ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 457 ตระกูลหลิ่วแห่งหุบเขาฝังเทพยดา
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 457 ตระกูลหลิ่วแห่งหุบเขาฝังเทพยดา
เสียงฉีเอ๋อกอดลูกแก้วมังกรเขียว ในเมื่อมันค่อนข้างลูกใหญ่ ขนาดเท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ นางนั้นอายุเยาว์เกินไป และต้องประคองมันไว้ด้วยความพยายามอยู่หน่อยๆ
ฉินมู่เห็นปฏิกิริยาของหลิ่วหรูยิน และรู้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ลูกแก้วมังกรเขียวนี้จำเป็นต้องใช้เด็กหญิงอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาปลดปล่อยพลานุภาพของมันจริงๆ
มิน่าล่ะ แผ่นดินตะวันตกถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยนัก
หลิ่วหรูยินปิดหน้าของนางไว้ด้วยแขนเสื้อ เผยดวงตาเพียงข้างเดียว มันเป็นสีขาวผีสางและมีแก้วตาดำเล็กจิ๋วเท่าเม็ดถั่วเหลืองอยู่ตรงกลางอันดูพิลึกประหลาด
“จ้าวลัทธิ โปรดอย่าเข้าใจผิด”
ข้างหลังหลิ่วหรูยิน เสียงระเบิดดังมาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ เมื่อ ‘ศพ’ ทั้งหลายที่ไม่รู้เป็นหรือตายร่วงกลับลงไปในโลงที่ปิดกลับเข้าไปเองโดยอัตโนมัติ
หลิ่วหรูยินก็กระโดดกลับเข้าไปในโลงของนางพลางหัวเราะคิกๆ “พวกเราเพียงแต่มาดูว่าองค์หญิงน้อยสบายดีหรือไม่ บัดนี้พวกเราพบว่าองค์หญิงปลอดภัยดี หรูยินก็ค่อยหายห่วง ลาก่อน!”
โลงนั้นงอกขาออกมาอีกครั้ง และวิ่งกลับไปทางหน้าผา
“ผู้นำตระกูลหลิ่ว โปรดรอสักประเดี๋ยว” ฉินมู่กล่าวทันที
หลิ่วหรูยินผู้ซึ่งกำลังจะปิดฝาโลงของนางก็ชะงักเมื่อได้ยินเขากล่าว นางยืดตัวขึ้นมาและเค้นรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิเหลือทางรอดให้พวกเราบ้าง อย่าอำมหิตนัก”
เสียงของนางสั่นเทิ้ม และดูเหมือนกับว่านางหวาดผวาอย่างเป็นที่สุด
ฉินมู่ฉงนฉงาย นี่มันก็แค่ลูกแก้วมังกรเขียวไม่ใช่หรือ
เสียงฉีเอ๋อถือมันอยู่ และแม้ว่านางจะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของมันได้ แต่มันก็ไม่น่าจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นนี่นา…ทำไมหลิ่วหรูยินและคนอื่นๆ ถึงต้องแตกตื่นขนาดนั้น
“ผู้นำตระกูลหลิ่ว พวกเจ้ามาตามคำสั่งของตำหนักสวรรค์แท้ใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ในเมื่อมันเป็นคำสั่ง ก็ต้องมียอดฝีมือแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ในตระกูลเจ้าสินะ? ข้าอยากจะพบพวกเขาเสียหน่อย ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลจะแนะนำให้ข้ารู้จักได้หรือไม่”
หลิ่วหรูยินตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าของฉินมู่ดูอบอุ่นราวสายลมฤดูใบไม้ผลิเมื่อเขาแย้มยิ้ม “ผู้นำตระกูลหลิ่วอาจจะยังไม่ทราบ แต่ข้าไม่มีจิตเจตนาร้ายต่อแผ่นดินตะวันตก ข้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวชมทิวทัศน์และวัฒนธรรมพื้นถิ่นเท่านั้น สาเหตุที่ข้าพาองค์หญิงน้อยมาด้วย นั่นก็เพียงเพราะว่านางเป็นคนของแผ่นดินตะวันตกและคุ้นเคยกับภูมิประเทศมากกว่าข้า”
“คุ้นเคยกับภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตก?” หลิ่วหรูยินกะพริบตาใส่เขา
เสียงฉีเอ๋อนั้นอายุเพียงราวๆ หกขวบ และอาศัยอยู่แต่ในตำหนักสวรรค์แท้ตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งเดียวที่นางน่าจะคุ้นเคย ก็คงจะเป็นภูมิประเทศในเขตรั้วบ้านนาง อย่างนั้นนางจะมีความทรงจำภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตกได้อย่างไร ปล่อยให้เสียงฉีเอ๋อนำทาง ไม่แตกต่างอะไรจากปล่อยให้คนตาบอดคลำช้าง
จ้าวลัทธิฉินจากแผ่นดินภาคกลางผู้นี้ ช่างมีวิธีโกหกจริงๆ
คำพูดต่อไปของหลิ่วหรูยินจึงเลือกสรรเป็นอย่างดี “จ้าวลัทธิฉิน มังกรข้ามแม่น้ำไม่อาจสู้งูเจ้าถิ่น แม้ว่าปูมหลังความเป็นมาของท่านจะยิ่งใหญ่ แต่ตระกูลหลิ่วของข้าก็มิอาจตอแยได้โดยง่ายเช่นกัน โปรดระวังการดิ้นรนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันของพวกเรา”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความตื่นตระหนก “ผู้นำตระกูลหลิ่วพูดอะไรน่ะ ข้าเพียงแต่ต้องการพบกับศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับพวกเขา ข้ามิได้คิดอะไรไม่ดีเลย หากว่าข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าคงบอกให้องค์หญิงน้อยกระตุ้นการทำงานของลูกแก้วมังกรเขียวไปแล้ว และท่านคิดหรือว่าพวกท่านจะหนีรอดไปได้”
สีหน้าของหลิ่วหรูยินเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ แต่ทว่าฉินมู่ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียงแต่ยืนอยู่ที่นั่นและรอคำตอบของนาง
เขามิได้พูอะไรสักคำ และ ‘ศพ’ ทั้งหลายในโลงก็มิกล้าลงมือใดๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง หลิ่วหรูยินก็หัวเราะคิกคัก และกล่าว “ในเมื่อจ้าวลัทธิฉินกล่าวเช่นนั้น ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร จ้าวลัทธิ โปรดเข้ามาในโลงศพของข้า และให้ข้าพาท่านไปยังตระกูลหลิ่วเพื่อพบปะศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ข้าไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิจะมีขวัญกล้าพอหรือไม่”
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่นาง “จะยากอะไรล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร เดินมายังข้างๆ โลงศพของหลิ่วหรูยิน
เมื่อเขามองไปข้างใน ก็อดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ โลงศพนี้เมื่อมองจากข้างนอกดูไม่ใหญ่โต แต่พื้นที่ข้างในนั้นน่าตระหนก ความกว้างและความยาวของมันมากกว่าสิบห้าวา และมีความลึกถึงเจ็ดแปดวาอีก มันเหมือนกับบ้านใหญ่หลังหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีโต๊ะ เก้าอี้ และกระทั่งเตียงหยก มันแบ่งออกเป็นหลายห้อง และมีทั้งครัวและห้องนั่งเล่น กระทั่งมีที่ให้คนรับใช้พักอาศัย ทำให้มันดูไม่ต่างอะไรไปจากราชวังประณีตและเล็กจิ๋วหลังหนึ่ง
ฉินมู่เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อหลิ่วหรูยินกระโดดออกมาจากโลงศพ เขาก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขานึกว่าผีดิบได้กระโดดออกมา ไม่นึกเลยว่าอันที่จริงแล้วเป็นสถานที่พักอาศัยของนาง
เขามองไปยังโลงดำหลังอื่นๆ และครุ่นคิดสงสัย หรือว่าพวกมันทั้งหมดจะเป็นแบบเดียวกันนี้ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ตระกูลหลิ่วพักอาศัย โลงศพเหล่านั้นงอกขาออกมาและเดินไปด้วยตนเอง แม้ว่าจะใช้วิธีการอันแตกต่างจากพี่สาวอีอีในการเสกเมืองให้เคลื่อนไหวได้ แต่ก็มหัศจรรย์และได้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน
“มังกรอ้วน เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ!” ฉินมู่หันไปส่งยิ้มให้กับเขา
กิเลนมังกรดูลังเลเล็กน้อย และส่ายหัว “จ้าวลัทธิ ข้านั้นถือโชคลางอยู่หน่อยๆ ดังนั้นข้าขอไม่เข้าไปดีกว่า”
ฉินมู่ด่าเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นพาเสียงฉีเอ๋อเข้าไปในโลงศพ ทิ้งกิเลนมังกรไว้ข้างนอกหลิ่วหรูยินปิดโลงด้วยเสียงปัง และพวกเขาก็รีบจากไปพร้อมกับโลงศพอันวิ่งไปข้างหน้า บางโลงก็ลอยไปในอากาศ คุ้มกันหลิ่วหรูยินข้ามภูเขา
กิเลนมังกรตามไปข้างหลังพวกเขา และหลังจากข้ามเขาไปหลายลูก โลงดำของตระกูลหลิ่วมากมายก็ลอยว่อนไปมาราวกับเรือดำบนฟากฟ้า พวกมันก่อขึ้นมาเป็นแถวขบวนเมื่อเข้าไปในปากสุสานใหญ่มหึมา
กิเลนมังกรตัวสั่นเทาพลางบ่นพึมในใจ แต่ทว่า เขาก็ยังคงฝืนใจกล้าเข้าไปในสุสานนั้นพร้อมกับขบวนโลงศพ
ในโลง ฉินมู่นั่งพร้อมกับอุ้มเสียงฉีเอ๋อเอาไว้บนตัก หลิ่วหรูยินนั่งตรงกันข้ามกับเขา และทั้งสองฝ่ายมองซึ่งกันและกันอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศเคร่งขรึมเงียบงัน
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “ผู้นำตระกูลหลิ่ว ใครคือประมุขของพวกท่านหรือ”
แก้วตาดำเล็กเท่าเม็ดถั่วในดวงตาหลิ่วหรูยินหมุนเกลียววน ก่อนจะหดกลับมาเท่าเดิม นางส่งยิ้มกลับไปให้เขา “จ้าวลัทธิฉินเป็นคนนอก ดังนั้นท่านอาจจะไม่รู้เรื่องตระกูลหลิ่วของข้า ข้าเป็นประมุขของที่นี่”
ฉินมู่ตกตะลึง “ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกท่านว่าผู้นำตระกูลหลิ่วก็ถูกต้องแล้วสิเนี่ย พี่สาวหรูยิน วิชาตระกูลหลิ่วของท่านแปลกประหลาดเสียจริง เมื่อข้าเห็นพวกท่านเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งหมดเป็นซากศพเสียอีก! ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้”
หลิ่วหรูยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ และตวัดตามองเขาด้วยความยินดีที่ปิดไม่มิด “ปากของเจ้าหวานจริงๆ ผู้คนของเผ่าพันธุ์ข้า โดยเฉพาะพวกผู้ชาย มีคนไหนบ้างที่กล้าปากหวานอย่างนี้เวลาเจอข้า แค่พวกเขาไม่ขวัญหนีดีฝ่อตายก็บุญขนาดไหนแล้ว! ผู้ชายตัวเหม็นบางพวกฉี่ราดด้วยความหวาดผวา และบางพวกก็วิญญาณกระเจิดกระเจิงหลุดจากร่าง ในทางกลับกัน จ้าวลัทธิกลับสามารถสนทนากับข้าอย่างแช่มชื่นและเรียกข้าว่าพี่สาวได้”
เสียงฉีเอ๋องุนงงและคิดในใจ ดูเหมือนพี่ชายจะเรียกผู้หญิงทุกคนที่เขาพบปะว่าพี่สาว…
ปราณศพรอบกายหลิ่วหรูยินกลายเป็นเบาบางลงเมื่อนางเผยยิ้ม “วิชาฝึกปรือของตระกูลหลิ่วพวกข้านั้นแตกต่างจากทั่วไป เมื่อพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครที่แซ่หลิ่ว มีแต่หลังจากตายไปแล้วถึงกลายเป็นคนแซ่หลิ่ว”
ฉินมู่สะท้านใจและเขาร้องออกมา “พวกท่านทั้งหมด!”
“ตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันออกของพวกข้ามีที่มาอันโบราณกาลเป็นอย่างยิ่ง อันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีพรายวิญญาณกำเนิดขึ้นมาในซากศพ เล่าขานกันว่าบรรพชนตระกูลหลิ่วถูกกลบฝังไว้ใต้ต้นหลิว แต่ไม่นานนักก็เกิดพรายวิญญาณขึ้นมาในศพ และเขาก็ตั้งแซ่ของตนว่าหลิ่ว”
“เพราะว่าพวกเราถือกำเนิดจากศพ กายเนื้อของพวกจึงตายไปแล้ว และไม่อาจให้กำเนิดทายาท แต่ทว่าพวกเรายังคงมีอายุขัย เมื่อดวงจิตของพวกเราสิ้นอายุขัย ดวงวิญญาณพวกเราก็จะกระจัดกระจายไป ผู้คนข้างนอกกล่าวว่าตระกูลหลิ่วของพวกเรานั้นพิลึกกึกกือ และไม่ติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่พวกเขาเข้าใจผิด มิใช่ว่าพวกเราไม่อยากจะติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่เพราะว่าพวกเราล้วนแต่เป็นพรายวิญญาณที่ก่อเกิดจากซากศพ ดังนั้นพวกเราจึงกริ่งเกรงว่าจะถูกจับไปทำเป็นอาวุธวิญญาณ”
“เมื่อยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ขอให้ท่านจัดการกับข้า และพวกท่านตกลง หรือว่าตำหนักสวรรค์แท้มีความสามารถที่จะทำลายล้างตระกูลหลิ่ว และหลอมสร้างพวกท่านให้เป็นอาวุธวิญญาณใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ
หลิ่วหรูยินสีหน้าแปรเปลี่ยน
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและสีหน้าของเขาก็กลับมาชื่นมื่นเหมือนเดิม เขาแย้มยิ้ม “พี่สาวหรูยิน การที่ท่านเป็นผู้นำตระกูลหลิ่วได้ วรยุทธของท่านต้องเหนือล้ำกว่าข้าไปไกล เช่นนั้นท่านจะยังหวาดกลัวข้าอยู่ได้อย่างไร น้องชายผู้นี้เพียงแต่อวดโอ่ขึงขัง และรู้จักแต่ข่มขวัญผู้คนเท่านั้น จริงๆ แล้วข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย”
หลิ่วหรูยินถอนหายใจโล่งอกและยิ้มกลับไป “เจ้าทำให้พี่สาวผู้นี้ตกใจจริงๆ แล้ววรยุทธของจ้าวลัทธิฉินอยู่ขั้นใด”
“ข้านั้นอยู่เพียงแค่ขั้นหกทิศ พี่สาววางใจได้หรือยัง” ฉินมู่กล่าวไปตามตรง
หลิ่วหรูยินคลายใจลงจริงๆ แต่นางก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับลูกแก้วมังกรเขียวในมือของเสียงฉีเอ๋อ
วัตถุชิ้นนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ร้ายกาจที่สุดต่อตระกูลหลิ่ว เมื่อพลานุภาพของลูกแก้วมังกรนี้ขับเคลื่อนออกไป ไม่ว่ายอดฝีมือตระกูลหลิ่วจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีวันต่อต้านมันได้!
สาเหตุที่ตระกูลหลิ่วยอมสยบต่อตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะลูกแก้วมังกรเขียว
“พี่สาวหรูยิน ใครคือคนที่มาจากตำหนักสวรรค์แท้หรือ วรยุทธของพวกเขาเป็นอย่างไร”
“คนที่มาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้หรูอี้” หลิ่วหรูยินกล่าว “ยอดฝีมือตระกูลอวี้นี้มีวรยุทธขั้นเป็นตาย และนางก็ไม่ธรรมดา”
ฉินมู่ผงกหัวน้อยๆ ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกมิได้มองเห็นว่าขั้นวรยุทธเป็นสิ่งสำคัญมากนัก ในเมื่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมิได้อิงอยู่กับวรยุทธเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ในทางกลับกันมันอิงอยู่กับการตรึกตรองเข้าใจธรรมชาติและฟ้าดิน ยิ่งมีความคิดอันบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งจะสามารถสื่อสารกับฟ้าและดินได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
แน่ล่ะว่ายิ่งมีวรยุทธสูงมากเท่าไร ทักษะเทวะเสกสรรของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น วรยุทธยังสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกำลังความสามารถของผู้ฝึก แต่สำหรับผู้คนแผ่นดินตะวันตกแล้ว สัมผัสและปฏิภาณความเข้าใจต่อธรรมชาตินั้นสำคัญที่สุด
“พี่สาวหรูยินน่าจะวางใจได้แล้วสินะ?” ฉินมู่กล่าว “พี่สาวคนนั้นอยู่ในขั้นเป็นตายส่วนข้านั้นเพียงขั้นหกทิศ หากว่าพี่สาวหรูอี้หมายจะฆ่าข้า ท่านต้องช่วยปกป้องข้านะ”
หลิ่วหรูยินมีสีหน้าลำบากใจ และกล่าวอย่างอิดออด “อวี้หรูอี้และข้าเป็นสหายกันและข้าเพียงสามารถรับประกันว่านางจะไม่แตะต้องเจ้าในหุบเขาฝังเทพยดาเท่านั้น ส่วนข้างนอก ข้าไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวขอบคุณ “ต้องรบกวนพี่สาวแล้ว ว่าแต่หุบเขาฝังเทพยดาที่พวกท่านอาศัยอยู่เป็นสถานที่เช่นไรหรือ”
หลิ่วหรูยินแย้มยิ้ม “พวกเราอยู่ข้างในหุบเขาฝังเทพยดาแล้วตอนนี้ จ้าวลัทธิฉิน เชิญออกจากโลงศพ!”
โลงเปิดฝาออก และหลิวหรูยินก็พาเขาออกไปข้างนอกเพื่อมองไปรอบๆ พวกเขาอยู่ในโลกใต้ดินอันแผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง มันมีทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าแห่งสุสาน และในบริเวณรอบๆ ก็มีเส้นทางนำไปสู่โถงเก็บศพทุกชนิดทุกขนาด ทั้งยังมีโลงศพมากมายเดินเข้าๆ ออกๆ ดูพลุกพล่าน
โลงศพเล็กโลงหนึ่งเหาะมา และฝาของมันก็พลิกเปิด เผยให้เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในนั้น นางนั่งอยู่ที่ขอบโลงและกล่าว “ท่านแม่ ผู้นี้คือใคร”
ฉินมู่มองไปยังหลิ่วหรูยินด้วยความสงสัย นางมองไปที่เด็กผู้นี้ด้วยแววตาเศร้าโศก จากนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล “นี่คือทาริกานานนานของข้า นางตายพร้อมกับข้า และพวกเราทั้งคู่ก็ถูกผู้อาวุโสปลุกขึ้นมา ดังนั้นพวกเราจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่…อย่าพูดเรื่องนี้เลย เจ้าบอกว่าอยากพบกับอวี้หรูอี้มิใช่หรือ ให้ข้าไปเรียกนางมาแนะนำให้เจ้ารู้จักเถอะ ข้าอาจจะช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างพวกเจ้าได้ นานนาน อยู่ที่นี่กับพี่ชายคนนี้ไปก่อนนะ”
เด็กหญิงรับคำด้วยเสียงหวาน และเพ่งพิศมองฉินมู่ด้วยความสนใจใคร่รู้
ฉินมู่ไม่กล้าดูแคลนนาง แม้ว่าเด็กหญิงน้อยจะเป็นธิดาของหลิ่วหรูยิน แต่พวกนางถูกปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาพร้อมๆ กัน ดังนั้นวรยุทธของนางก็น่าจะทัดเทียมกับหลิ่วหรูยิน พวกนางล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในขั้นเป็นตาย หรือไม่ก็สะพานเทวะ!
เขามองไปยังใจกลางหุบเขาฝังเทพยดา และเห็นโลงศพทองคำตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น มันถูกรัดพันไปด้วยโซ่หนาใหญ่เต็มไปหมด และมียันต์กระดาษเหลืองแปะไปทั่ว อักษรรูนทุกประเภทถูกวาดเอาไว้บนยันต์เหล่านั้น
“ใครอยู่ในโลงนั้นหรือ ทำไมมันถึงถูกลั่นดาลเอาไว้ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยความใคร่รู้
“ท่านแม่บอกว่ามีเทพเจ้าตนหนึ่งที่ศพของเขาได้กลายเป็นพรายวิญญาณ นอนอยู่ข้างในนั้น แต่ทว่า ทุกๆ คนกลัวว่าเขาจะออกมาก่อกรรมทำเข็ญ จึงได้ลั่นดาลเขาเอาไว้”
“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วมองลงไปข้างล่าง “นานนาน ให้ข้าเล่นกลให้เจ้าดู” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็นำเนตรหยกลูกใหญ่ขึ้นมา “เนตรนี้ของข้าสามารถเปล่งแสงได้”
เด็กหญิงมองไปที่เขาด้วยความตื่นเต้น “มันจะเปล่งแสงได้อย่างไรหรือ”
ในตอนนั้นเอง เสียงของหลิ่วหรูยินก็มาถึงพวกเขา “หรูอี้ นั่นคือจ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจผิดอะไร ข้าก็ไม่เกี่ยงที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย…”
เสียงของเด็กสาวอีกคนดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก “คลี่คลายความบาดหมาง? เยี่ยมเลย เขาเพียงแค่ต้องส่งองค์หญิงน้อยมาให้ข้า จากนั้นความบาดหมางทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”
ในตอนนั้นเอง แสงสีขาวผุดผาดราวหิมะก็พลันฉีกทำลายความมืดสลัวในหุบเขาฝังเทพยดาก่อนที่จะหายวับไปในพริบตา
เสียงหัวเราะของฉินมู่ดังก้องในโลกใต้ดิน “เป็นอย่างไรบ้าง มันส่องแสงได้จริงไหมล่ะ”
หลิ่วหรูยินตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เห็นอวี้หรูอี้ที่ยืนข้างๆ นาง มีรอยตัดขวางเหนือท้องน้อย อันผ่านางออกเป็นสองเสี่ยงในพริบตาถัดมา