ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 510 บ้าเงินทอง
ฉินมู่ตื่นตะลึง เขาหันไปมองฉือซิ่ว แต่เทพตนนั้นหดหัวเข้าไปในขนนกของตนเอง เสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรสักนิด
การที่ฉือซิ่วเป็นผู้ใต้บัญชาคนสนิทของท้าวยมราช ชื่อเสียงของเขามิใช่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ เขานั้นมั่นคงเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่มองดูสภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช อันเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดในการปกป้องตนเอง หากว่าเป็นบุคคลอื่น คนพวกนั้นก็อาจจะรีบเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อช่วยท้าวยมราชออกมา
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ไปช่วยท้าวยมราชนั่นก็แสดงได้ว่าตนจงรักภักดี แต่คนผู้นั้นก็จะได้ประจักษ์สภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช ทำให้เกิดความเสียหายแก่ภาพลักษณ์อันทรงพลังและเปี่ยมปัญญา มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในนั้น แต่ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าข้อดีหรือข้อเสียอันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่โถงวังถล่มลงมามิอาจทำอันตรายแก่ท้าวยมราชได้ ดังนั้นจะดีที่สุดหากว่าไม่แสดงความจงรักภักดีด้วยการรี่เข้าไปช่วยเขา
ท้าวยมราชบอกว่าข้าสามารถเดินผ่านความมืดของแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย นี่มันจริงหรือเปล่านะ
ฉินมู่ลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะว่าการเข้าไปในความมืดนั้นเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของตนเอง หากว่ามันไม่จริง เมื่อเขาออกไปเขาก็จะต้องตาย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทดลอง ตั้งแต่เมื่อยังเยาว์ เขาได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งแดนโบราณวินาศว่าในความมืดมีสิ่งร้ายน่าสยดสยองอยู่มากเพียงใด และเขาจะต้องไม่เดินเข้าไปในนั้นไม่ว่ากรณีใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ฉินมู่เติบโตขึ้นมา เขาก็ได้ประจักษ์ความน่าสยดสยองของความมืด เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ความมืดจะไม่แตะต้องเขา
เขาได้บุกเข้าไปในความมืดหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งเขาก็พึ่งพิงสมบัติวิเศษหรือยอดฝีมือที่ราวกับเทพยดาให้ช่วยปกป้องเขาจากความมืด เขาได้ใช้หีบของซิงอ้าน การปกป้องของผู้ใหญ่บ้าน หรือการปกป้องของเทพครองแดนเลี้ยงมังกร เพื่อให้ตนเองไม่เป็นอันตราย
เขานั่นยังคงกริ่งเกรงการทดลองเข้าไปในความมืดโดยไม่มีสิ่งใดป้องกัน
“ไปกันเถอะ” ฉือซิ่วเร่งเขา “หลังจากส่งเจ้าออกไป ข้าจะได้พักสักที”
“เทพฉือซิ่ว ข้ายังคงต้องไปยังย่านพำนักของลัทธินักบุญสวรรค์เพื่อไปรับกิเลนมังกรและหีบ”
ฉือซิ่วจึงได้แต่นำเขาไปยังย่านพำนักของอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ประตูทั้งหมดถูกปิดลั่นดาลไว้สนิท และกิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เยาว์ทิ้งไว้นอกประตู เขานั้นกำลังกระดิกหางไปมาและพูดจาออดอ้อนปรมาจารย์ให้เปิดประตู
ปรมาจารย์เยาว์ไม่รับเขาไม่ว่าจะอย่างใด เพียงแต่ตะโกนมาจากข้างใน “ในการเดินทางของความเป็นและความตาย ข้าได้ตายไปแล้วส่วนเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตามจ้าวลัทธิออกไปเสียเถอะ!”
กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าตะกุยประตูและร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง
ปรมาจารย์เยาว์ก็สะอื้นอยู่ในคอขณะที่พยายามกลั้นน้ำตา เขาอยากจะเปิดประตู แต่เขากลัวว่าเจ้าหมอนี่จะเข้ามาถูไถเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงได้แต่ทำใจแข็ง
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกรมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มังกรอ้วน ไม่ต้องเศร้าไปหรอก ปรมาจารย์ใช้ชีวิตที่นี่ดีอยู่แล้ว และพวกเราก็มีชีวิตเป็นๆ อยู่ข้างนอก พวกเราสามารถแวะมาหาเขาได้ตลอดในกาลข้างหน้า”
กิเลนมังกรเดินเข้ามา เมื่อเขาสัมผัสเข้ากับไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เลือดเนื้อก็งอกเงยขึ้นมาบนร่างกายของเขา ดวงอาทิตย์ใหญ่มหึมากำลังลอยสูงขึ้นกลางฟ้าในตอนนั้น และกลายเป็นใหญ่โตราวกับว่าจะร่วงตกลงมาใส่ได้ทุกขณะจิต
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนดวงอาทิตย์สร้างขึ้นมาจากทองคำ เทพและมารหน้าโถงเหล่านั้นที่เห็นเงารูปอยู่รางๆ ยังคงรัวตีกลองอย่างดุเดือด พวกเขาใช้ไฟแท้หยางพิสุทธิ์เพื่อเคี่ยวกรำยมโลก
ดวงตะวันเข้ามาใกล้พวกเขาจนฉินมู่เริ่มระแวงว่าเทพและมารบนนั้นจะลงมือโจมตีเมื่อใดก็ตาม
“พวกเขาไม่กล้าโจมตีหรอก” เทพฉือซิ่วไซ้แต่งขนของตนเองอย่างใจเย็น ไม่อนาทรร้อนใจท่ามกลางความอลหม่าน “นี่คือยมโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ พวกเขาดูเหมือนจะใกล้ แต่อันที่จริงแล้วกลับอยู่ห่างไกล มันมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกกั้นขวางพวกเราเอาไว้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนพวกเราก็ต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่เสมอ พวกเขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในดวงอาทิตย์และตีกลองเท่านั้น”
ฉินมู่ฉงนเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงถาม “ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้านี้แตกต่างจากดวงที่อยู่ในสันตินิรันดร์ เช่นนั้นดวงอาทิตย์นี้…”
“มันคือดวงอาทิตย์ของแดนโบราณวินาศ เป็นของจริง” เทพฉือซิ่วกล่าว “ดวงอาทิตย์ในสันตินิรันดร์เป็นของปลอม”
ฉินมู่นิ่งอึ้งไป ดวงอาทิตย์ตรงหน้าเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว โชคดีที่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ใต้ม่านปลอมของดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว มิเช่นนั้น หากผู้คนแห่งสันตินิรันดร์ได้มองเห็นดวงอาทิตย์อันน่าสยดสยองนี้ แม้แต่จักรพรรดิก็คงจะต้องเสียสติ
“ปรมาจารย์ ท่านมีเงินไหม” ฉินมู่ถามผ่านรอยแยกในประตู “เข้าแดนยมโลกต้องใช้เหรียญทองและข้ามีเพียงแค่สามเหรียญตอนที่มาที่นี่ ข้าต้องการเหรียญเอาไว้ขึ้นเรือ”
ปรมาจารย์ยัดเหรียญทองจำนวนหนึ่งผ่านช่องประตู “ข้าเพิ่งตายมา ดังนั้นจึงไม่มีเงินมาก เจ้าใช้มัธยัสถ์หน่อยนะ”
ฉินมู่รับคำและเดินไปเคาะประตูของจ้าวลัทธิคนอื่นๆ “สหายจ้าวลัทธิ หากว่าพวกท่านไม่ยอมจ่าย ข้าจะไม่ส่งเครื่องเซ่นมาและรื้อป้ายบูชาบรรพชนของท่านออก”
“เจ้าวายร้าย รังแกได้แม้แต่บรรพบุรุษเลยหรือ นี่มันก็แค่เรื่องเงินเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ เอาไปเสีย!”
ฉินมู่เคาะประตูทุกบานและรีดไถมาได้ราวๆ สองร้อยเหรียญยมโลก จากนั้นเขาก็ไปยังย่านพำนักของกษัตริย์มนุษย์และถามสัตว์พิสดารตรงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง “บรรพชนแรกกลับมาหรือยัง”
สัตว์พิสดารทั้งสองวิ่งเข้าไปในโถงและลากเต๋าตี้โยนออกมา “นายผู้เฒ่ายังไม่กลับ”
เต๋าตี้ร่วงลงกับพื้นและถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผาไหม้ ด้วยเสียงปังๆ ไม่กี่ครั้ง มันก็กลายร่างกลับเป็นหีบใหญ่ที่เดินตามกิเลนมังกรไปอย่างเชื่องเชื่อ
“จ้าวลัทธิฉิน ได้เวลาออกไปแล้ว!” ฉือซิ่วเร่งรัดเขา
“เทพฉือซิ่ว โปรดรอสักครู่”
ฉินมู่เดินไปยังบ้านของบรรพชนสองผู้ซึ่งเปิดประตูและไม่เดินออกมา ด้วยเขากังวลว่าจะถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผา “สองแขนเสื้อของข้ามีมีแต่ลมและอากาศ ข้าไม่มีเงินเลยสักนิด เลยได้แต่ไปกินฟรีที่บ้านอาจารย์”
ฉินมู่นำเหรียญทองยมโลกออกมาจำนวนหนึ่งและแย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านมีนิสัยใจคออันสูงส่ง และบูรณภาพอันไม่ต้องสงสัย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมอบเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้ท่านใช้ประทังไปในช่วงเวลานี้ เมื่อข้ากลับไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ ข้าจะเผาเงินทองมาให้บรรพจารย์สักหน่อย”
บรรพชนสองลิงโลดยินดีและรีบรับเหรียญทองเหล่านั้นมา “เจ้านั้นกตัญญูกว่าซูน้อยนัก ซูน้อยยังไม่กลับมา เมื่อเขากลับมา พวกข้าจะต้องมีของให้เขาประหลาดใจ”
“บรรพชนสอง อย่าลืมบอกผู้ใหญ่บ้านว่าข้ามาที่นี่”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกเขาแน่นอน!” บรรพชนสองพูดผ่านฟันที่ขบกันกรอดๆ
ฉินมู่ลังเลก่อนจะกล่าว “บรรพชนสอง ข้าขอยืมระหว่างเป็นตายของบรรพชนแรกได้หรือไม่ ข้าอยากที่จะทำธุรกิจ…”
บรรพชนสองฉงนใจ “เจ้าจะใช้ระหว่างเป็นตายไปทำธุรกิจได้อย่างไร”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “มีเทพและมารมากมายในยมโลกที่ไม่อาจไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ระหว่างเป็นตายเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะจากโลกแห่งคนเป็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถรับเหรียญทองหรือเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของเทพและมารเหล่านั้นได้ เพื่อเป็นค่าจ่ายสำหรับให้คนเป็นเหล่านั้นไปทำตามความหวังของเทพและมารให้สำเร็จ ข้าคิดว่านี่จะต้องเป็นกิจการใหญ่ได้อย่างแน่นอน! ข้าวางแผนที่จะกรุยถนนหนทางผ่านแดนโบราณวินาศ ดังนั้นข้าจึงต้องการเงินทองจำนวนหนึ่งเพื่อไปใช้อุดหนุน”
บรรพชนสองยังฉงนฉงาย และถาม “แล้วเงินทองจะมาจากที่ไหน”
“ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อใช้สอยระหว่างเป็นตาย และข้าก็จะได้เงินทองมากมายจากการนี้”
บรรพชนสองพลันกระจ่างแจ้งและด่าทอเขาด้วยรอยยิ้ม “ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ระหว่างเป็นตายสามารถเชื่อมต่อยมโลกเข้ากับโลกแห่งคนเป็น ดังนั้นบรรพชนสองก็สามารถเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากเทพและมารที่นี่ได้เช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ท่านก็จะสามารถหาเงินได้ก้อนใหญ่ ต่อให้ข้าไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้มา พวกท่านก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ภายในเวลาไม่กี่ปี พวกท่านก็จะกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ในยมโลก!”
บรรพชนสองตะลึงงันและร้องออกมา “เก็บเงินจากทั้งสองฝั่ง? ธุรกิจดีงามแบบนี้เชียวหรือ ผู้คนจะไม่โจมตีและด่าทอพวกเราหรอกหรือ”
“ระหว่างเป็นตายอยู่ในมือของพวกเรา และมีก็แต่เส้นทางนี้ที่สามารถเชื่อมโยงโลกแห่งคนตายและโลกแห่งคนเป็นเข้าด้วยกันได้ ต่อให้พวกเขาสบถด่า พวกเขาก็ยังคงไม่มีทางเลือก แต่ต้องใช้เส้นทางนี้และจ่ายเงินพวกเรา”
บรรพชนสองรีบวิ่งออกไป ลุยฝ่าไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เพื่อไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางของบรรพชนแรก เขาไม่สนใจไฟที่ลุกติดตามเนื้อตัวของเขาขณะที่วิ่งกระโจนเข้าไปในโถงเพื่อหยิบฉวยระหว่างเป็นตายมา
สัตว์ยักษ์เฝ้าประตูสองตัวปากบิดเบี้ยวกระตุกเมื่อพวกมันกล่าว “บรรพชนสอง นายผู้เฒ่ามีสมบัติอยู่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวท่านก็สูบเลือดเขาแห้งตายในไม่ช้าไม่นาน!”
บรรพชนสองส่งยิ้มให้พวกมัน “อาจารย์ข้ายังจะถือข้าเป็นคนนอกหรือ เมื่อข้าร่ำรวย พวกเจ้าก็จะได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่รับระหว่างเป็นตายมา อันเป็นแม่น้ำเล็กๆ ที่ยาวประมาณวาครึ่ง มันมีสะพานและเรืออยู่ในนั้น
บรรพชนสองแนะนำเขา “ขัดเกลาระหว่างเป็นตายนี่ก่อน เมื่อเจ้าทำพิธีกรรม ก็จะสามารถสัมผัสถึงมันที่นี่ได้ จำไว้ว่า ต้องทำพิธีในตอนกลางคืน หากว่าเจ้าทำพิธีในตอนกลางวัน เจ้าก็จะเห็นภาพอย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้ เทพเจ้าบนดวงอาทิตย์จะเอาไฟไล่เผาพวกเราจนไม่เป็นอันทำธุรกิจ“
ฉินมู่รับคำและแขวนห้อยแม่น้ำสายยาวนี้ไว้บนหลัง “บรรพชนสอง โปรดรอข่าวจากข้า”
บรรพชนสองสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนนั้น และกล่าวทันที “ธุรกิจเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าอุทิศกำลังลงไปมากนักและมุ่งเน้นที่การฝึกปรือของตนเองดีกว่า ปล่อยให้เรื่องการเก็บเงินทองเป็นหน้าที่คนอื่น”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าว “ข้าเข้าใจ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำเหรียญทองยมโลกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง “บรรพชนสอง โปรดส่งเหรียญพวกนี้ไปให้บรรพชนคนอื่นๆ เพื่อใช้ประทังชีวิตในช่วงนี้ก่อน”
“กษัตริย์มนุษย์ฉินช่างมีแก่ใจคิดถึง”
ฉินมู่กล่าวลา และเทพฉือซิ่วก็ส่งเขาไปที่หินปักปันเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย “หลังจากเดินออกไปจากที่นี่ก็จะไม่มีไฟแท้หยางพิสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าแค่นั่งเรือก็ออกไปได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ หลังจากเดินออกจากแดนเป็นของคนตาย กายเนื้อของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เขาโบกมือให้กับเทพฉือซิ่วที่กระพือปีกบินจากไป
ท่าเรืออยู่ใกล้ๆ และฉินมู่ก็เรียกเรือโดดเดี่ยวกลางทะเลหมอก โครงกระดูกนักพรตหลิงจิ่งคัดท้ายเรือมา บรรทุกเขา กิเลนมังกร และหีบขึ้นไปส่งยังอีกฝั่งฟาก
เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ฉินมู่ก็ลงจากเรือและนำเอาเหรียญทองสามเหรียญจ่ายค่าโดยสาร นักพรตหลิงจิ่งตื่นตะลึงและรีบกล่าว “พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นไม่ต้องจ่าย”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “นักพรตโปรดรับไปเถอะ”
นักพรตหลิงจิ่งรีบรับค่าโดยสารของเขาและถามหยั่ง “กษัตริย์มนุษย์ฉินไปร่ำรวยอะไรมา”
ฉินมู่หัวเราะฮาๆ “ข้ากำลังจะรวยแล้ว! นักพรต ลาก่อน”
นักพรตหลิงจิ่งใช้สายตาส่งเขาไป และเก็บเหรียญทองเอาไว้อย่างดีพลางครุ่นคิดกับตนเอง อีกไม่กี่ร้อยปี ข้าก็จะสามารถซื้อบ้านในยมโลกได้เหมือนกัน…
เทพฉือซิ่วกลับไปยังท้องพระโรงราชาฉินและเห็นว่าสิ่งก่อสร้างอันถล่มพังลงมานั้นได้กลับเป็นปกติแล้ว เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและเห็นท้าวยมราชยืนอยู่ที่ปลายสุดโถง มองไปยังเพลิงไฟข้างหลังประตู
“อาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล น่าสนใจจริงๆ” ท้าวยมราชพลันกล่าว”แม้ว่าเขาจะมิได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่สายเลือดของเขาก็ยังคงเป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นไม่ธรรมดา เพียงการพบกันระยะสั้นๆ ข้าก็มีความคาดหวังมหาศาลต่อตัวเขา หากว่าเป็นบิดาของเขาที่มา ความคาดหวังของข้าคงยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นข้าก็คงจะหดหู่ใจหลังจากนั้นอยู่ดี ทว่าในตอนนี้ แม้ว่าข้าจะผิดหวังในตอนแรกที่เขามาถึง แต่ความกระตือรือร้นคาดหวังของข้ากลับยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
เทพฉือซิ่วไม่เข้าใจ “จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉินผู้นี้ มีอารมณ์ที่กระโดดเพ่นพ่านไปทั่ว ไฉนท้าวยมราชจึงมีความคาดหวังต่อตัวเขา เขาอยู่ในยมโลกแค่ครึ่งวันก็ไปต่อยตีกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดจนน่วม ทุบทำลายโถงวังของจ้าวลัทธิจู่หยาง และอัดอดีตจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหมดจนยับเยิน เขายังไปรีดไถเงินทองจากอดีตจ้าวลัทธิ ทั้งยังไปขอระหว่างเป็นตายมา วางแผนที่จะเชื่อมโลกแห่งคนตายและโลกคนเป็นเข้าด้วยกันเพื่อทำธุรกิจ! นี่ไม่ใช่เล่นอะไรไร้สาระหรอกหรือ”
ท้าวยมราชหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ยมโลกนั้นเย็นเยือกและไร้ชีวิตชีวามากเกินไป ดังนั้นปล่อยให้เขาเล่นบ้าไปเถอะ เผื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันคาดไม่ถึงขึ้นมา ข้าไม่เคยเห็นคนที่น่าสนใจกับความคิดแผลงๆ แบบนี้มาก่อน บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความลับเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิด นี่ทำให้ข้ายิ่งลุ้นรอดูกาลข้างหน้าของเขามากยิ่งขึ้นไป…”
เทพฉือซิ่วตกตะลึง “ท้าวยมราชจะอนุญาตให้เขาเชื่อมต่อยมโลกกับโลกแห่งคนเป็นเพื่อทำธุรกิจจริงๆ น่ะหรือ”
ท้าวยมราชโบกมือ และไม่กล่าวอะไรอีก
แม้ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาแล้ว ความมืดก็ยังคลี่คลุมแดนใต้พิภพ ที่นี่ไม่มีท้องฟ้า แผ่นดิน ดวงตะวัน ดวงจันทร์ หรือดวงดาว
ซิงอ้านล่องลอยไปในความมืด แต่ในจังหวะนั้น ก็มีเสียงเลือนลางแว่วมา ปลุกเขา
“ซิงอ้าน ตื่นขึ้นมา…”
………………..