ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 471 ช่องโหว่
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มปวดหัวตึ้บเมื่อฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือนางอีกครั้ง หากว่านี่เป็นการสะกดหาร่องรอยใครบางคน ไยต้องใช้สมบัติวิเศษขนาดนี้ด้วยล่ะ
นี่มันเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งชัดๆ!
ไอ้เด็กต่ำช้านี่เป็นจิ้งจอกหรืออย่างไร เขาได้ทดสอบข้าไปห้าหกครั้งแล้ว และก็ยังคงทดสอบอีก!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้คืนลูกแก้วเต่าดำให้ฉินมู่ด้วยสายตาอันอบอุ่นและแย้มยิ้ม “หากว่าเพียงแค่สะกดร่องรอยของบุคคล ไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ จ้าวลัทธิฉินมีภาพวาดของผู้สูงศักดิ์หรือไม่”
ฉินมู่ราวกับคนตาบอด ไม่ใส่ใจความสวยสะคราญและรอยยิ้มอันยั่วยวนของนาง เขารีบวาดภาพของผานกงสั่วและมอบให้นาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดทนเป็นอย่างยิ่ง นางร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณเพื่อปลุกก้อนเมฆ ภูเขา ต้นไม้ขึ้นมา และหลังจากที่ไต่ถามพรายวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด นางก็พบที่อยู่ของผานกงสั่วได้ในเวลาไม่นาน
“เวทมนตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ไม่เลวเลยจริงๆ หากว่าตำรวจคนไหนมีเวทมนตร์พวกนี้ในมือ เขาก็คงกลายเป็นมือหนึ่งในวิชาชีพได้อย่างแน่นอน”
ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิด “บางทีเราอาจจะให้ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้เข้ามาเป็นตำรวจที่สันตินิรันดร์”
“มุมมองของราชครูนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวอย่างนุ่มนวล
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีสีหน้าอื่นใด “เป็นแค่ความคิดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้าง”
ระหว่างทางมารดาเฒ่าสวรรค์แท้คอยดูแลปรนนิบัติฉินมู่และราชครูในเรื่องอาหารการกินและสถานที่พักผ่อน นางรินชาให้กับทั้งคู่ ซักเสื้อผ้าให้ บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มละไมตลอดเวลา ทำให้นางดูเฉลียวฉลาด อ่อนหวาน และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
แต่ทว่าฉินมู่และราชครูมองราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา และฉินมู่ยังถึงกับให้นางเลี้ยงอาหารกิเลนมังกร เจ้าอ้วนยักษ์ตัวนี้
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิเคยปริปากบ่นเลยสักคำ ยังคงรักษาบุคลิกอันอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจไว้ตลอดเวลา แต่ทว่านางไม่แน่ใจ
ฉินมู่ดูเหมือนพวกที่มีนิสัยเจ้าชู้ตามธรรมชาติ ด้วยปากของเขาหวานราวกับทาน้ำผึ้ง เจอสาวๆ ที่ไหนก็เรียกพี่สาวไปหมด แต่ทว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ว่านางจะยั่วยวนเขาเท่าใด เขาก็ไม่รู้ประสาและโง่เขลา ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ราชครูสันตินิรันดร์นั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาดูเหมือนว่าอารมณ์ความรู้สึกแม้สักน้อยก็ไม่มี เขาทำแต่สิ่งที่เขาต้องทำ และไม่หวั่นไหวด้วยเสน่ห์ของนางเลยสักนิด
ส่วนกิเลนมังกรนั้น เขาเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุด เขานั้นจ้องอ่างอาหารของตนเองเขม็งและนับยาวิญญาณทุกเม็ดอย่างถี่ถ้วน น้อยไปเม็ดหนึ่งก็ไม่ยอม
เมื่อเขาไม่กิน เขาก็จะมัวแต่กังวลเรื่องหนังและเส้นขนที่ไม่งอกกลับมา และเกล็ดของเขาอันเต็มไปด้วยรูสีดำเล็กๆ อันเกิดจากสายฟ้าและไม่หายเป็นปกติเสียที เขาจะพร่ำบ่นแต่ว่าเขาไม่หล่อเหลาเหมือนเดิมอีกแล้ว จากนั้นก็จะพึมพำหาวิธีต้มตุ๋นเอาอาหารจากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้มากขึ้นไปอีก เขานั้นแทบจะทำให้หัวของนางปลิวกระเด็นไปด้วยการพูดจ้อไม่หยุดปาก
ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หมายที่จะลงมือ แต่เมื่อเผชิญกับราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่มีโอกาสสักนิด
เขาไม่เคยเผยช่องโหว่ แม้เมื่อราตรีมาถึง เขาก็ไม่หลับไหล และเพียงแต่นั่งด้วยดวงตาอันลืมโพลง
ผ่านไปสักพัก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยิ่งพบข้อเท็จจริงที่น่าแตกตื่นกว่านั้น ซึ่งก็คือเมื่อราชครูสันตินิรันดร์รับประทานอาหาร เขาก็ขับเคลื่อนเพลงกระบี่ของตนไปด้วยระหว่างใช้ตะเกียบคีบอาหาร ในท่วงท่าที่เขายื่นมือออกไปและชักกลับมา เจ้าคนวิปริตนี่ถึงกับร่ายรำเพลงกระบี่ไปเป็นร้อยๆ ชนิด!
ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นก็คือ ในกิริยาของการคีบผักก็ยังถึงกับผสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกายของเขา เช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนไปของปราณชีวิต เขานั้นอยู่ในสภาวะอันพร้อมเต็มที่ตลอดเวลา และสมบูรณ์แบบจนไร้ช่องโหว่
ในทางกลับกัน ฉินมู่นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ และนางสามารถสังหารเขาให้ตายอย่างน่าอนาถเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า หากว่านางยังไม่กำจัดราชครูสันตินิรันดร์และลงมือกับฉินมู่ก่อน คนที่ตายเป็นอันดับถัดมาก็จะต้องเป็นนาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไม่กล้าลงมือ และได้แต่รอคอยโอกาสอย่างอดทน
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ตลอดเวลา เขาจะต้องเผยช่องโหว่ออกมาแน่นอน! ในโลกนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังมิอาจไร้ช่องโหว่!
ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ปรึกษาราชครูสันตินิรันดร์ในเรื่องเพลงกระบี่อย่างต่อเนื่อง และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หวังว่าจะสามารถหาช่องโหว่ในเพลงกระบี่ของเขาได้ แต่ไม่นาน นางก็พบว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่เลยสักนิด
ความสำเร็จในเต๋ากระบี่ของราชครูเพิ่มพูนไปด้วยความเร็วราวเทพยดา และความสำเร็จในเพลงกระบี่ของฉินมู่เองก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในศาสตร์นี้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีความสำเร็จสูงสุดขั้นในด้านธรรมชาติเสกสรร แต่ปฏิภาณความเข้าใจของนางในด้านเพลงกระบี่นั้นด้อยกว่าหลายขุม
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกลางอากาศอยู่บ่อยครั้ง ฉินมู่จะโจมตีใส่ราชครูซึ่งก็จะยืนไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ด้วยกระบี่ในมือข้างเดียว เขาก็สามารถปัดป้องการโจมตีของฉินมู่ได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาทั้งดุเดือดและเปลี่ยนแปรไปมาอย่างไม่สิ้นสุด เทียบกันแล้วเพลงกระบี่ของราชครูเรียบง่ายอย่างสุดขีดขั้ว และสิ่งที่เขาใช้ก็เป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน กระนั้นเขาก็สามารถทำลายเพลงกระบี่อันสลับซับซ้อนได้ทั้งหมด
ฉินมู่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงหยุดพัก เขาจมจ่อมในการใคร่ครวญว่าจะพัฒนาเพลงกระบี่ของตนอย่างไร ราชครูสันตินิรันดร์ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาคิดอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ “เพลงกระบี่ของราชครูนั้นราวกับเทพยดา ไฉนท่านไม่ชี้แนะเขาสักหน่อยเล่า”
“ข้าไม่สามารถ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “เขาได้บรรลุถึงสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่แล้ว ดังนั้นจะได้ปฏิภาณความเข้าใจอะไรใหม่ๆ มาก็ต้องขึ้นกับตัวเขาเองเท่านั้น”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่อาจให้คำชี้แนะแก่ฉินมู่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ
“ทำไมราชครูท่านไม่ปิดผนึกสมบัติเทวะเพื่อต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขาล่ะ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ชม้อยตาและถามต่อ
“ข้ามิกล้า” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พลังวัตรของเขากล้าแข็งเกินไป ในวรยุทธขั้นเดียวกันนั้น ข้าได้แต่อาศัยพลานุภาพในเต๋ากระบี่ ถึงจะสามารถเสี่ยงชีวิตกับเขาได้ ความเข้มข้นของพลังวัตรของเขาสามารถสังหารข้าได้ในกระบวนท่าเดียว”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ฉินมู่และครุ่นคิดในใจ บรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งเพียงนี้ด้วยอายุเยาว์ ไอ้เด็กนี้ปล่อยให้มีชีวิตไว้ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ใครจะมาปราบเขาได้
ขณะที่นางคิดเช่นนั้น นางก็ได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านพิภพดังมาจากร่างกายของฉินมู่ เป่าเมฆขาวในบริเวณรอบๆ กระจัดกระจายไป มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อสายตา
มันคือเสียงของกำแพงสมบัติเทวะถูกพังทลาย แต่ความเข้มข้นของมันดูราวกับการทลายสมบัติเทวะชาวสวรรค์!
ปัง ปัง ปัง
แสงสว่างสาดส่องจากร่างของฉินมู่และแปรเปลี่ยนเป็นดาวเจ็ดดวงที่หมุนวนรอบๆ เขา มันประกอบไปด้วยปราณหยางพิสุทธิ์อันราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้า ปราณหยินพิสุทธิ์อันราวกับดวงจันทร์อันนวลใย และยังมีดาวอังคาร ดาวเสาร์อันเปล่งรัศมีสีเหลืองดิน ดาวศุกร์ที่พริบพรายด้วยรังสีแสงสีขาว ดาวพุทธอันห่อหุ้มไปด้วยไอน้ำ และดาวพฤหัสบดีที่พวยพุ่งไปด้วยปราณมังกรเขียว พวกมันทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยประกายไฟฟ้า
บนดาวแต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา หนึ่งนั้นมีกายมนุษย์และศีรษะวัว อีกหนึ่งมีสามขาและศีรษะนก และอีกหนึ่งก็มีศีรษะพยัคฆ์และหางเสือดาว เทพครองดาวใหญ่ทั้งเจ็ดมีรูปลักษณ์พิสดารต่างๆ กันไป
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ และจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สูงแปดวาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา มือทั้งสองของเขายกขึ้นมาเหนือหัวราวกับว่ากำลังแบกอะไรสักอย่าง และดวงดาวทั้งเจ็ดก็ขึ้นไปลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือของเขา
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาบรรลุขั้นชาวสวรรค์ แต่ทำไมเกิดภาพปรากฏการณ์ของเจ็ดดาวล่ะ”
“เจ้าเห็นไหมล่ะว่าเสียงกัมปนาทของการทลายขั้นวรยุทธของเขาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน” ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสะท้าน ขณะที่สายตาของเขาก็ระโหยแล้ง “ข้าคิดมาตลอดว่าข้าคือเส้นตรง และไม่มีจุดอ่อนใดๆ บัดนี้ข้าถึงรู้ว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเส้นตรง ส่วนข้าเป็นสามเหลี่ยม กายาจ้าวแดนดิน มันสามารถแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้งงงวย นางตกตะลึงกับภาพปรากฏการณ์การทลายขั้นเจ็ดดาว ในเมื่อความอึกทึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ควรที่จะน่าแตกตื่นขนาดนี้
แต่ทว่าที่ทำให้นางตกตะลึงที่สุดก็ยังคงเป็นกายาจ้าวแดนดิน
นางไม่เคยได้ยินกายาชนิดนี้มาก่อน!
“ราชครู อะไรคือกายาจ้าวแดนดินที่ท่านว่า” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ปรึกษาเขาอย่างจริงใจ หมายที่จะได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา
“กายาจ้าวแดนดินมาจากตำนานโบราณ” ราชครูสันตินิรันดร์จิตวิญญาณฟ่องฟูขึ้นมา “เรื่องนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกเล่าแก่ข้า ดังนั้นให้ข้าบอกเล่าเจ้าต่อโดยละเอียด ตำนานกล่าวว่าสามารถมีกายาจ้าวแดนดินได้เพียงหนึ่งในโลกหล้า…”
พวกเขาไล่ตามร่องรอยของผานกงสั่วมาราวๆ ห้าวัน อันฉินมู่ใช้ในการปรับรากฐานวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของเขาให้มั่นคง พลังวัตรของเขานั้นเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้นไปทุกที ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาวขึ้นมาพร้อมๆ กัน พลานุภาพของพลังวัตรของเขาก็แทบจะเท่ากับกิเลนมังกร
เจ้าอ้วนนี่เริ่มกระวนกระวาย และรู้สึกผวาอย่างสุดๆ แย่ล่ะ วรยุทธของจ้าวลัทธิไล่ตามข้ามาติดๆ แล้ว ข้ากำลังจะไร้ประโยชน์! อย่างนี้ข้าจะไปหาเจ้านายอาหารที่ล้ำเลิศเช่นจ้าวลัทธิฉินได้จากไหนกันล่ะ
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากผู้สูงศักดิ์แล้ว”
ฉินมู่มองขึ้นไปรอบๆ พวกเขา ต้องประหลาดใจที่พบว่าทะเลทรายเพลิงโหมอยู่ข้างหน้า “ผานกงสั่วคงจะวิ่งหนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตกเรียบร้อยแล้ว เขาสมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่มีใครทัดเทียมเขาได้ในเรื่องความสามารถในการหลบหนี หากว่าไม่ใช่เพราะพี่สาวซืออวี่ เขาก็คงหนีรอดไปได้อีกตามเคย”
เพลิงไฟข้างหน้าพวกเขาลุกไหม้สูงลิ่ว ในจังหวะที่พวกเขาเข้าใกล้มัน รอยประทับประหลาดพิลึกมากมายก็ปรากฏบนร่างของฉินมู่ คืบไต่ไปทั่วตัวเขา
หางตาของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้กระตุก และนางถามด้วยความกังวล “จ้าวลัทธิฉิน รอยประทับบนร่างของท่านพวกนี้…”
“ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นคำสาปแบบหนึ่ง” ฉินมู่ไม่ใส่ใจมัน “ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ รอยประทับนี้ปรากฏทั่วทั้งร่างของข้า ตลอดไปจนถึงใจกลางฝ่าเท้า และไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มีก็แต่เมื่อข้าเดินออกไปจากทะเลทรายเพลิงโหมเท่านั้น พวกมันจึงจะจางหายไปเอง”
“แม้กระทั่งใจกลางฝ่าเท้าหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จิตสั่นสะท้าน และนางเกือบจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ราชวงศ์! เขาคือสมาชิกราชวงศ์!
นางได้สังหารชนชั้นสูงมากมายจากเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ แต่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่เป็นผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง นางมิเคยได้สังหารผู้คนเช่นนี้มาก่อน!
เขามิใช่แค่ชนชั้นสูงแห่งแดนโบราณวินาศ เขาคือราชวงศ์!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลดยินดี และความรู้สึกอัปยศอดสูจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็หายวับเป็นปลิดทิ้ง นางได้เดินทางไปไกลและไพศาลเพื่อจะหาราชวงศ์สักหนึ่งคน แต่เขากลับเดินมาหานางด้วยตนเอง! พวกเบื้องบนนั้นกังวลที่สุดก็คือราชวงศ์ และหากว่านางสามารถกำจัดเขาได้ นางก็จะประสบความสำเร็จไต่เต้าไปได้อย่างสูงลิ่ว และพ้นจากโลกรูหนูนี่เพื่อไปใช้ชีวิตเริงรื่นที่แดนเบื้องบน!
สายตาของนางวูบไหว แม้ว่าไอ้เด็กสำส่อนนี่จะฆ่าง่ายกว่า แต่เขากลับมีความสำคัญที่สุด! ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าราชครูสันตินิรันดร์ไปเป็นร้อยๆ เท่า! แต่ก่อนที่จะกำจัดเขา ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดราชครูสันตินิรันดร์ไปเสียก่อน! จะจัดการกับเขาโดยปกติธรรมดานั้นยากเย็น แต่หลังจากที่เข้าไปในทะเลทรายแล้ว ข้าก็จะมีวิธีการ! ผู้สูงศักดิ์ คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!
นางร่ายเวทมนตร์เพื่อรวบรวมทราย ปลุกยักษ์ทรายขึ้นมาเพื่อถามเขาเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผานกงสั่ว
กิเลนมังกรเพิ่มพูนความเร็วของเขาเมื่อวิ่งไปยังที่ไกลๆ
ในเช้าวันถัดมา กิเลนมังกรก็ไปถึงซากโบราณที่ยังสภาพดีอยู่ในทะเลทราย ข้างๆ มันนั้นมีเรือตะวันและดวงตะวันที่ถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่ง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยเรือตะวันนี้ ผานกงสั่วก็คงยากที่จะหลบหนีไปได้ ต่อให้เขาต้องการหนีมากแค่ไหนก็ตาม”
ฉินมู่จิตใจฮึกเหิม แย้มยิ้มออกมา “ราชครู พี่สาวซืออวี่ โปรดรอที่นี่เพื่อเฝ้าต้นทาง อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก ข้าจะไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่น!”
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่เขา “ต้องการความช่วยเหลือจากข้าไหม”
“ไม่จำเป็น!” ฉินมู่เร่งความเร็วของเขา และไม่นานเขาก็ลงไปเหยียบที่โถงวังอันพังยุบลงมาในซากโบราณ เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “ผานกงสั่ว สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย”
“ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้ามันตามหลอกหลอนข้าไม่เลิก!” ร่างหนึ่งทะยานจากผืนทรายขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยเสียงตึบ มันเหยียบลงตรงสุดอีกด้านของโถงวังนี้ มันคือเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง และไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากผานกงสั่ว เขานั้นเต็มไปด้วยความอาจหาญลำพองและหัวเราะด้วยเสียงกึกก้อง
“เจ้ามาได้เวลาพอดี ในช่วงนี้พลังวัตรของข้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และในที่สุดข้าก็จะได้สำเร็จความปรารถนาอันหมายมาดไว้เนิ่นนาน ก็คือสับเจ้าเป็นชิ้นๆ และให้เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า!”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จ้องไปที่แผ่นหลังราชครูสันตินิรันดร์อยู่ตลอดเวลา และในขณะนั้น นางก็เห็นช่องโหว่ของเขา!
……………………………………..