ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 501 ทุบตีอาจารย์ปู่จนน่วม
อดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ผงกหัว มีความรู้สึกทำนองเดียวกัน
แม้ว่ากษัตริย์มนุษย์ทุกๆ คนจะดูน่ากระทืบในสายตาอาจารย์ของพวกเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกษัตริย์มนุษย์ที่น่าลงสหบาทาโดยพวกเขาทุกคนอะไรอย่างนี้
กษัตริย์มนุษย์ในอดีตทุกคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิของยุคสมัย มันไม่ใช่แค่ศักดิ์ฐานะของพวกเขาเท่าที่นั้นทำให้ค่ายสำนักต่างๆ เคารพนบนอบ แต่กำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงพอ กวาดล้างทุกๆ คนในรุ่นเดียวกันจนไร้ผู้ต่อต้าน!
กษัตริย์มนุษย์คนไหนที่ไม่ได้สู้กับเทพแห่งเหนือฟ้าสักสามสี่รอบ ก็จะอับอายเกินกว่าที่จะมาพบหน้าบรรพชนหลังความตาย แต่ผู้คนเช่นนั้นจะมีสักกี่คนกันเล่า
กระนั้น ฉินมู่ ตรงหน้ายอดคนแห่งยุคมัยแต่ละสมัยอย่างพวกเขา ถึงกับกล้าบอกว่ากลัวจะพลั้งมือทำให้พวกเขาบาดเจ็บ เขายังพูดอีกว่า วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกเขาได้ล้าหลังตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้จะให้ทนไหวได้อย่างไร
บรรพชนสามเข้ามาใกล้พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “กษัตริย์มนุษย์ในอดีตล้วนแต่หยิ่งผยอง และทุกคนก็ยังพกความหยิ่งผยองลงมาด้วยหลังจากที่ตายไปแล้ว อยากจะทุบนั่นต่อยนี่ แต่ทว่า เจ้าก็ยังคงเป็นคนแรกที่พูดว่าพวกเรานั้นล้าหลังตกยุค! กษัตริย์มนุษย์ฉิน น่าทึ่งอะไรอย่างนี้้”
“ลูกศิษย์อัดอาจารย์จนน่วมนั้นเป็นเรื่องธรรมดา อย่างข้า ข้าก็อัดผายลมเฒ่านี่มาก่อนแล้ว แต่ทว่า ถึงกับคิดจะอัดตาเฒ่าทั้งหลายเหล่านี้จนน่วมให้หมด น้ำเสียงของกษัตริย์มนุษย์ฉินไม่ใช่เล่นๆ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ามีความสามารถที่ว่าหรือไม่!” บรรพชนสี่กล่าวอย่างราบเรียบไร้อารมณ์
บรรพชนสามถลึงตาจ้องเขา
บรรพชนสี่มีสีหน้าดุดันเปี่ยมอำนาจเมื่อเขากล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นเป็นคนเป็นๆ ดังนั้นพวกเราจะสู้กันอย่างไรนั้นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง แต่ทว่า บรรพชนแรกมีสมบัติวิเศษที่ยังน่าจะอยู่แถวๆ นี้ มันเรียกว่าระหว่างเป็นตาย อันน่าจะเหมาะสมที่สุดในการใช้แลกหมัดกัน”
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายขมวดคิ้ว “บรรพชนแรกไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราจะใช้ระหว่างเป็นตายได้อย่างไร”
บรรพชนสองแย้มยิ้มและกล่าว “ในฐานะศิษย์ของบรรพชนแรก เมื่อเขาไม่อยู่ ข้าก็เป็นเจ้าของโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง ดังนั้นข้าย่อมใช้สอยมันได้ จุ๊ๆ เงียบเข้าไว้ ข้าคุ้นเคยกับที่นี่สุดๆ คุ้นเคยยิ่งกว่าบ้านของข้าอีก รอข้าสักเดี๋ยว ให้ข้าไปหยิบระหว่างเป็นตายมา”
ทุกๆ คนสงสัยใคร่รู้ พวกเขาได้ยินคำเล่าลือถึงระหว่างเป็นตาย แต่ไม่เคยได้เห็นสมบัติชิ้นนี้มาก่อน พวกเขาได้ยินว่าเพราะบรรพชนแรกคิดถึงภรรยาของตน เขาจึงหลอมสร้างมันขึ้นมาเพื่อสร้างเส้นทางไปยังแดนใต้พิภพ และเขาจะสามารถพบกับนางที่นั่นได้
แต่ทว่า สมบัติของเขาไม่ได้มีประโยชน์หรือพลานุภาพมากมายนัก ดังนั้นผู้คนที่หลอมสร้างสมบัติเช่นนี้จึงมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย หากแต่กว่าการใช้ระหว่างเป็นตายมาให้คนเป็นต่อสู้กับคนตายได้นับว่าเป็นความคิดอันชาญฉลาดจนไม่รู้ว่าจะเฉียบแหลมกว่านี้ไปได้อย่างไร
ไม่นานนัก บรรพชนสองก็กลับมา และทุกๆ คนพบว่ามือของเขาว่างเปล่า พวกเขาอดไม่ได้ที่จะฉงนฉงายและถามอย่างสงสัย “บรรพชนสอง ไหนล่ะระหว่างเป็นตาย”
“นี่คือระหว่างเป็นตาย!”
บรรพชนสองสะบัดแขนเสื้อ และแม่น้ำสายยาวก็ไหลออกมาจากแขนเสื้อของเขา แม่น้ำยักษ์ไหลออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางและกลายเป็นกว้างขึ้นและกว้างขึ้น มันเหยียดยาวไกลหลายร้อยลี้ และลอยอยู่บนอากาศเหนือเมืองยมโลก
ทุกคนเดินออกไปจากโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง เมื่อพวกเขาเห็นแม่น้ำสายยาวลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แถมมันยังมีสะพานเหินหาวลอยอยู่เหนือแม่น้ำอีกด้วย ในแม่น้ำ มีเรือสำราญที่ประดับประดาไว้อย่างสวยงาม จอดอยู่ใต้สะพาน
ทุกคนโห่ร้องและอุทาน “เพื่อพบกับภรรยา บรรพชนแรกถึงกับอุทิศพลังวัตรมหาศาลเกินจะหยั่งเพื่อหลอมสร้างสมบัติชิ้นนี้เชียว! ไปๆ ไปขึ้นสะพานกันเถอะ!”
ฉินมู่เองก็ตามคณะขึ้นไป ในวินาทีที่พวกเขาย่างเท้าแตะสะพาน บางอย่างที่ประหลาดก็เกิดขึ้น ฉินมู่พบว่ามีเลือดและเนื้องอกเงยขึ้นมาบนร่างของเขา!
เมื่อมาถึงแดนเป็นคนของคนตาย คนตายก็จะฟื้นคืนชีพ ส่วนคนเป็นจะถูกเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก กระนั้นแม่น้ำและสะพานก็ถึงกับทำให้เขาฟื้นฟูเลือดและเนื้อกลับมาได้ มันประหลาดพิสดารเหลือเกิน!
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยืนอยู่บนสะพาน แต่พวกเขามิได้สูญเสียเลือดและเนื้อไป พวกเขายังคงมีร่างเนื้อที่ครบสมบูรณ์ จากนั่น เห็นได้ชัดว่านี่คือพลานุภาพอันมหัศจรรย์ของระหว่างเป็นตาย
เมื่อข้าควบคุมเรือจันทราเพื่อกลายเป็นผู้พิทักษ์จันทรา ข้าจะต้องทานทนแรงกดดันจากแดนเป็นของคนตายเพื่อรักษาร่างเลือดเนื้อเอาไว้ ดูเหมือนว่ากำลังฝีมือของบรรพชนแรกจะแข็งแกร่งกว่าของผู้พิทักษ์ตะวันเป็นแน่แท้! ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ
กำลังฝีมือของกษัตริย์มนุษย์รุ่นแรกนั้นลึกล้ำเป็นปริศนา เขานั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นจากยุคจักรพรรดิก่อตั้งไม่ผิดแน่!
แต่ทว่า ระหว่างเป็นตายของเขามิได้ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน มันมีประโยชน์ใช้สอยอย่างมหันต์!
เขากะพริบตาปริบ หัวใจก็เต้นตึกตัก เขาพลันนึกถึงวิธีใช้สอยอันล้ำเลิศของระหว่างเป็นตาย อันทำให้ยมโลกสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของคนเป็นได้ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกจริง!
ระหว่างเป็นตายสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งคนเป็น และทำให้ทวยเทพแห่งยมโลกสามารถจุติลงไปยังโลกของคนเป็นได้ แม้ว่าพื้นผิวแม่น้ำจะไม่กว้างใหญ่มาก แต่ก็ยังคงเหนือธรรมดา!
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว เทพและมารในยมโลกมีมากกว่าหลายหมื่น หากว่าพวกเขาจุติลงไปยังโลกมนุษย์ ใครจะต่อต้านพวกเขาได้
หากว่าใช้ระหว่างเป็นตายอย่างเหมาะสม มันก็จะกลายเป็นอาวุธทรงพลานุภาพร้ายกาจ!
ฉินมู่ยืนอยู่ที่หัวสะพานและมองไปยังแม่น้ำอันไหลตรงไปยังแดนใต้พิภพ เขามองเห็นความมืดของอีกฝั่งได้รางๆ แม่น้ำนั้นมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามันมิได้ธรรมดาสามัญเลยแม้แต่น้อย
ในเมืองยมโลก เทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนเงยหัวขึ้นมองดูแม่น้ำยักษ์อันไหลล่องอยู่บนท้องฟ้า กระแสของมันเอื่อยช้าและดูสง่างามอย่างสุดขีด
“กษัตริย์มนุษย์พวกนั้นอีกแล้ว!” เทพตนหนึ่งก้มหน้าลงเบือนสายตาไป จากนั้นเขาก็กล่าวกับทุกๆ คนในบริเวณรอบๆ “ตั้งแต่เจ้าพวกนี้มาที่ยมโลก ก็มีพวกเดียวกันโผล่มามากขึ้นทุกที และพวกเขาก็ยิ่งเขื่องโขโอหังเข้าไปใหญ่ พวกเขาเป็นกลุ่มอิทธิพลของยมโลกเรา แต่ข้าเกรงว่ามีก็แต่มารร้ายพวกนั้นที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ไม่ต้องมองแล้ว แยกย้าย ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปจนลืมทุกอย่างเถอะ”
“บรรพชนแรกพบภรรยาของเขาโดยส่งเรือสำราญนี้เข้าไปในแดนใต้พิภพเพื่อนำทางดวงวิญญาณของภรรยาออกมา จากนั้นพวกเขาก็จะมาพบกันบนสะพาน” บนสะพานระหว่างเป็นตาย สีหน้าของบรรพชนสองหดหู่ลง “หลังจากที่การพบปะกันของพวกเขาถูกแดนใต้พิภพค้นพบ ดวงวิญญาณของภรรยาอาจารย์ก็ถูกผู้นำทางความตายนำจากไป บรรพชนแรกกลับไม่รู้ถึงเรื่องนี้ และยังคงยืนอยู่บนสะพานเพื่อรอนาง แต่เขาไม่เห็นหรือได้ยินข่าวคราวจากนางมาเป็นสิบๆ ปี ในตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างๆ แม่น้ำและเห็นเขาแก่เฒ่าไปในทุกๆ วัน…อย่าพูดเรื่องนี้เลย!”
เขาปลุกปลอบใจตนและมองไปยังฉินมู่ เขาหัวเราะในคอและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตรงนี้ยังมีกายาจ้าวแดนดินที่บอกว่าพวกเราทั้งหมดล้าหลังตกยุค ได้เวลาที่จะให้ชนรุ่นเยาว์รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหน แผ่นดินต่ำเพียงใด!”
ฉินมู่ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ “อาจารย์ปู่ บรรพจารย์ พวกท่านก็รู้หรือ ว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน”
บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทุกคนเผยรอยยิ้มประหลาด และกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ทำไมพวกเราจะไม่รู้ ไอ้ผีน้อยแซ่ซูนั่นบอกพวกเราจนหมดแล้ว พวกเรารู้ทุกอย่าง!”
ฉินมู่มองไปที่รอยยิ้มมีเลศนัยของพวกเขา และฉงนฉงาน หรือว่าพอผู้คนตายไป ก็จะกลายเป็นพิลึกประหลาดกันหมด
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์และหัวเราะคิกคัก “ไอ้ผีน้อยแซ่ซูกล่าวว่าเขาได้ค้นพบกายาจ้าวแดนดินมาเป็นศิษย์อันแข็งแกร่งมากฝีมือ ไร้เทียมทานในโลกหล้า เมื่อพวกเราได้ยินเช่นนี้ พวกเราก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าจะต้องมาตื้บเขาจนตายหลังจากที่เจ้าตายลงมาแล้ว และทำให้เขาตายเป็นรอบที่สอง”
ฉินมู่ฉงน “ทำไมข้าถึงจะตื้บผู้ใหญ่บ้านจนตายด้วยเล่า”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ กลัวว่าฉีคังจะปากสว่างจึงรีบกระแอมไอซ้ำๆ กษัตริย์มนุษย์ฉีคังเข้าใจความนัยและแย้มยิ้ม “กายาจ้าวแดนดินฉิน จ้าวบอกว่าพวกเราแก่เฒ่า ไร้ประโยชน์ ล้าหลัง ตกยุค สู้ไม่ได้ ดังนั้นได้เวลาที่พวกเราจะทวงความยุติธรรม!”
“อาจารย์ปู่ ข้าเพียงแต่กล่าวว่าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกท่านนั้นล้าหลังและตกยุค ส่วนที่เหลือข้าไม่ได้พูดเลย…” ฉินมู่รีบกล่าวทันที
“เพ่ย!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ตะโกน และกระโดดลงจากสะพาน เขาเหยียบไปบนผิวแม่น้ำและเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่า “เลิกพูดมาก มาสู้กันได้แล้ว!”
รัศมีของเขาแผ่พุ่งไปและเสียงระเบิดเจ็ดครั้งดังออกมาอย่างต่อเนื่อง สมบัติเทวะทั้งเจ็ดของเขาพลันเปิดออกตามๆ กัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาทรงพลังอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ และกำลังยืนตระหง่านอยู่บนสะพานเทวะ ดวงดาวพุ่งหวีดหวือและรวมเข้าด้วยกันก่อขึ้นมาเป็นทางช้างเผือกอันหมุนวนรอบกายของเขา ข้างใต้สะพานเทวะก็คือแดนใต้พิภพอันมืดมิด และระหว่างฟ้าและดิน ก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวธาตุทั้งห้า พวกมันรวมกันเป็นเจ็ดดารา แต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนตระหง่านอยู่บนนั้น!
ข้างใต้ดาวเจ็ดดวงคือพื้นปฐพีที่ก่อขึ้นมาจากแท่นวิญญาณ และทิศทั้งหกก็ถูกสถาปนา!
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังดูเขื่องโขโอหังอย่างไม่อาจเปรียบปาน เขายกมือขึ้นเพื่อปิดผนึกสมบัติเทวะสะพานเทวะ อันค่อยๆ หายวับไป จากนั้นก็ปิดผนึกสมบัติเทวะเป็นตาย แดนใต้พิภพจางหาย และจากนั้นก็ปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์ ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาหายไป
รัศมีของเขาอ่อนแอลง แต่ความหยิ่งผยองของเขายังคงดูพยศร้ายอยู่เช่นเดิม เมื่อเขายืนอยู่บนผิวแม่น้ำ ภาพปรากฏการณ์ของภูเขาไฟระเบิดก็ก่อรูปเงาขึ้นมาข้างหลังเขา!
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังยื่นมือขวาของเขาออกไป และกำขึ้นมาเป็นหมัดแน่น เขากวักเรียกฉินมู่ด้วยนิ้วชี้ “กายาจ้าวแดนดินฉิน มาสิ!”
ฉินมู่หัวใจเริ่มเต้นตึกตัก ราวกับว่าเขากำลังลิงโลดที่ได้เห็นเหยื่อ เขาไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นของเขาได้ แต่เขาก็ยังคงลังเล “บรรพชนสอง บรรพชนสาม สายเลือดกษัตริย์มนุษย์ของพวกเราไม่มีการลงโทษสามมีดหกรูสำหรับการทุบตีบรรพจารย์จนน่วมใช่ไหม”
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายแย้มยิ้ม “พวกเราไม่ใช่สำนักมารอย่างลัทธิมารฟ้า ดังนั้นจะมีการลงโทษสามมีดหกรูได้อย่างไรล่ะ ไปเถอะน่า!”
ฉินมู่คลายใจและก้าวออกหนึ่งก้าว ลงไปยังผิวแม่น้ำ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ปู่ หากว่าข้าล่วงเกินท่าน…”
“จะสู้ก็สู้เลย!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ร้องและก้าวไปข้างหน้าด้วยกำปั้น ภาพเงาของภูเขาไฟระเบิดข้างหลังเขาพลันปะทุพวยพุ่ง เพลิงไฟโหมไหม้ และควันดำกับเถ้าถ่านก็ถูกพ่นออกไปบนท้องฟ้า พวกมันคลุมท้องฟ้าจนขมุกขมัว และแม่น้ำก็เริ่มเดือดพล่าน!
คลื่นกระเพื่อมจากพลังหมัดและเจตจำนงหมัดของเขาทำให้มวลน้ำในแม่น้ำรอบกายฉินมู่ผงาดขึ้นมา พวกมันแยกกระจายออกเป็นหยดละอองอันร้อยต่อเป็นเส้นยาว สะเทือนแผ่วเบาพลางลอยลิ่วขึ้นสู่นภากาศ
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพุ่งเข้าไปในมวลน้ำอันลอยขึ้นมา ด้วยหมัดของเขาที่ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น กลายเป็นเขื่องโขโอหังมากขึ้นทุกที รัศมีของเขาก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง!
วงจรพยุหะหมุนติ้วในดวงตาของฉินมู่ และทางช้างเผือกในเนตรของเขาก็ห่อหุ้มไปรอบๆ ดวงตะวัน เขาสามารถมองเห็นใบหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังที่ปะทะเข้ากับหยดน้ำ และการระเบิดของหยดน้ำบนใบหน้าของเขาก่อนจะกระจายออกไปได้อย่างชัดเจน
วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าของเฒ่าบอด!
ตูม!
คลื่นกระเพื่อมรุนแรงส่งออกมาจากผิวแม่น้ำ และหมัดของฉินมู่ก็ปะทะกับหมัดของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง เสื้อผ้าของพวกเขาปลิวไปข้างหลัง หินหนืดและเพลิงไฟจากภูเขาไฟของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง ดูราวกับว่ามันขาดสะบั้นเมื่อพวกมันลอยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า พวกมันถูกเป่ากระเด็นโดยลมพายุหมุน!
สีหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารู้สึกถึงความรู้สึกอันยากจะทานทนในหัวอก “ปราณชีวิตร้ายกาจอะไรอย่างนี้…”
น้ำในแม่น้ำที่ลอยขึ้นไปบนอากาศพลันหยุดชะงัก และหมัดของฉินมู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือพร้อมด้วยปราณชีวิตของเขาอันบ้าคลั่ง!
“แปดพันกระบี่!”
หยดน้ำในท้องฟ้าถูกดึงเข้ามาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ละเอียดยิบ กระบี่ทั้งแปดพันเล่มร่ายรำท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ด แปรเปลี่ยนไปมาอย่างมิอาจคาดเดาได้เพื่อโจมตีกษัตริย์มนุษย์ฉีคังไปพร้อมๆ กัน
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาทะยานขึ้นไปบนอากาศเพื่อล่าถอย ร่างของเขาร่วงลงมาอย่างอิสระ ราวกับว่าเขาคือห่านป่าที่บินเฉียดผิวแม่น้ำ เขากระโดดขึ้นลงสามครา วิชาตัวเบาของเขานั้นประหลาดพิสดารอย่างถึงที่สุด เขาหลบเลี่ยงการเปลี่ยนแปรและการโจมตีทั้งหลายในกระบี่แปดพันเล่มซ้ำแล้วซ้ำอีก!
ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้า ความเร็วของเขานั้นเกินจินตนาการ เขายกสองมือขึ้น และหยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงลงมาระหว่างพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวอันฝ่าลงไป
ฟิ้ว!
แสงกระบี่นับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกจากกระบี่ของเขา และกระบี่บินทั้งหลายก็ราวกับพายุบุแคมที่ซัดถล่มคู่ต่อสู้
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ร้องคราหนึ่ง และทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสะบัดมือ และรูปเงาของฝ่ามือเขาก็เกลื่อนเต็มห้วงเวหน ทันใดนั้นเสียงของกระบี่พุ่งแหวกอากาศก็ดังมา เมื่อกระบี่ทั้งหลายอันฉินมู่ควบแน่นจากหยดน้ำ หมุนเกลียวและเฉือนเปิดฝ่ามือของเขา ในพริบตานั้น ฝ่ามือทั้งสองก็พรุนเป็นรังผึ้ง
“ฮ่า!”
เท้ามหึมาของฉินมู่กระทืบลงไปบนผิวแม่น้ำ และกระแสมวลน้ำก็ผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรวารี ฉินมู่ยื่นมือออกไปคว้าจับมัน และใช้มังกรวารีต่างทวนเล่มหนึ่ง เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับมัน เงาทวนจำนวนไร้ประมาณแทงเข้าไปยังกษัตริย์มนุษย์ฉีคังที่อยู่กลางอากาศ
เขานั้นถูกห้อยไว้ที่ปลายทวนก่อนจะถูกฉินมู่ตวัดเหวี่ยงฟาดลงไปอย่างไร้ปรานีบนผิวแม่น้ำ มันระเบิดกัมปนาท
ทวนมังกรวารีในมือของฉินมู่สลายไป และเขายกมือขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า ฟ้าแลบและอสุนีบาตก็พลุ่งพล่านแปลบปลาบ ก่อรูปเป็นมังกรอัสนีที่ฟาดลงไปยังจุดที่กษัตริย์มนุษย์ฉีคังร่วงตก!
“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
ฉินมู่เงื้อของเขาขึ้น ซัดมุทราออกไป และข้างหลังเขาคือดวงดาวที่พรายพราวอยู่เต็มฟากฟ้า ก่อขึ้นมาเป็นเขตพลังทักษะเทวะคลุมนภาอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ รูปเงาของเทพเจ้าสามร้อยหกสิบตนปรากฏอยู่ในเขตพลังนี้ และทุกตนก็ต่างซัดฝ่ามือจู่โจม
การจู่โจมนี้ไร้เสียง
แม่น้ำใหญ่สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงและบิดเบี้ยวไปมาในอากาศ นี่มาจากพลังฝ่ามือที่แตกต่างกันสามร้อยหกสิบชนิดอันระเบิดปะทุขึ้นมาพร้อมๆ กัน สร้างเขตพลังอันบิดเบือนห้วงมิติ
ฉินมู่รั้งมือของเขากลับ และในอึดใจถัดมา กษัตริย์มนุษย์ฉีคังก็ลอยขึ้นมาบนผิวแม่น้ำ จากนั้นไหลไปตามกระแสน้ำ ผ่านข้างใต้สะพานระหว่างเป็นตาย
บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยื่นคอออกไปดู จากนั้นพวกเขาก็หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรพชนสี่ก็กล่าวด้วยเสียงแผ่ว “เกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน หรือว่าซูน้อยมันโกหกพวกเรา หรือว่าโลกนี้มีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริงๆ”
…………….