ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 548 ฟู่ยื่อลัวในเพลิงไฟ
“ทำไมพวกเราต้องหนี”
ฉู่เหยา อวี่เหอ และคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล่าวเช่นนั้น เทพเสือขนดำหูพลันตั้งชันขึ้นมา และเขามองไปยังแท่นสังเวยอันกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
รอบๆ มัน ทหารมารหลายคนได้ยินเสียงตะโกนของฉินมู่ และมองเข้ามาด้วยความสงสัย แม่ทัพมารผู้มีวรยุทธขั้นชาวสวรรค์รีบตะโกนออกไปสองทีเพื่อส่งมารจำนวนหนึ่งออกมาตรวจดู
ใบหูของเสือเทพยดาขนดำลู่ติดหลังหัวอีกครั้ง และเขาถามด้วยความฉงน “ทำไมต้องหนี มารพวกนี้รับมือไม่ยากเลยสักนิด แม้ว่าแม่ทัพมารขั้นชาวสวรรค์คนนั้นจะจัดการลำบากสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสู้เขาไม่ได้นี่”
ฉินมู่เหงื่อเย็นเยียบผุดเต็มหน้าผาก และเขารู้สึกว่ากระจกในมือกลายเป็นหนักอึ้งมากขึ้นทุกที มันราวกับว่าเขากำลังถือภูเขามหึมาเอาไว้อันฟู่ยื่อลัวกำลังจะเดินออกมา
“มันคือฟู่ยื่อลัว! เขาอยู่ที่นั่น ตรงแท่นสังเวย!” เสียงของเขาแหบพร่า “พวกเจ้าไม่เห็นเขาหรือ เขากำลังก้าวอาดๆ ตรงมายังพวกเรา!”
ทุกคนแตกตื่นและรีบเหลียวมองไปรอบๆ อวี่เหอฉงนใจ “ไหนฟู่ยื่อลัว”
เทพเสือขนดำมองไปรอบๆ และหูของเขาก็พลิกกระดิกขณะที่เขาพยายามเงี่ยฟังบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัว “ไม่เห็นมีวี่แววของฟู่ยื่อลัว เจ้าสับสนไปเองหรือเปล่า ฟู่ยื่อลัวเป็นจอมทัพบัญชาการของเผ่ามารทั้งหมด เช่นนั้นเขาจะมาทำอะไรที่นี่แทนที่จะเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่ฐานทัพใหญ่”
กระจกในมือของฉินมู่หนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง และมันร่วงตกลงไปบนพื้น “พวกเจ้าไม่เห็นฟู่ยื่อลัวในกระจกหรือ เมื่อครู่นี้เขาเดินออกมาจากแท่นสังเวย ข้าเห็นเขาในกระจก!”
ทุกคนรีบมองไปที่กระจก “จ้าวลัทธิ ในกระจกไม่มีอะไรเลย เจ้าตาฝาดหรือเปล่า”
“ศัตรูกำลังจะบุกโจมตีพวกเรา เตรียมปะทะพวกเขา!” ฉู่เหยารีบกล่าว
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่กระจกกระจ่างนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองไม่เห็นฟู่ยื่อลัวที่ไหน แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
พละกำลังของฉินมู่อาจจะเทียบไม่ได้กับอวี่เหอ ฉู่เหยา และซังฮั่ว แต่มันก็ไม่ถึงขนาดกับที่ว่าเขาจะถือกระจกบานหนึ่งเอาไว้ไม่อยู่!
มันร่วงตกลงไปบนพื้นนั้นหมายความว่า มันหนักอึ้งอย่างมหันต์ เกินขีดจำกัดของพละกำลังฉินมู่!
นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
เสือเทพยดาขนดำเดินที่ไปกระจกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ที่แท่นสังเวยไม่มีวี่แววของฟู่ยื่อลัว เจ้าเห็นเขาในกระจกจริงๆ น่ะหรือ”
สายตาของฉินมู่ยังจ้องอยู่ที่กระจกราวกับว่าเขาไม่อาจละสายตาออกไปได้ เหงื่อเม็ดโป้งผุดที่หน้าผากของเขา และแม้ว่ากระจกจะร่วงลงไปกับพื้น มันก็ไม่แตก มันตั้งตรงขึ้นมาตรงหน้าเขาราวกับว่ามีพลังอำนาจอันไม่อาจบรรยายได้จับมันเอาไว้
เทพเสือขนดำมองเข้าไปในกระจก แต่ก็ยังคงไม่มีฟู่ยื่อลัวอยู่ในนั้น มีก็แต่เงาสะท้อนของฉินมู่
เทพเสือขนดำสะท้านใจ และเขารีบเดินไปฝั่งตรงข้าม มองเข้าไปในดวงตาฉินมู่
เด็กหนุ่มยังคงจ้องไปที่กระจกด้วยความสะพรึงกลัว ในดวงตาของเขาแต่ละดวง มันมีเงาร่างหนึ่งที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกๆ ในแก้วตาของเขา!
ไม่นาน เทพเสือขนดำก็มองเห็นรูปลักษณ์ของเงาร่างนั้นอันมีหน้าสามหน้า นั่นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากจอมทัพบัญชาการแห่งเผ่ามาร ฟู่ยื่อลัว!
“บัดซบ! ฟู่ยื่อลัวไม่ได้อยู่ในกระจก แต่อยู่ในดวงตาของเจ้า! เจ้าสบตากับเขามาก่อน!” เทพเสือขนดำสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบฟาดทุบกระจกให้แตกพัง และอีกมือหนึ่งเขาก็คว้าตัวฉินมู่เอาไว้ “อย่ามองเข้าไปในกระจก! เขาหยิบยืมดวงตาของเจ้าและเงาสะท้อนในกระจกเพื่อปรากฏตัวออกมา!”
ในตอนนั้น มือสีดำคู่หนึ่งก็พลันยื่นออกมาจากกระจกตรงหน้าฉินมู่ และคว้าไหล่ของเขา เด็กหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์กระดาษและถูกลากเข้าไปในกระจก
เทพเสือขนดำหมายจะทุบทำลายกระจก แต่ยับยั้งตนเองเอาไว้ เขามองไปที่มือของเขาที่คว้าจับอากาศอันว่างเปล่า เขารีบพลิกกระจกกลับไป แต่มันว่างเปล่า มีก็แต่มือสีดำคู่หนึ่งและฉินมู่ที่กำลังลากเขาห่างไกลออกไป กลายเป็นเล็กลงและเล็กลงทุกที
เทพเสือขนดำกระโดดเข้าใส่กระจก และขณะที่เขาจะตามเข้าไปในนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพล้ง กระจกนี้ถูกเขาทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
เสือเทพยดาขนดำลุกขึ้นมาด้วยความงงงัน
อวี่เหอ ฉู่เหยา และคนอื่นๆ กำลังเตรียมพร้อมที่จะปะทะกับศัตรู แต่บัดนี้พวกเขาตกตะลึงเกินไปจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีเวลาคิดมากความและต้องหันไปต่อสู้กับศัตรู
ฟู่ยื่อลัวหมายที่จะชิงตัวศิษย์น้องไปตั้งนานแล้ว ในเมืองหลีเขาได้ประจันสายตากับศิษย์น้องฉินและฝังทักษะเทวะเต๋ามารลงในดวงตาของเขา…
เหงื่อเย็นเยียบร่วงลงมาจากหน้าผากเสือเทพยดาขนดำ ทักษะเทวะเต๋ามารของฟู่ยื่อลัวจะต้องซ่อนเร้นจากสายตาของตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างนักบุญคนตัดไม้และเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ ดังนั้นมันน่าจะไม่มีพลานุภาพใดๆ
นี่หมายความว่า ฟู่ยื่อลัวเพียงแต่ฝังประทับเงาของเขาเข้าไปในส่วนลึกดวงตาของฉินมู่ เงานี้ไม่มีพลังอำนาจ ในเมื่อมันเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะปิดบังจากสายตาของเทพเจ้าอย่างนักบุญคนตัดไม้
ก็มีแต่เมื่อฉินมู่ก้าวเข้ามาในเขตแดนของเผ่ามารและดูดซับปราณมารเข้าไป เงานี้จึงฟื้นฟูพละกำลังขึ้นมา มันจะขยายตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจับตัวเด็กหนุ่มไป
นั่นเพราะว่าเงานี้เป็นเพียงรอยประทับในดวงตาของฉินมู่ และร่างกายของฟู่ยื่อลัวในนั้นเป็นปรัศวภาคกับร่างจริง มันพลิกสลับซ้ายขวาเมื่อเทียบกับฟู่ยื่อลัวในโลกจริง และนั่นรวมถึงอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขา รอยประทับทักษะเทวะของเขา และอนุภาคที่เล็กที่สุดในร่างกายของเขา
มีก็แต่เมื่อฉินมู่ยกกระจกขึ้นและมองเข้าไปในนั้น ฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขาจึงปรากฏตัวขึ้นมา จากนั้นเขาจึงสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อลักพาตัวฉินมู่ได้
ในพริบตาที่เด็กหนุ่มเข้ามาในเขตแดนมาร และยกกระจกขึ้นมา เขาก็ได้กระตุ้นการทำงานทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวแล้ว
หากว่าข้าสำเหนียกเร็วกว่านี้สักหน่อย… เหงื่อเย็นเยียบร่วงพราวราวห่าฝนจากหน้าผากของเทพเสือ และเปลือกตาของเขาก็เหมือนม่านน้ำตกสองม่าน คราวนี้ไม่ใช่ศิษย์น้องฉินที่ก่อเรื่องวุ่นวาย แต่เป็นข้า…ตอนนี้ข้าทำศิษย์น้องฉินหายตัวไปเสียแล้ว ข้าจะตอบนายท่านว่าอย่างไรได้…ข้าจบเห่!
ฉินมู่มองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมใหม่ เขาปรากฏตัว ณ สถานที่อันรกร้างว่างเปล่าเกินจินตนาการ บนท้องฟ้ามีดาวเคราะห์หลายดวง แต่พวกมันแตกพัง เปลี่ยวร้าง และโดดเดี่ยว
เขานั้นอยู่ในบึงป่าพรุใหญ่ ยืนอยู่บนผิวน้ำ มีเพลิงไฟลอยมาจากที่ไกลๆ แผดเผาอยู่เหนือพื้นดินของบึงพรุ
เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ปราณมารลอยอ้อยอิ่งอยู่ทุกหนทุกแห่งราวกับมวลหมอก
“ฟู่ยื่อลัว!” ฉินมู่ตะโกน “เจ้าเป็นผู้อาวุโส ทั้งยังจับตัวข้ามา ทำไมเจ้าไม่เผยตัวออกมาล่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบริเวณโดยรอบ ราวกับว่าเขาเป็นชีวิตเดียวที่หลงเหลืออยู่ที่นี่
ฉินมู่ขมวดคิ้วและเดินตรงไปข้างหน้า เสียงกร๊อบสดใสดังมาจากใต้เท้าของเขา และเขาก็ก้มหัวลงไปดู เขาได้เหยียบไปบนศพเน่าเปื่อย จากเสื้อผ้าและขนาดร่างกาย มันน่าจะเป็นมารตนหนึ่งที่ตายมานานแล้ว
ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่มองไปยังบึงพรุรอบๆตัวเขา มันมีซากศพลอยเกลื่อนอยู่ทุกที่ และพวกมันทั้งหมดก็เป็นของเผ่ามาร กองระเกะระกะไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถึงกับมีบางแห่งที่พวกมันกองสุมกันเป็นเนินเขา ไฟมารแผดเผา เผาพวกมันและเผาท่อนไม้ฟืนกับกระท่อมฟาง อย่างหลังนั้นน่าจะมาจากบ้านเรือนที่พังถล่ม
บนท้องฟ้าไม่มีดวงตะวัน มีก็แต่ดาวเคราะห์แตกๆ หักๆ
ทันใดนั้น งูไฟมากมายก็พุ่งวาบฝ่าอากาศ พวกมันเป็นร้อยๆ ตัวระดมถล่มลงมา พวกมันคือเศษซากดาวเคราะห์แตกหักมากมาย อันแต่ละชิ้นมีขนาดเท่าภูเขา และถล่มลงมาใส่เขา!
ฉินมู่หมายจะหลบหนี แต่มันสายเกินไป
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องมา เมื่อเพลิงไฟอันน่าสะพรึงกลัวซัดเข้าใส่ใบหน้าของเขาราวกับคลื่นยักษ์อันกวาดซัดพร้อมกับพายุหมุนอันสะท้านขวัญ กลบกลืนตัวเขา
ฉินมู่ยืนอยู่ในเพลิงไฟและพายุหมุน แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย คลื่นอันน่าสยดสยองกวาดซัดใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อพวกมันมาถึงตัว พวกมันก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยพลานุภาพประหลาด
แต่ทว่า ซากศพในบึงพรุไม่มีสิ่งใดปกป้องพวกมัน พวกมันแหลกสลายไปในการปะทะอันร้ายกาจรุนแรงนี้ ร่างกายอันงอก่องอขิงถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านและถูกลมพัดเป่ากระจุยไป
บึงพรุแห้งเหือดไปในพริบตา แต่ไม่ทันที่ฉินมู่จะตั้งสติได้ เขาก็ตกตะลึง ดาวเคราะห์แตกหักได้เคลื่อนที่มายังเหนือหัวของเขา และยกคลื่นกระเพื่อมอันรุนแรงราวคลื่นยักษ์อันน่าสะพรึงกลัว
เสียงระเบิดกัมปนาทราวอสุนีบาตดังขึ้นมาบนท้องฟ้า และคลื่นลูกหนึ่งอันสูงยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุก็ซัดถล่มลงมาที่เขา พื้นดินถูกฟาดให้แตกแยกออกมา และภูเขาไฟก็ปะทุพวยพุ่ง พวกมันพ่นเสาแมกม่าอันสูงจรดฟ้าและดิน
สายฟ้าพุ่งแปลบปลาบบนเวหา และฉินมู่เห็นภูเขาไฟนับพันกับเสาเพลิงถูกกวาดซัดจากไปด้วยคลื่นยักษ์ แม้แต่ฟ้าผ่าและฟ้าแลบก็ถูกกลบกลืน คลื่นมหึมานั้นถล่มลงมา และมันเป็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของฟ้าและดินอันเขามิอาจต่อต้านได้
ฉินมู่ยืนนิ่งได้แต่รอจุดจบของเขา แต่เมื่อคลื่นอันน่าสยดสยองนั้นมาถึงตัว มันก็ถูกสกัดขัดขวางไว้ด้วยพลังอำนาจประหลาดที่ฉีกมันออกเป็นสองฟาก เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
ดาวเคราะห์บนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อยกลับไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ บึงพรุกว้างใหญ่อีกบึงหนึ่งก่อตัวขึ้นมา และร่างกายแตกหักทั้งหลายก็กลับมาลอยบนผิวบึงอีกครั้ง
สถานที่พิลึก…
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและเดินไปข้างหน้า เขารู้ว่าเขาถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวมา แต่มารเทวะมิได้สังหารเขา ในทางกลับกัน เขาถูกฟู่ยื่อลัวโยนเข้ามาในสถานที่เช่นนี้
อีกฝ่ายคงจะต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
ความเร็วของเด็กหนุ่มรวดเร็วอย่างสุดๆ และเขาก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้นและเร็วขึ้นอย่างที่เขาไม่เคยทำได้มาก่อน ระหว่างการเดินทางเขาได้ประสบภัยพิบัติภูมิอากาศอันน่าสะพรึงกลัวอีกหลายครั้ง มีทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุสายฟ้า ภูเขาไฟ และชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ที่ร่วงลงมาทำลายล้างโลก
“มหาราชา!” ทันใดนั้น มารเทวะตนหนึ่งก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าและโค้งคารวะเขา “มหาราชา แท่นสังเวยก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอท่านโปรดบัญชา”
ฉินมู่ตกตะลึงที่มารเทวะนี้สุภาพนอบน้อมต่อเขาอย่างสุดขีด เขาเหมือนจะมองไม่ออกว่าฉินมู่เป็นมนุษย์
“ตกลง” ฉินมู่ตอบไปอย่างคลุมเครือ “จงนำทาง”
มารเทวะทำตามที่เขาบอก และไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงเมืองมากมายที่อยู่ด้วยกันเป็นกระจุก มันมีแท่นสังเวยหลายพันที่เหมือนกับพีระมิดทองคำ มารเทวะมากมายยืนอยู่บนนั้นขณะที่มีมารชั้นเลวจำนวนมากคุกเข่าอยู่ที่ตีนบันไดแท่นสังเวย รอการถูกบูชายัญ
“มหาราชา โลกของเราอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ขอท่านโปรดบัญชา!”
มารเทวะมองไปที่เขาด้วยสายตาอันรุ่มร้อน และฉินมู่ก็ผงกหัวไปด้วยความเหม่อลอย
มารมากมายที่คุกเขาอยู่บนบันไดหินเงื้อมืดของพวกเขาขึ้นและปาดคอตนเอง เลือดสดๆ พลันหลั่งไหลท่วมท้นแท่นสังเวย
เสียงอันกึกก้องดังออกไป กล่าวด้วยภาษามาร ฉินมู่เคยเรียนมันมาก่อนจึงสามารถเข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดว่าอะไร
พวกมันกำลังเสียสละและเซ่นสังเวยตนเองเพื่อแสวงหาหนทางรอดให้แก่ชนรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ โลกของพวกเขากำลังจะถูกทำลาย และพวกเขาก็ต้องการโลกใบใหม่ที่จะไปอาศัยอยู่
พีระมิดอันสูงละลิ่วนั้นกลายเป็นเปล่งแสงเจิดจ้าเมื่อเสาแสงพุ่งทะลวงขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อแหวกแยกมันออกเป็นสองฟาก พวกมันฉีกทะลุม่านคุ้มกันโลกของพวกเขาราวกับว่ามันเป็นเยื่อบางๆ
มันถูกฉีกปรุออกมาอย่างสะเปะสะปะ และโลกอื่นอีกโลกก็ค่อยๆ เผยโฉมปรากฏ
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมอง และพบว่ามันคือ…สวรรค์ไท่หวง
เขาก้มหน้าลงและมองพื้นน้ำที่อยู่ใต้เท้าของเขา ข้างในนั้นเขาเห็นเงาสะท้อนใบหน้าของตน
เงาจากน้ำเผยให้เห็นใบหน้าสามหน้าและหูแหลมข้างหลังศีรษะของเขา
เขาคือผู้ปกครองโลกมิติที่กำลังจะตกดับไปแห่งนี้ มหาราชาแห่งเผ่ามาร–ฟู่ยื่อลัว
ฉินมู่เงยหน้าขึ้น และมองไปยังภาพอันทั้งตระการตาและน่าเศร้า อันราวกับภาพวาดที่ค่อยๆ ซีดเหลืองไปและถูกแผดเผา
ภาพมายากำลังจางหาย
ฟู่ยื่อลัวเดินตรงมาที่เขาด้วยเพลิงไฟที่อาบไปทั่วตัว
…………………