ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 486 ช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 486 ช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต
“นี่…”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถปลุกสำนึกรู้ของโครงกระดูกเทพเจ้านี้ได้ด้วยความเชื่อเหลือของลูกแก้วเต่าดำนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ นั่นก็เพราะว่ามีสำนึกรู้ที่ยังหลับใหลหลงเหลืออยู่ โครงกระดูกจึงสามารถพูดจาและฟื้นฟูความทรงจำของตนเองได้
โครงกระดูกอื่นๆ อาจจะไม่มีสำนึกรู้หลงเหลืออยู่ แม้ว่าเขาปลุกจิตวิญญาณพวกเขาขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นมากไปกว่ากองกระดูกที่เดินได้
ยิ่งไปกว่านั้น การปลุกพรายวิญญาณของโครงกระดูกเทวะต้องอาศัยพลังวัตรปริมาณมหาศาล แม้ว่าจะมีลูกแก้วเต่าดำ ฉินมู่ก็อาจจะไม่สามารถปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ได้
ด้วยความปฏิภาณความเข้าใจของเขาที่มีต่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อย่างมากเขาก็สามารถเรียกใช้ ‘ยักษ์’ ทราย ที่สูงไม่เกินวาครึ่ง ตัวสูงใหญ่ไปกว่านั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา
ด้วยลูกแก้วเต่าดำ เขาสามารถเพิ่มพูนปฏิภาณความเข้าใจในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ และเสริมส่งสัมผัสหยั่งรู้ของเขา แต่กระนั้นการปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายในเวลาเดียว ก็คงจะรีดเค้นพลังวัตรออกจากเขาไปอย่างไม่รู้จบ และยังอาจจะอันตรายอีกด้วย
โครงกระดูกเทพเจ้านี้ ‘มอง’ ไปที่เขาด้วยเปลวเพลิงรางๆ ในเบ้าตา เต็มไปด้วยความคาดหวัง นั่นเป็นความคาดหวังของนักรบโบราณที่จะได้พบกับสหายร่วมรบอีกครั้งหนึ่ง นี่ทำให้ฉินมู่มิอาจหักใจปฏิเสธเขา
เขายิ้มกว้าง “ข้าจะลองดู”
สักพักหนึ่ง โครงกระดูกยักษ์หนึ่งโครงก็ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง และเทพเจ้าเที่ยงแท้นี้ก็ลิงโลดอย่างระงับไม่อยู่ เขาเข้าไปกอดโครงกระดูกของสหายศึกของเขาและหัวเราะกับร่ำไห้ไปในเวลาเดียวกัน
“แม่ทัพ” โครงกระดูกนี้ดูมึนงงและไม่ค่อยมีค่อยมีสติปัญญามากนัก เขาพูดได้เพียงแค่คำคำเดียว
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว เทพเที่ยงแท้ก็ซาบซึ้งใจ ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
ยิ่งฉินมู่ปลุกโครงกระดูกมากขึ้นเท่าไร สีหน้าเขาก็ยิ่งซีดเผือดมากยิ่งขึ้น มันดูเหมือนจะมีเสียงอึงอลมากมายไร้ประมาณในหัวของเขา อันทำให้เขายากที่จะตั้งสมาธิ
เทพเที่ยงแท้ตนนี้ยกทรายขึ้นมาพร้อมกับโครงกระดูกที่ปลุกพรายวิญญาณทั้งหลาย และใช้พลังวัตรเฮือกสุดท้ายของเขาเพื่อขับเคลื่อนไฟแห่งเทพเที่ยงแท้ หลอมละลายผืนทราย
มันแปรเปลี่ยนเป็นลาวาอันเดือดพล่าน ก่อนที่จะจับตัวแข็งเป็นก้อนหินมากมาย
เทพเที่ยงแท้นี้ก่อสร้างสุสานของเขา ในขณะที่โครงกระดูกทั้งหลายใช้หินเพื่อก่อสร้างหลุมศพของตนเอง
เมื่อฉินมู่ปลุกโครงกระดูกโครงสุดท้าย เขาก็นอนหอบด้วยความหมดแรง
บนทะเลทราย โครงกระดูกสูงมากมายได้สร้างสุสานสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขายืนตระหง่านตรงหน้าหลุมศพของตนเอง และรอฟังคำพูดสุดท้ายของแม่ทัพ
เทพเที่ยงแท้เผาผลาญพลังวัตรกระผีกสุดท้ายเพื่อยกธงอันแหว่งวิ่นขึ้นและมองไปยังสหายทั้งหลายที่ร่วมตายไปกับเขา
ลมพัดธงแหว่งวิ่นนี้
มันสะบัดเสียงพึ่บๆ ราวกับว่าจะฟื้นชีวิตของช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต
“หากว่าชาติหน้ามีจริง” เทพเที่ยงแท้มิได้อ้าปาก แต่ว่าเกิดเสียงราวกับเหล็กกระทบกับเหล็กและเสียงกลองศึก “หากว่าชาติหน้ามีจริง พวกเราจงมารวมกันและต่อสู้กับสวรรค์และพิภพอีกครั้งเถอะ!”
เสียงของเขากึกก้องไปในทะเลทราย เมื่อเขาตะโกนไปยังทหารของเขา สหายร่วมรบของเขา “จักรพรรดิสูงส่งจะกลับมา และนำพวกเราไปต่อสู้กับศัตรูอีกครั้ง! และบัดนี้ ทหาร พักผ่อนได้!”
“แม่ทัพ พบกันอีกครั้งชาติหน้า!” โครงกระดูกทั้งหลายตะโกนกลับไป
โครงกระดูกเหล่านั้นเดินเข้าไปในหลุมศพของตนเอง และวางอาวุธอันหักพังของตนที่ข้างกาย ก่อนที่จะเอนตัวนอนลงไป พวกเขาดูเหมือนว่าเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงแตรเขาสัตว์ประกาศศึก
เปลวเพลิงในเบ้าตาของเทพเที่ยงแท้กะพริบวูบวาบ และแผ่นพื้นใหญ่มหึมาก็ลอยข้ามมาในอากาศ ปิดผนึกประตูทางเข้าสุสาน
อักษรรูนหลั่งไหลออกจากผนังทั้งสี่ และด้วยการปิดทับของแผ่นหินใหญ่ กระบวนพยุหะอันปกป้องคุ้มกันสุสานเทพเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเงยศีรษะมองไปยังโครงกระดูกเทพเที่ยงแท้ข้างๆ เขา “ผู้อาวุโส ท่านก่อสร้างสุสานให้กับพวกเขา แล้วทำไมท่านถึงไม่เข้าไปด้วย”
โครงกระดูกเทพอันสูงตระหง่านนั่งลงพลางถือธงของเขา เขานั่งตัวตรงเหมือนกับสันหลังของเขา และพวกเขาทั้งสองหันไปทางสุสานเหมือนๆ กัน
“ข้าเป็นแม่ทัพของพวกเขาแต่ก็ไม่อาจพาพวกเขากลับบ้านได้ ข้าไม่คู่ควรที่จะมีหลุมศพของตนเอง” เทพเที่ยงแท้นั่งอยู่อย่างเงียบงันขณะที่ธงโบกสะบัดไปในสายลม “ข้าจะต้องปกป้องพวกเขาและเป็นผู้พิทักษ์สุสานแห่งนี้ ข้าเห็นได้ว่าไม่มีพวกเขาคนไหนที่ฟื้นดวงจิตขึ้นมาจริงๆ เป็นเจ้าที่พูดแทนให้กับพวกเขา”
เขาก้มหน้าลงมามองที่ฉินมู่ “ขอบคุณมาก”
ฉินมู่อึ้งไป “ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกว่าเหลือเพียงตัวเองลำพัง ดังนั้นข้า…”
เทพเที่ยงแท้เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นเจ้า แต่ข้าก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ข้าไม่มีความเสียใจย้อนหลังอีกต่อไป”
จากเบ้าตาว่างเปล่าของเขา ริ้วแสงสองเส้นพุ่งทะยานออกมาราวกับมังกรคู่ และโบยบินเข้าไปในดวงตาของฉินมู่ สถิตอยู่ในนั้น
มันเป็นปราณหยางพิสุทธิ์และปราณหยินพิสุทธิ์ริ้วสุดท้ายในสมบัติเทวะของเขา มันคือของกำนัลที่มอบให้
“ความมืดกำลังมา จงไปที่นั่น!” โครงกระดูกยกมือขึ้นและชี้ไปยังที่ไกลๆ
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปมองและเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน มันเกือบจะจมลงไปในทะเลทรายแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าความมืดกำลังมา” ฉินมู่ถาม “หรือว่าราตรีที่นี่ก็ยังต้องเผชิญกับการรุกรานของความมืด ผู้อาวุโส…”
โครงกระดูกเทพเจ้านิ่งงัน และไม่กล่าววาจาอีกต่อไป มันไม่มีลมหายใจหลงเหลือ เจตจำนงของมันเงียบสงัดและกระจัดกระจาย ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงโครงกระดูกอันชี้แขนไปยังที่ไกลๆ
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนโดยไม่กล่าววาจา และเรียกหีบกับกิเลนมังกรที่หมอบตัวสั่นระริกอยู่บนหีบเข้ามา “ไปที่นั่นกัน”
หีบตามเขาไปยังทิศทางที่เทพเที่ยงแท้ชี้ไป
กิเลนมังกรรวบรวมความกล้าและถาม “จ้าวลัทธิ โครงกระดูกยักษ์นั่นหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเป็นท่าน”
“เวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณของข้ามิอาจปลุกดวงจิตเดิมของเหล่าเทพที่ตกตายในสงคราม โครงกระดูกที่ข้าปลุกขึ้นมาไม่มีสำนึกรู้ และทำได้แต่ตามคำสั่งของข้า เขาสามารถมองทะลุเรื่องนี้ จึงกล่าวเช่นนั้น”
กิเลนมังกรฉงนฉงาย “แต่ข้าได้ยินโครงกระดูกพวกนั้นสามารถพูดจาได้และเรียกเขาว่าแม่ทัพ”
“พวกเขาพูดจาได้เพราะว่าข้าพูดผ่านปากของพวกเขา ข้าไม่อยากให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าตนเองถูกทิ้งไว้เพียงผู้เดียวจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”
ฉินมู่หันกลับไปและมองไปยังโครงกระดูกเทพเจ้าที่นั่งอยู่กับธงศึกและปกปักพิทักษ์สุสาน เขาจึงเบือนสายตาไปพลางกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่ทว่าเขาสังเกตเห็นมัน แม้ว่าเขาจะไม่เปิดโปงมันออกมา จริงๆ แล้วในหัวใจของเขา ก็ยังมีความหวังริบหรี่ที่ว่าผู้ที่พูดจากับเขาจะเป็นสหายร่วมรบของเขาจริงๆ และไม่ใช่ข้า”
กิเลนมังกรไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เขาจึงได้แต่หมอบงีบหลับอยู่บนหีบพลางพึมพำ “ข้ากลัวของพวกนี้เป็นที่สุด ครั้งนั้นตอนที่พวกเราไปตระกูลหลิ่ว ข้าฝันร้ายไปตั้งหลายวัน…”
ท้องฟ้ามืดค่ำลงไปทุกที ฉินมู่เร่งฝีเท้าของเขาขณะที่ดวงตะวันจมลงไปในทะเลทราย
ความมืดพลุ่งพล่านมาจากทิศตะวันตก และตามติดมาถึงพวกเขาในพริบตา
ฉินมู่ตะตะลึง โลกทั้งโลกถูกความมืดกลืนกินไป เหมือนกับแดนโบราณวินาศอีกแห่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือในแดนโบราณวินาศเป็นเวลากลางวัน แต่ที่นี่เป็นเวลากลางคืน
ทันใดนั้นหัวใจของฉินมู่ก็ไหวสะท้าน ข้าเข้าใจ! ข้าเข้าใจแหล่งที่มาของความมืด!
เสียงแกรกกรากดังมาจากใต้หีบ และฉินมู่ก็หยุดเพื่อมองดูใต้หีบ เขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้ขาทั้งสองข้ากำลังกอดขาของหีบเอาไว้
“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าเชื่อว่าเจ้าคงสบายดีนะช่วงนี้?”
ผานกงสั่วสีหน้าซีดเทาราวขี้เถ้าและพ่นออกไป “ไอ้เด็กแซ่ฉิน โลกผีสางนี่มันเล่นตลกกับข้า จะฆ่าข้า ตัดเนื้อเถือหนังข้า อยากทำอะไรกับข้าก็เชิญ!”
ฉินมู่แย้มยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน “ทำไมข้าจะต้องตัดเนื้อเถือหนังเจ้าด้วยล่ะ ฆ่าไปเสียง่ายกว่ามานั่งตัดและเถือ”
แสงเจิดจ้าพลันฉายส่องในความมืด มันคือแสงเทวะที่สามารถพุ่งผ่านความมืดได้
ฉินมู่หัวใจแทบกระดอนหลุดออกมาทางปาก และเขารีบกระโดดขึ้นไปบนหีบ ร่างของเขากดมันลงไป ทำให้ทั้งหีบและผานกงสั่วที่อยู่ข้างใต้ดำลงใต้ผืนทราย
“เจ้าจะทำอะไร” ผานกงสั่วร้องด้วยความแตกตื่น
“หุบปาก ดวงตาของซิงอ้านได้เข้ามาในที่นี้แล้ว!” ฉินมู่ตะคอกกลับไปด้วยเสียงต่ำ
ลำแสงจากลูกตากวาดผ่านทะเลทราย หาสิ่งใดไม่พบ มันเหาะไปข้างหน้า
ไม่นานนัก ลูกตาอีกลูกก็ลอยมา และสองลูกตาใหญ่ก็พบกับบนท้องฟ้า พวกมันหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แสงรางๆ อีกก้อนพลันลอยลิ่วมาจากที่ไกลๆ และค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ มันคือศีรษะของเด็กหนุ่ม
ศีรษะนี้ไม่มีลูกตา แต่ลูกตาสองลูกที่ลอยอยู่นั้นไม่นานก็มุดกลับเข้าไปในเบ้าตาของเขา
“พวกเจ้าอยู่ใกล้ๆ นี่!” ศีรษะบนท้องฟ้าหัวเราะอย่างเย็นเยียบและกล่าว “หมอเทวดาฉิน ผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้าขโมยหีบของข้าและหมายที่จะหนีพ้นมือข้าไปได้งั้นหรือ พวกเจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว!”
ทันใดนั้น ทรายเหลืองบริเวณรอบๆ พลันแข็งตัวขึ้น และฉินมู่รู้สึกว่ามันบีบรัดพวกเขามากขึ้นทุกที เขารู้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่และรีบขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโดยพลัน ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งไปรอบๆ ร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนอันวิจิตรที่ร่วงลงไปในวงจรพยุหะภายใต้ผืนทราย
ผานกงสั่วโลหิตเย็นเยียบและเขาร้องลอดไรฟัน “เจ้าจะใช้ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลในสถานที่แบบนี้หรือ เจ้ารนหาที่ตาย แต่ข้ายังไม่อยากตาย…”
“ที่นั่น!” หัวของซิงอ้านที่ลอยอยู่กลางอากาศหวีดร้อง และสองตาของเขายิงลำแสงเทวะที่กวาดไปทั่วพื้น!
หึ่ง
สถานที่อันฉินมู่อยู่พลันถล่มลงไปและกลายเป็นหลุมใหญ่ ถัดมาลำแสงเทวะทั้งสองก็ยิ่งเข้าไปในหลุมใหญ่และระเหิดทรายเหลืองมวลมหึมาให้กลายเป็นไอ
ผานกงสั่วหนังหัวชาตึ้บเมื่อเขาถูกเคลื่อนย้ายระยะไกลออกไปพร้อมกับหีบด้วยฝีมือฉินมู่ จากนั้นเขาก็ตะโกน “จ้าวลัทธิฉิน ฝีมือเจ้าตกไปนะ พวกเราเคลื่อนย้ายไปกันไม่ไกลเลย!”
“หุบปาก! ก็เพราะมังกรอ้วนมันหนักเกินไปตะหาก!”
ฉินมู่กัดฟันกรอดและขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง แสงอักษรรูนสาดส่องเจิดจ้า ข้างหลังนั้น หัวหนึ่งลอยตามมาพร้อมกับลำแสงสองลำที่ส่องข้ามทะเลทราย เผาทุกอย่างให้เป็นไอตามเส้นทางที่มันผ่าน!
ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลจนเขาหมดพลังวัตร จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ มุ่งหน้าไปทางนั้น!”
ผานกงสั่วรีบรับช่วงต่อ เขานำเอาธงผืนเล็กออกจากถุงเต๋าตี้อันประทับไว้ด้วยอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกล เมื่อกระตุ้นให้มันทำงาน ธงก็โบกสะบัดและคลี่คลุมพวกเขา พวกเขาหายวับไปก่อนที่แสงจากดวงตาซิงอ้านจะยิงมาถึง
ในชาติหนึ่งนั้น ผานกงสั่วเคยเข้าลัทธิมารฟ้าและเกือบจะได้เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้า
เขาเคลื่อนย้ายคณะเดินทางไปซ้ำแล้วซ้ำอีก และพลังวัตรของเขาก็เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผาก “จ้าวลัทธิฉิน พลังวัตรของข้าจะหมดแล้ว! พวกเรายังไม่ถึงอีกหรือ”
เขารีดเร้นหยดสุดท้ายของพลังวัตรและเคลื่อนย้ายทุกคนไปอีกครั้ง เมื่อวงจรพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลจางหายไป แสงก็สาดส่องเข้าตาพวกเขาอย่างสว่างไสว และก็พบว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง
กำแพงนั่นตระการตา ประดับไปด้วยโคมไฟและธงหลากสี ทั้งสองคนแหงนขึ้นมองดูและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากหวอ บนยอดตึกและหอคอยของเมืองนี้ในความมืด มีเทพเจ้าที่สูงร้อยห้าสิบวายืนอยู่ พวกเขามีสี่เศียรแปดกร ไม่ก็สามเศียรหกกร และยังมีพวกที่มีศีรษะเป็นนก หรือสัตว์ป่าอื่นๆ เทพเจ้าบางตนก็ดูเหมือนเต่าดำ หงส์แดง พยัคฆ์ขาว หรือมิเช่นนั้นก็มังกรเขียว
พวกเขาเปล่งแสงเทวะอันเข้มข้นที่ขับไล่ความมืดออกไป
เมืองแห่งนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินไปเดินมา
ดูราวกับว่าจู่ๆ ผู้คนเหล่านั้นก็ปรากฏ พวกเขาเดินเบียดเสียดผ่านฉินมู่และหีบใหญ่ไปด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ถูกต้อง…สถานที่นี้เป็นทะเลทรายชัดๆ แล้วทำไมถึงมีเมือง หากว่ามีผู้คนที่นี่มากมายจริงๆ ทำไมจึงไม่มีใครไปกลบฝังโครงกระดูกของเทพเจ้าเหล่านั้น และทำไมที่นี่ถึงมีเทพเจ้าอยู่มากมาย”
ฉินมู่คิดจนปวดหัว และเขาพลันคว้าจับข้อมือของเด็กสาวที่เดินผ่าน เด็กสาวผู้นั้นเห็นว่าเขาหน้าตาไม่เลวก็เลยหัวเราะพรืด “คนเจ้าชู้ จับมือข้าไปทำไม”
“น้องสาวคนดี ปีนี้ปีอะไรหรือ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าซีดเผือด
เด็กสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เจ้านี่ช่างมีแนวทางในการเกี้ยวพาผู้คนจริงๆ ปีนี้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นศักราชจักรพรรดิสูงส่งปีที่ 24000 และวันนี้ก็มิใช่วันอื่นใด นอกเสียจากวันคล้ายวันสมภพของจักรพรรดิสูงส่งปีที่สองหมื่นหกพัน!”
……………………………