ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 453 มหิทธานุภาพแห่งจ้าวลัทธิมาร
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 453 มหิทธานุภาพแห่งจ้าวลัทธิมาร
สีหน้าอวี้ป๋อชวนแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบถลันถอยออกไปพลางร้องตะโกน “หมอนี่มันแกล้งตาย! ศิษย์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเราสังหารเขาได้ด้วยการทำลายภาพวาด!”
หญิงสาวมากมายรอบกายเขาพลันก้าวเข้าไปและโจมตีภาพวาด ในจังหวะเดียวกันนั้น แสงกระบี่ก็พวยพุ่งออกมา มันสะเทือนเลื่อนลั่น และการเปลี่ยนแปรอันอัศจรรย์ก็ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมดูทั้งหลาย มันมิใช่แสงกระบี่อีกต่อไป แต่เป็นภูเขาและแม่น้ำที่ลอยเข้ามาปะทะใส่หน้าพวกเขา
ศิษย์หญิงกว่าสิบคนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ถูกทิวทัศน์ท่วมท้นกลบมิดทันที ร่างอันระหงงดงามของพวกนางดูราวจะแข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะแหลกสลายไปเหมือนเม็ดทราย
ความเร็วของภูเขาและแม่น้ำที่ท่วมท้นเข้ามานั้นเร็วอย่างสุดกู่ และกลบกลืนรถสมบัติในพริบตา ท่วมทับอวี้ป๋อชวนที่อยู่ข้างหลัง
อาจารย์พยุหะเหออีอีไม่ขยับ แต่สีหน้าแตกตื่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้านาง “สุดยอดเพลงกระบี่อย่างแท้จริง เขาไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้สักเท่าไรเลย”
ข้างหลังนาง ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดจากตระกูลใหญ่เมืองต้นไผ่กำลังพลุ่งพล่าน พร้อมที่จะเข้าไปกลุ้มรุมสังหารฉินมู่ แต่เหออีอียกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องช่วย นายน้อยอวี้เพียงแค่เชิญพวกเรามาจัดวางกระบวนพยุหะเพื่อกักขังจ้าวลัทธิฉินแห่งแผ่นดินภาคกลาง เขาร้องขอพวกเราเพียงเท่านี้ ดังนั้นเราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือเขาอีก”
ทุกคนจึงต้องหยุดอยู่กับที่
กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่นั้นมิได้ท่วมซัดมาทางพวกเขา และเหออีอีก็กล่าวด้วยเสียงเบา “เขาก็เผยการยั้งมือที่เหมาะสม…”
พลานุภาพของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ได้สังหารสาวงามนับสิบแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนตัวสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่และตะโกนออกไป “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราไม่สนทนากันหน่อยหรือ”
เสื้อผ้าเขาสะบัดพลิ้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษ แต่ก็มีเครื่องประดับมากมายบนร่างกาย มันมีทั้งกำไลเงิน หยก และโซ่ จี้หยก แหวน สร้อยคอ ปิ่นปักผม แม้กระทั่งจี้อายุวัฒนะที่พรั่งพรูออกไปทั้งหมด
พวกมันล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณของเขา และพลานุภาพของมันยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้ว พวกมันมิได้เป็นผลงานของอวี้ป๋อชวน แต่เป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสของเขามอบให้เพื่อความปลอดภัย
อาวุธวิญญาณเหล่านี้มีพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ปิ่นปักผมมังกรเขียวสั่นเทิ้มอย่างแผ่วเบา และแปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวเสียงคำรามของมันครั่นครื้นไปในอากาศ และรูใหญ่ก็ถูกเป่าทะลุท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ
อวี้ป๋อชวนลิงโลด และรีบกระโดดออกไปผ่านรูนั้น แต่ทันใดนั้น เขาก็สูญเสียการเชื่อมต่อกับปิ่นมังกรเขียว
ถัดมา เขาก็สูญเสียสัมผัสกับสมบัติชิ้นอื่นๆ และความสยองขวัญก็ถั่งโถมเข้ามาในใจเขา เพลงกระบี่อันเพริศแพร้วอย่างที่สุดของฉินมู่ได้สะบั้นการเชื่อมต่อปราณชีวิตระหว่างเขากับสมบัติวิเศษ นี่ทำให้เขามิอาจใช้สอยสมบัติใดแม้ว่าจะมีมันอยู่มากมาย
เพลงกระบี่อันมหัศจรรย์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
ขณะที่เขากระโดดออกมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์นั่นเอง เขาก็เห็นกิเลนมังกรคว้าจับเขาด้วยกรงเล็บ เขารีบถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของเขาออก และพวกมันก็ลอยขึ้นทวนกระแสลม พวกมันขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นราวกับว่าเป็นเมฆก้อนหนึ่ง
กรงเล็บกิเลนมังกรตะปบโดนเสื้อผ้า แต่พวกมันอ่อนนุ่มและดูเหมือนจะว่างเปล่า และกิเลนมังกรก็ร่วงจมลงไปในเสื้อผ้าเหล่านั้นลึกขึ้นทุกที
อวี้ป๋อชวนหันกายวิ่งหนีไปด้วยท่อนบนเปลือยเปล่า แต่เขาได้ยินเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากกิเลนมังกรข้างหลังเขา เพลิงไฟพวยพุ่งออกมา และเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
“อาจารย์พยุหะ ช่วยข้าด้วย!” อวี้ป๋อชวนตะโกนออกไป “หากว่าข้าตายในเมืองต้นไผ่ของเจ้า พวกเจ้าไม่มีทางหลีกหนีความรับผิดชอบได้!”
เมื่อเขาร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ยอดฝีมือนับร้อยข้างหลังอาจารย์พยุหะก็พากันขมวดคิ้ว
หญิงผู้หญิงกระซิบกล่าว “ถึงอย่างไรนายน้อยอวี้ก็เป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ หากว่าเขาตายที่นี่พวกเราย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์ หรือป้าโก่ว ก็ล้วนแต่เป็นตัวตนที่ยากจะรับมือ! อาจารย์พยุหะ โปรดไตร่ตรองอีกสามครา!”
เหออีอีส่ายหัว “ไม่ต้องช่วย”
ทุกคนมองกันและกันด้วยความหนักอึ้งในใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกระทำเช่นนั้น
“ข้าไม่สามารถสังหารจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง แต่ข้าได้พยายามลงมือกับเขาและ และความบาดหมางก็ก่อเกิด หากว่าข้าไปขัดขวางและช่วยชีวิตนายน้อยอวี้ ความแค้นระหว่างข้ากับจ้าวลัทธิฉินก็จะไม่มีทางคลี่คลายไปได้” เหออีอีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า สันตินิรันดร์แห่งแผ่นดินภาคกลางกำลังอยู่ระหว่างการปฏิรูป พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกคืนวัน และได้ยึดครองทุกๆ สิ่งในหกทิศทาง และกวาดล้างทั้งแปดแดนเถื่อน ทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็งก็ล้วนแต่ตกอยู่ในเงื้อมมือของสันตินิรันดร์ อย่างไรก็ตามเป้าหมายต่อไปนั้นมิใช่แดนโบราณวินาศ แต่เป็นแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา หากว่าตำหนักสวรรค์พ่ายแพ้ให้แก่สันตินิรันดร์ ลัทธิมารฟ้าก็จะเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก และนั่นก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเรา”
ทุกคนเลือดในกายเย็นเฉียบ
แต่เหออีอียังกล่าวไม่จบ “ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะนายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนจะไม่มีกลเม็ดในการป้องกันชีวิตของเขาได้อย่างไร นายน้อยอวี้ได้ไล่ล่าไหน่ขุยจนแทบต้อนให้นางตกตาย อันมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น เข็มขัดหยกก็พุ่งออกมาจากเอวของอวี้ป๋อชวน และแปลงร่างเป็นงูใหญ่ที่รัดพันกิเลนมังกรอันกระโจนขย้ำเข้าใส่เขา
อวี้ป๋อชวนหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุน แต่แสงกระบี่พลันพุ่งวาบมาสามครา ร่างของอวี้ป๋อชวนแยกออกเป็นสี่ส่วนกลางอากาศ ขาของเขายังวิ่งตะบึงไปข้างหน้า แต่ศีรษะค้างนิ่งอย่างตกตะลึง
หน้าอกเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสองแล่ง
ฉินมู่รั้งกระบี่ของเขากลับมา ในจังหวะนั้น อวี้ป๋อชวนที่ถูกผ่าสี่ก็ร่วงลงมาจากอากาศกลายเป็นก้อนไม้สี่ก้อน
“วิชาตัวตายตัวแทนอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ตะลึงไป เขายกมือขึ้นคว้าจับไจกระบี่ที่ลอยลิ่วออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขา จากนั้นขว้างมันไปอย่างดุดัน
ไจกระบี่ขนาดสองคืบ ส่งเสียงหวีดหวือและปั่นหมุนไปข้างหน้า ข้างในนั้นคือแสงอันเย็นเยียบที่ยิงไปลงไปในพื้นดิน และทะลวงลึกเข้าไปในนั้น!
เงาร่างมนุษย์หนึ่งทะลวงขึ้นมาจากใต้ดิน อันไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอวี้ป๋อชวน ข้างหลังเขาคือแสงกระบี่อันมุดเข้าใต้ดินเพื่อขับไล่เขาออกมาและไล่ล่าเขาอย่างไม่ยอมให้พักหายใจ
อวี้ป๋อชวนเงยศีรษะขึ้นมาและเห็นไจกระบี่พุ่งมายังศีรษะของเขา และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน หากว่าเขาถูกโจมตีโดยไจกระบี่อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบนั่นล่ะก็ ใบหน้าเขาคงยุบเข้าไปในกะโหลก หรือแม้แต่ทั้งหัวเขาก็คงยุบเข้าไปในอก
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็แปลงเป็นดิน และร่วงลงมาจากฟากฟ้า
รอยชั้นพยุหะปรากฏในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขาจ้องมองลงไปยังพื้น สายตาของเขาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและพลันสั่นเทิ้ม เขาพุ่งทะยานเลียดดินออกไปจากเมืองต้นไผ่ และซัดใส่กองหินภูเขาที่หน้าเมือง กองหินนั้นพลันระเบิดออก และร่างของอวี้ป๋อชวนก็ปรากฏท่ามกลางหินที่แหลกละเอียด!
“อาจารย์พยุหะ ข้าจะสังหารเขานอกเมือง ถือว่าข้าให้ช่องทางที่ท่านจะเจรจาได้!”
เมื่อเสียงของฉินมู่ดังก้องไปทั้งเมือง เหออีอีก็ขมวดคิ้ว นางเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ไกลๆ และเห็นฉินมู่ยื่นมืออกไปคว้าจับมีดของเขา มีดเชือดหมูลอยขึ้นมาเอง และเขาจับด้วยท่าจับย้อน
ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองเฉียดผ่านกันในอากาศราวกับลูกข่างที่หมุนติ้วสองลูก ซัดหมัดแลกมีดกันไปมา
ฉัวะ…
แสงโลหิตฉายส่อง และฉินมู่ร่วงลงเหยียบพื้นดินด้วยศีรษะในมือของเขา โลหิตยังคงหยดติ๋งๆ จากมีดในมืออีกข้าง
ข้างหลังเขา ศพของอวี้ป๋อชวนร่วงลงกับพื้นและกระดอนไปสองตลบ
ข้างในเมือง สีหน้าของอาจารย์พยุหะเหออีอีและยอดฝีมือคนอื่นๆ กลายเป็นเหม่อค้าง เมื่อพวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังถือหัวขาด
เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะราชามาในมือ!
เพลงมีดของคนแล่เนื้อ ก็ดุดันโอหังเหมือนกับบทกวีของเขา!
ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ทั้งโอหังและดุดัน เขาได้สังหารอวี้ป๋อชวน ผู้ซึ่งเหออีอีคิดว่าจะหนีรอดไปได้!
“นายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ตายไปแล้ว…”
หางตาของทุกๆ คนกระตุกบิดเบี้ยว และอารมณ์ของพวกเขาก็หนักอึ้งอย่างถึงที่สุด
จ้าวลัทธิฉินนำมาเพียงกิเลนมังกรและองค์หญิงน้อย แต่กล้าหาญชาญชัยบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก พลางเข่นฆ่าทุกคนที่ขวางทางเขา หลังจากที่เขาเงื้อมีดและสังหารกระทั่งบุตรชายแห่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ เขานั้นก็เหมือนเสือโหยที่เต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน สมกับชื่อเสียงกิตติศัพท์ของจ้าวลัทธิมารฟ้า!
กล่าวกันว่าลมปั่นป่วนเป็นสัญญาณของพายุภูเขา
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วมีนายน้อยอวี้เป็นบุตรเพียงคนเดียว แต่เขาตายที่นอกเมืองต้นไผ่ จ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลางนั้นนับว่าอำมหิตและเฉียบขาดอย่างแท้จริง ตราบเท่าที่เขาพบโอกาสเพียงน้อยนิด เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือและไม่ปล่อยให้ศัตรูมีความหวังสักนิด!
อยากที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของเขานั้นยากยิ่งกว่ายาก มีแต่ปลาไหลเรียกทวดอย่างผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านง่ามมือเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความสามารถในการหลบหนีของอวี้ป๋อชวนนั้นเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมาเป็นหมื่นปีมาก ต่อให้เขาเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วก็ตาม
เหออีอีเดินออกไปจากเมืองและเห็นฉินมู่วางศีรษะของอวี้ป๋อชวนลงไป เขานำไหสุราออกมาและรินสุราจอกหนึ่งเพื่อวางไว้ข้างๆ ศพของศัตรู
“เจ้าชอบมีบทสนทนากับศพที่เจ้าเพิ่งสังหาร” ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและกลืนสุราเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นวางไหลงข้างๆ หัวของอวี้ป๋อชวน พลางกล่าวอย่างเรียบเรื่อย “แต่ข้าไม่ชอบ ไม่มีอะไรคุย ลาก่อน” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเหออีอี
“จ้าวลัทธิฉิน” เหออีอีคราวะทักทาย
ฉินมู่คารวะตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่สาวอาจารย์พยุหะ ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร”
เหออีอีมองไปที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ “จ้าวลัทธิไม่ทราบนามของข้าหรอกหรือ ข้าแซ่เหอ นามอีอี เหอนั้นเป็นแซ่ตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตก และข้าได้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาจากการสั่งสอนของบิดามารดา”
“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่กล่าว “ความสำเร็จของพี่สาวอีอีในวิชาพยุหะไม่เลวเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจไขมันออกได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้โลกในภาพวาดเพื่อหลบหนี ที่แท้พี่สาวอีอีก็ได้รับสืบทอดมรดกยุทธจากตระกูลอันเลื่องชื่อของนาง ตระกูลเหอของท่านนั้นนับว่าเหนือธรรมดาในด้านวิชาพยุหะ ดังนั้นท่านนับได้ว่าเป็นอันดับสามในโลกหล้า”
ข้างหลังเหออีอี ทุกคนค่อนข้างมีโทสะ วิชาพยุหะของตระกูลเหอนั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า อันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทราบกันดี กระนั้นเมื่อออกมาจากปากฉินมู่ พวกเขากลายเป็นอันดับสาม นี่จะไม่ให้มีโทสะได้อย่างไร
เหออีอีมองไปที่เสียงฉีเอ๋อและดูราวจะจดจำนางได้ นางแย้มยิ้มและกล่าวถาม “ข้าไม่สนใจว่าจะเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสาม จ้าวลัทธิฉินนำองค์หญิงน้อยไปยังตำหนักสวรรค์แท้นั้นดูค่อนข้างมีแผนการสมคบคิด ในสายตาของข้า ดูราวกับว่าจ้าวลัทธิเพียงเอาชีวิตไปทิ้งเล่นๆ ด้วยการดั้นด้นไปตำหนักสวรรค์แท้ แต่ท่านดูไม่เหมือนผู้คนที่จะทิ้งชีวิตตนเอง ท่านช่วยไขปริศนานี้ได้หรือไม่”
“พี่สาวอีอี ท่านต้องการสนทนาที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”
เหออีอีจึงเชิญเขาเข้าไปในเมือง และเข้าไปในโถงวังหลัก ฉินมู่นั่งลงที่นั่นและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาจารย์พยุหะน่าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่ จริงไหม”
เหออีอีสะท้านใจเล็กน้อย และนางร้องออกมา “ท่านวางแผนว่าจะช่วยไหน่ขุยชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา! ไหน่ขุยก็อยู่ที่นี่! นางเพียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง!”
ฉินมู่หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว
“พี่สาวอีอีดูแคลนข้าไปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ของข้าอยู่ใต้บัญชาของจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิ!”
ในโถงนั้น ยอดฝีมือทั้งหลายจากทุกสาแหรกตระกูลแห่งเมืองต้นไผ่มองกันไปมา ใต้บัญชาจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ
ฉินมู่เพียงแค่คนเดียวเนี่ยนะ?
เหออีอีสายตาวูบไหว “น้ำเสียงของจ้าวลัทธิฉินจะไม่โอหังไปหน่อยหรือ ท่านมีคุณสมบัติอะไรถึงจะมายึดครองแผ่นดินตะวันตก”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าคือจ้าวลัทธิมารฟ้า และนั่นก็เป็นคุณสมบัติในตนเอง ลัทธิมารฟ้าของข้ามีผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนล้าน และด้วยการโบกมือของข้าคราวเดียว คนเรือนล้านนี้ก็จะมารวมตัวกัน ด้วยการชี้นิ้วของข้า กองทัพผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายก็จะถล่มทุกสิ่งที่ขวางทางให้ราบเป็นหน้ากลอง”
“แผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นสันติสุขมาช้านาน หัวเมืองและแว่นแคว้นต่างๆ ก็มิได้อยู่กันเป็นปึกแผ่น อย่าว่าแต่แสนยานุภาพของจักรพรรดิ แม้เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านของลัทธิมารฟ้าข้าก็เห็นพวกท่านเป็นแค่ไก่กระเบื้องและสุนัขดินเผาที่ไม่อาจทนทานการโจมตีแม้เพียงหวดเดียว!”
เขายืนขึ้นด้วยมือไพล่หลัง “ข้าได้หลอมสร้างปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่ยิงปลิดชีวิตของเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ข้าได้สยบเทพครองแดนเลี้ยงมังกรและสั่งให้เขาพิทักษ์รักษาแม่น้ำหย่ง จากนั้นก็สยบเทพป๋ายซี่แห่งเหนือฟ้า สั่งให้เขาปกปักษ์ขุนเขาร้อยปี”
“สันตินิรันดร์ของข้าทำศึกที่เทือกเขาเทพทำลาย และขจัดกวาดล้างเทพทุกตนแห่งเหนือฟ้า!” สายตาของเขาประดุจสายฟ้าเมื่อเขากวาดมองไปยังทุกๆ คน “หากว่าข้าหมายจะทำลายล้างแผ่นดินตะวันตกของพวกท่าน ลำบากเพียงแค่ดีดนิ้ว!”
ทุกคนสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
ฉินมู่จึงแย้มยิ้ม “แต่ข้าไม่ปรารถนาให้ผู้คนแห่งแผ่นดินตะวันตกถูกกวาดล้าง แม้แต่ทำลายสันติสุขที่นี่ข้าก็ไม่ยินดี หากว่าไหน่ขุยได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางคืนมา นางก็จะนำตำหนักสวรรค์แท้ไปสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ ทหารก็จะไม่ถูกเกณฑ์ไปสักคนเดียว และไม่มีชีวิตใดที่จะถูกทำลาย ดังนั้นข้ามาเสี่ยงชีวิตที่นี่จะเสียหายอะไร ความปลอดภัยของข้ามิได้สำคัญเท่ากับชีวิตของผู้คนทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกเลยแม้แต่น้อย พี่สาวอีอี ท่านจะยื่นมือช่วยเหลือข้าหรือไม่”
เหออีอีมองไปที่ยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งเมืองต้นไผ่ และพบว่าพวกเขาล้วนแต่สะพรึงกลัว
นางขมวดคิ้ว จากนั้นก็มีรอยยิ้มคลี่ออกมาประดับริมฝีปาก “จ้าวลัทธิฉินกล่าวว่าวิชาพยุหะของข้าเป็นอันดับสามในโลกหล้า ดังนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผู้ใดคืออันดับหนึ่ง และผู้ใดคืออันดับสองด้วยเช่นกัน อีอีใคร่จะล้างหูรับฟังเรื่องนี้”