ้มละไมและนำเอาลูกเหล็กกลมขนาดสองคืบออกมาพลางส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องลงไปข้างล่าง ที่นี่ออกจะดี”
เขายกลูกเหล็กกลมในมือ และตึกนี้พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ค่อยๆ จมลงไปในดิน ทั้งตัวตึกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด และชั้นที่หนึ่งก็จมไปใต้ดินแล้ว ตามด้วยชั้นที่สอง จากนั้นก็ชั้นที่สาม ถึงเพิ่งหยุด
ทุกคนตกตะลึงและเกอเคอก็ชมเปาะ “ลูกกลมหนักอะไรอย่างนี้!”
“ทุกท่านโปรดชมดู” มือซ้ายของฉินมู่เขย่าลูกเหล็กกลมเบาๆ พลางกล่าว “นี่คือไจกระบี่ของข้า”
เปรี๊ยะ!
ไจกระบี่นี้แยกปริออก และกระบี่บินแปดร้อยเล่มอันเล็กละเอียดราวเส้นด้ายก็พวยพุ่งออกมา ปลายของของมันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางของลูกบอล สามารถหลอมสร้างสิ่งอันเพริศแพร้วพิสดารเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแต่ผู้หลอมสร้างจะต้องมีวิชาตีเหล็กอันสุดขีดขั้ว แต่ยังต้องมีความสำเร็จเชิงคำนวณที่พอๆ กัน
แสงเย็นเยียบสะท้อนออกมาจากกระบี่แปดพันเล่ม และผนังทั้งสี่ด้านของเรือนตึกก็ระยิบพริบพราวไปด้วยแสง พวกมันถึงกับสาดส่องลงบนใบหน้าของทุกคน
กระบี่แต่ละเล่มเหมือนกับผลงานศิลป์อันไร้ที่ติ
ฉินมู่ยกไจกระบี่ขึ้นมา และมันลอยขึ้นไป พลางหมุนวนอย่างแช่มช้า ให้ทุกคนสามารถมองเห็นโครงสร้างภายในของมันได้ “ทุกท่าน โดยปราศจากการวิวัฒน์พัฒนา มรรคา วิชา และทักษะเทวะก็จะล้าหลังไปภายในเวลาหนึ่งร้อยปี อย่าว่าแต่หนึ่งพันปี มรรคา วิชา และทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเมื่อสองหมื่นปีก่อน เพื่อปลุกดวงวิญญาณหรือดวงจิตในสรรพสิ่ง เพื่อให้พวกมันลงมือต่อสู้ได้ด้วยตัวมันเอง”
“แต่ทว่า ระยะเวลากระตุ้นการทำงานของทักษะเทวะของพวกท่านนั้นช้าเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ก็ยังต้องการระยะเวลาที่แน่นอนระยะหนึ่งในการกระตุ้นการทำงานของพวกมัน แต่ทว่า ทักษะเทวะอื่นๆ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นแสนในชั่วพริบตา เช่นนั้นใครล่ะจะให้เวลาพวกท่านกระตุ้นทักษะเทวะ ให้ข้าร่ายรำเพลงกระบี่ เพื่อที่ทุกคนที่นี่จะได้ชี้แนะให้แก่ข้า อย่าขยับ”
ถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยิ้มหยัน “หากว่าพวกเราไม่ขยับ มิใช่จะเป็นการปล่อยให้เจ้าฆ่าพวกเราได้หรอกหรือ”
ฉินมู่ยิ้มนิดๆ แล้วกล่าว “หากว่าเจ้าต้องการขยับ ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมา กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง…”
ไจกระบี่ในมือของเขาพลันแยกกระจายออกไป และกระบี่บินก็เกลื่อนเต็มตัวตึก!
เมื่อกระบี่บินแปดพันเล่มเคลื่อนไหว แทบทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเอง ในจังหวะนั้น แสงกระบี่ทั้งหมดพลันหายวับ และพร้อมกับพวกมัน ตึกอาคารก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยทะเลเลือดอันท่วมฟ้าท่วมดิน!
กระบวนท่าที่สองของภาพกระบี่ กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต
เมื่อกระบวนท่านี้ถูกร่ายรำออกไป อารมณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลและคร่ำครวญหวนไห้ก็กวาดซัดมา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขามองเห็นเทพและมารนับไม่ถ้วนดิ้นรนอยู่ในทะเลเลือดและกรีดร้องอึงอล ในพริบตาถัดมา พวกเขาก็กลายเป็นซากศพในแสงกระบี่ และจมลงไปในทะเลโลหิต!
กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต ขุนเขาและแม่น้ำทั่วทิศ จิตเวิ้งว้างขมุกขมัว เหลียวแลซ้ายมองขวา มิอาจหาผู้คนในเสื้อผ้ามาตุภูมิ
ในชั่ววินาทีนั้น พวกเขาได้ยินเสียงใครบางคนฟาดทุบโต๊ะ และบางคนกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และยังมีเสียงของทักษะเทวะที่ปะทะเข้าด้วยกันอย่างกระชั้นสั้น
ทันใด สีสันของทะเลเลือดก็จางหายไปราวกับเวลาที่ผันผ่าน และพวกเขาก็สามารถมองเห็นแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่งที่แบกกระบี่อยู่และเหลียวกลับมามอง ความเดียวดายและความเสื่อมถอยชราภาพ ได้สะกิดเส้นหัวใจของพวกเขา
ภาพแผ่นหลังนั้นหายไป และเรือนตึกก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มือของฉินมู่ยังคงยกขึ้น และในฝ่ามือของเขาคือไจกระบี่อันหมุนวนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จานและชามทั้งหมด เช่นเดียวกับอาหารการกินตรงหน้าแขกเหรื่อ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ถูกแตะต้อง
ทุกคนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ และพวกเขารีบมองไปรอบๆ ด้วยสายตาอันหวาดผวา พวกเขาเห็นศพของ อวี้จิ่นฟาง และถิงฟางล้มพับลงไปกับเก้าอี้ของพวกนางด้วยรอยเลือดที่หว่างคิ้ว และยังมีศพอีกสองศพของคนรับใช้
พวกเขาได้ตบโต๊ะต่อหน้าแสงกระบี่ของฉินมู่ และพยายามจะต่อสู้ประชันกับแสงกระบี่ของเขา ผลลัพธ์เดียวที่พวกเราประสบก็คือความตาย ส่วนคนอื่นๆ นั้นมิได้ลงมือ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดปลอดภัย
ใบหน้าของเยว่ชิงซานขาวซีดไปหมด แต่เขาก็มิได้ลงมือ นั่นไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นเจตจำนงกระบี่อันแตกตื่นสะท้านขวัญของฉินมู่ แต่เขากลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าขยับ
เกอเคอโบกมือ แล้วก็มีคนที่รีบเข้ามาเพื่อลากศพเหล่านั้นออกไป
บนที่นั่งรอบโต๊ะ สีหน้าของทุกคนซีดขาวและบางคนถึงกับเทาราวขี้เถ้า
ความน่าขนพองสยองเกล้าที่มาจากกระบวนท่าของฉินมู่นั้นรุนแรงเกินไป เพลงกระบี่ก็ยังรวดเร็วเกินไป และทำให้พวกเขาไม่อาจรับมือทัน พวกเขาได้แต่นั่งอยู่ที่นั่น และความจนปัญญาระหว่างรอคอยความตายเช่นนี้มิใช่ความรู้สึกที่ดีเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาว แม้ว่าพวกเขาจะสามารถให้จิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปจากร่างได้ พลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นแข็งแกร่งเกินไป และตึกนี้ก็จะกลายเป็นแออัดยัดเยียด กระบี่ของฉินมู่นั้นรวดเร็วอย่างสุดขีด และแสงกระบี่ก็ได้ท่วมท้นพวกเขาก่อนที่จะทันได้ทำอะไร
กระบวนท่าของฉินมู่มีฤทานุภาพร้ายกาจเกินจะหยั่ง ทั้งกระบี่แต่ละเล่มก็ถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุล้ำเลิศที่สุด ดังนั้นชีวิตของทุกคนจึงเหมือนแขวนไว้กับเส้นด้าย!
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะเทวะทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณของพวกเขาก็ช้ากว่ากระบี่ของฉินมู่ไปมากจริงๆ หากว่าพวกเขาจะต่อสู้กัน ก็มีแต่ต้องพยายามสร้างระยะห่างจากฉินมู่ก่อนที่จะพยายามขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกตน
เพราะเช่นนั้น ในตึกนี้ พวกเขาจึงไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิด
ฉินมู่เก็บไจกระบี่กลับเข้าไป และกล่าวขออภัย “พี่เกอเคอ หวังว่าท่านจะอภัยให้ข้าที่ทำให้ตึกของท่านเลอะเทอะเปรอะเปื้อน”
“ความเพริศแพร้วพิสดารในเพลงกระบี่ของเจ้าลัทธิฉินนั้นไร้ต่อต้าน ได้เปิดหูเปิดตาให้ข้า แม้ว่าท่านจะยิงกระบี่ออกไปมากมายไร้ประมาณ ท่านก็ไม่ได้ทำให้เรือนตึกของข้าเสียหายแม้รอยขีดข่วน นี่จึงนับว่าเป็นฝีมืออย่างแท้จริง ขอเรียนถามได้หรือไม่ว่า กระบวนท่านี้เป็นเพลงกระบี่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาหลังจากการปฏิรูปของจักรวรรดิสันตินิรันดร์หรือไม่”
ฉินมู่ส่ายหัว “กระบวนท่านี้มิใช่ทักษะเทวะที่เกิดขึ้นมาหลังจากการปฏิรูป แต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเมื่อสี่ร้อยห้าร้อยปีก่อน กระบวนท่านี้ก็นับว่าล้าหลังไม่ทันยุคสมัย แต่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าใช้มันก็สามารถสังหารผู้ฝึกขั้นหกทิศและเจ็ดดาวได้ทั้งหมด ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ข้าได้ แม้ว่าทุกคนที่นี่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกท่านก็ยังด้อยกว่าผานกงสั่วอยู่ดี เขานั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าพวกท่านไปหลายขุม สามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ได้ อย่างมากเขาก็บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”
ทุกคนแค่นเสียงเย็นชา หมายจะกล่าวอะไร แต่คอของพวกเขาแหบแห้งไปหมด เสียงของพวกเขาก็สั่นระริก พวกเขาจึงรีบกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้าเมืองเกอเคอ ข้าไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ ขอลา!” เยว่ชิงซานพลันประสานมือคารวะ แล้วหันกายจากไป
ในจังหวะที่เขาทำเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นและกล่าวลา ไม่นาน เรือนตึกก็เหลือเพียงฉินมู่และผู้เหย้าของเขา
“จ้าวลัทธิฉิน ท่านมิได้นำยอดฝีมือมากับท่านด้วยมากมาย มีเพียงกิเลนมังกรที่อยู่ในขั้นชาวสวรรค์ แต่ในทางกลับกัน แผ่นดินตะวันตกของข้าเต็มไปด้วยยอดยุทธ ท่านไม่กลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรอกหรือ” เกอเคอถามอย่างสงสัยใคร่รู้
ฉินมู่ยิ้มแบบไม่เชิงยิ้ม “พี่เกอเคอก็รู้จักกิเลนมังกร?” เกอเคอไม่ตอบ ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารข้า แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน การเดินทางในครั้งนี้ของข้ามิใช่มาเพื่อท้าทายยอดยุทธทั่วแดนดิน แต่เพื่อท่องเที่ยวหย่อนใจและสำรวจโลกหล้า ไม่ทราบว่าพี่เกอเคอรู้หรือไม่ว่าตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่ใด”
“ตำหนักสวรรค์แท้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา และทุกคนก็รู้จักมัน” เกอเคอยิ้มและกล่าว “หากจ้าวลัทธิฉินอยากจะไปที่นั่น ข้าสามารถชี้ทางให้แก่ท่านได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้หมายหัวข้า แต่กระนั้นพี่เกอเคอก็ยังปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงแขกผู้ทรงเกียรติ ท่านไม่กลัวตำหนักสวรรค์แท้จะมาระรานหรอกหรือ”
เกอเคอหัวร่อฮาๆ แล้วส่ายศีรษะ “แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แม้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินตะวันตกจะมีแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวนี้ แต่ก็มิใช่ตำหนักสวรรค์แท้ที่เป็นผู้ปกครองแผ่นดินตะวันตก เป็นเหนือฟ้าต่างหาก ตำหนักสวรรค์แท้ไม่ไปแจ้งข่าวแก่เหนือฟ้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก เข้ามา คนของข้า คัดลอกแผนที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกของพวกเราให้จ้าวลัทธิฉินสักฉบับ!”
ฉินมู่เคร่งขรึมสำรวจ ถ้อยคำของเกอเคอได้เผยให้เห็นข้อมูลชิ้นสำคัญ ตำหนักสวรรค์แท้และเหนือฟ้า ดูท่าจะมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง
คนรับใช้ก้าวเข้ามา และมอบแผ่นที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกให้แก่ฉินมู่ เมื่อเขารับมันมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะไต่ถาม “เจ้าเมืองเกอเคอ คฤหาสน์ของท่านดูราวกับจะปลูกสร้างแบบสถาปัตยกรรมสันตินิรันดร์”
เกอเคอยิ้มละไม “จ้าวลัทธิฉิน ท่านควรไปได้แล้ว สังหารถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และอวี้จิ่นฟางแห่งตระกูลอวี้นั้นเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น ผู้คนที่รีบรุดออกไปนั้นคงจะมิได้ไปร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่จะไปรายงานและเรียกกำลังเสริม หากว่าท่านยังรีรอ ท่านจะออกจากเมืองไม่ได้ออกต่อไป”
ฉินมู่มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้งและถาม “ปรมาจารย์อยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
เกอเคอนิ่งเงียบไป จากนั้นสักพัก เขาก็กล่าว “ไม่นานนัก เขาจะมาที่นี่ปีละหนเพื่อสอนข้าถึงเรื่องต่างๆ มากมาย ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป เขาบอกข้าว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก จ้าวลัทธิฉิน เขาจากไปแล้วหรือ”
ฉินมู่เงียบไปครู่ จากนั้นเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองลงไปยังกิเลนมังกรที่อยู่ข้างล่าง เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้กำลังเงี่ยหูผึ่งและเห็นได้ชัดว่าเขากำลังลอบฟังการสนทนาข้างบน
“ไม่” ฉินมู่เผยยิ้มและกล่าว “ปรมาจารย์อาจจะได้บรรลุเป็นเทพเจ้าไปแล้ว”
ข้างล่าง หูที่ผึ่งออกมาของกิเลนมังกรหลุบลงคืนและเขาก็หมอบลงกับพื้นด้วยหางที่เหยียดออกไป
เกอเคอมาที่ข้างกายเขาและมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นเสียงฉีเอ๋อปีนขึ้นไปบนปลายหางของกิเลนมังกร เจ้าตัวใหญ่นี้จึงยกหางขึ้น ให้เสียงฉีเอ๋อไถลลงมาราวกระดานลื่น ทำให้เด็กหญิงน้อยหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ข้าเคยพบกับกิเลนมังกรเมื่อข้ายังเด็ก แต่ดูเหมือนเขาจะจำข้าไม่ได้” เกอเคอส่ายหัว “เจ้าพาองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้มาด้วย แล้วยังหวังที่จะไปให้ถึงตำหนักทั้งยังเป็นๆ อีกหรือ มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์แท้ถึงอยากจับตัวเจ้ามากขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าจริงๆ น่ะหรือ ในเมื่อข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าย่อมมีความสามารถและกลเม็ดอยู่บ้าง! ท่านพ่อได้สอนข้าไว้หลายอย่าง!”
ฉินมู่เดินออกไปจากเรือนตึกพลางส่ายหัว “ท่านก็มีครอบครัวของท่าน และข้าคงไม่ชักนำเภทภัยมาพัวพันท่านหรอก มังกรอ้วน ฉีเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
เกอเคอส่งพวกเขาออกนอกคฤหาสน์และโบกมือลา ฉินมู่ดูจะสังเกตเห็นและหันกลับมาโบกมือตอบเช่นกัน
เกอเคออดไม่ได้จึงถามคำถามสุดท้าย
“ข้าจะพบเขาได้อีกไหม”
“หลังจากที่ท่านบรรลุเป็นเทพ ท่านก็อาจจะได้พบเขา” ฉินมู่ตะโกนกลับไปด้วยเสียงอันดัง
เกอเคอแย้มยิ้มระหว่างที่ส่งพวกเขาไป แต่เมื่อคณะฉินมู่ลับสายตา สีหน้าของเขาก็หดหู่
ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงท่านพ่อ เขาใช้คำว่าอาจจะ ท่านพ่อจากไปแล้วจริงๆ…