ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร
ท้องฟ้าราวกับม้วนภาพที่ถูกไฟเผา อันมีฟู่ยื่อลัวยืนอยู่ใจกลาง สถานที่อันถูกเพลิงไฟแตะต้องก็จะสลายเป็นเถ้าธุลี และไม่นานนักผืนดินกว่าครึ่งก็ถูกแผดเผา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเหนือหัวของฉินมู่ถูกเปลวไฟกัดกินไปจนหมดสิ้น ท้องฟ้าก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง
โลกของมารหายวับไป และอีกโลกหนึ่งปรากฏในดวงตาของเขา
ฉินมู่มิได้มองไปยังฟู่ยื่อลัวที่กำลังเดินตรงเข้ามา แต่มองไปรอบๆ ตัวเขา หอคอยสูงสีดำทมิฬตั้งอยู่มากมายข้างหน้าราวกับป่าดำในหมอกเทา มารมากมายอันเหมือนกับมดงานเดินขวักไขว่ไปมาเพื่อทำงานอย่างหนัก หลอมสร้างเครื่องจักรพยนต์ขนาดใหญ่เพื่อโจมตีเมือง และก็ยังมีมารจำนวนหนึ่งที่กำลังฝึกการต่อสู้อยู่
ก็ต่อเมื่อฉินมู่เห็นดวงตะวันแตกหักอันริบหรี่ที่แขวนห้อยอยู่ทางทิศตะวันออก เขาถึงถอนหายใจโล่งอก
เขายังอยู่ในสวรรค์ไท่หวง โลกของมารที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดูเมื่อครู่นั้นน่าสยดสยองจนเกินไป เขาไม่อยากอยู่ในสถานที่โลกาวินาศเช่นนั้น
ดวงตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวงเป็นสิ่งที่เทพเจ้าหลอมสร้างขึ้นมา และแสงของมันไม่เข้มข้นมากนัก ไม่อาจขับไล่ปราณมารในเขตแดนมารออกไปได้ แสงน้อยนิดที่สาดส่องลงมาบนร่างของฉินมู่ก็ช่างเย็นเฉียบ ไม่ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย
โลกที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดู เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวคงไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างหนักลักพาตัวข้ามาเพียงเพื่อแสดงประวัติศาสตร์อันขมขื่นของผู้คนของเขาหรอกกระมัง?” ฉินมู่มองไปที่ไกลๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านก็คงรู้ว่าประวัติศาสตร์อันขมขื่นของพวกท่านไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลยสักนิด แต่ทว่า พวกท่านได้รุกรานสวรรค์ไท่หวง และผลักดันความขมขื่นนั้นให้แก่เผ่ามนุษย์ นี่จึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้า”
ฟู่ยื่อลัวเดินมาข้างๆ เขาและกล่าวอย่างเนิบช้า “สหายน้อยฉินแน่ใจขนาดนั้นเลยหรือว่าเจ้าเป็นมนุษย์”
ฉินมู่สายตาวูบไหว “ฟู่ยื่อลัวท่านกำลังจะพูดอะไรหรือ ทำไมท่านไม่พูดออกมาให้ชัดๆ ล่ะ”
“เจ้าคือมารตนหนึ่ง” หนึ่งในหน้าของฟู่ยื่อลัวมองตรงมาที่เขาพลางกล่าววาจา “ยิ่งไปกว่านั้นจ้ายังเป็นมารที่สูงส่งอย่างยิ่ง สายเลือดของเจ้าอาจจะสูงส่งยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ!”
ฉินมู่ตกตะลึง และชี้ไปที่มารเทวะข้างๆ ด้วยเสียงสำลักหัวเราะ เขาหัวเราะจนกระทั่งหายใจไม่ทัน
ฟู่ยื่อลัวไม่กล่าวสิ่งใด และปล่อยให้เขาหัวเราะจนเสร็จ เมื่อเขาหัวเราะไม่ออกอีกต่อไป ฟู่ยื่อลัวก็กล่าว “ไม่มีใครเคยบอกเจ้าเลยหรือว่าเจ้าเป็นเผ่ามาร”
ฉินมู่ยืดตัวตรงและสูดลมหายใจลึก เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีใครบางคนเคยบอกเช่นนั้นมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เมื่อข้ายังเด็ก ข้าได้พบกับมารเทวะที่ถูกปิดผนึกในวังสะกดเภทภัยซึ่งบอกว่าข้าคือมารตนหนึ่ง แต่ทว่าเขากล่าวเช่นนั้นเพื่อหลอกล่อข้า หมายที่จะขโมยร่างของข้าเพื่อทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมา ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวต้องการอะไรจากข้า”
ฟู่ยื่อลัวเดินไปข้างหน้า และคอเขาหันครืด ท้ายทอยเขาหมุนไปทางฝั่งซ้ายและเขากล่าว “ข้าไม่ได้พยายามจะหลอกล่อเจ้า แม้ว่าครึ่งหนึ่งของคำพูดพวกเราเผ่ามารมักจะโป้ปด แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นความจริง เมื่อมารเทวะตนนั้นต้องการแย่งชิงร่างของเจ้า เขาบอกว่าเจ้าคือมารตนหนึ่งเพื่อให้ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจมา และมันก็เป็นข้อเท็จจริง”
ฉินมู่พลันละลาย และร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาดำที่เคลื่อนที่ไปบนพื้น
ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และเขาวิ่งตะบึงไปร้อยลี้ในเสี้ยวพริบตา
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเดินออกมาจากสภาวะเงาดำ พลันเขาได้ยินเสียงของฟู่ยื่อลัว “เจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าปราณชีวิตของเจ้าไหลไปอย่างคล่องแคล่วเมื่อเจ้าขับเคลื่อนมุทราของเผ่ามาร โดยไม่มีอุปสรรคกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น”
ฉินมู่ตะลึง เมื่อเขามองไปรอบๆ เขาพบว่าเขายังอยู่ไม่ห่างไกลจากฟู่ยื่อลัว ต่างไปเพียงตอนนี้เขาอยู่ฝั่งซ้าย แทนที่จะเป็นข้างหลัง
“การที่เจ้าสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และขับเคลื่อนมันออกมาโดยไม่ติดขัด มีคำอธิบายเดียวเท่านั้น เจ้าก็เป็นมารตนหนึ่ง!” ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์จนถึงขีดสุด และวิ่งตะบึงฝ่าอากาศ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นฟู่ยื่อลัวอยู่ข้างหน้า และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขารีบหันกายกลับไปและวิ่งหนี
อีกครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าตนเองย้อนกลับมา วิ่งมุ่งหน้าตรงมาทางด้านขวาของฟู่ยื่อลั่ว
ฉินมู่ชะงักและร่วงลงจากท้องฟ้า จมดิ่งลงไปในดิน เมื่อเขาดำดินไปได้สักระยะหนึ่ง เขาก็โผล่หัวขึ้นมาดูเพื่อพบว่าเขาโผล่มาข้างหลังฟู่ยื่อลัว
เขายังอยู่ใกล้กับหอคอยและเจดีย์ทั้งหลาย และฟูยื่อลัวก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันมีจังหวะมั่นคง
“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นมนุษย์ด้วย ดังนั้นเจ้าจึงคล่องแคล่วในการใช้สอยทักษะเทวะจากเผ่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน” เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากข้างหน้า “เจ้านั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของสองเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ข้าเสียดายผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างเจ้า ดังนั้นข้าจึงเชื้อเชิญเจ้ามาที่นี่”
ฉินมู่ปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าและยิ้มหยัน “มหาราชา วิธีการเชื้อเชิญผู้คนของท่านนี่ช่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหลือเกินนะ”
เขาล้มเลิกความพยายามหลบหนีและเดินตามฟู่ยื่อลัวไป เมื่อมารตนนั้นได้ยินว่าเขาเลิกเรียกว่าผู้อาวุโสแล้ว แต่เรียกว่ามหาราชาแทน ใบหน้าหนึ่งในนั้นก็เผยยิ้ม
ทั้งสองนามอาจจะดูไม่ได้จงใจอะไร แต่มันถูกใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี การเรียกผู้อื่นว่าผู้อาวุโสคือการให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองคือผู้เยาว์ และการที่ผู้อาวุโสหนึ่งจะลงมือคร่าชีวิตผู้เยาว์นั้นไม่สง่างาม
การเรียกหาว่ามหาราชานั้นก็เป็นการตอบสนองที่ใคร่ครวญมาเช่นกัน มันเป็นวิธีที่เผ่ามารทั้งหลายเรียกหาฟู่ยื่อลัว ฉินมู่ได้จัดวางตำแหน่งของตนเองอยู่ในระนาบเดียวกับพสกนิกรมารทั้งหลายเพื่อให้เขาคลายความระวังป้องกัน
แต่แน่ล่ะว่า ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่มีผลอะไรต่อฟู่ยื่อลัว
“เผ่ามารนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มีผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมสมบูรณ์ทั้งยังได้รับการอวยพรจากสวรรค์ พวกเราเผ่ามารมาจากแดนใต้พิภพ” ฟู่ยื่อลัวบุ้ยใบ้ให้เขาตามมา และเริ่มบอกเล่า “มีดวงวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายในแดนใต้พิภพ และความอาฆาตแค้นกับสันดานมารของพวกเขาได้ให้กำเนิดบรรพชนแห่งเผ่ามาร พวกเขาเป็นมารเทวะที่แบกรับความคิดชั่วร้ายจากฟ้าและดิน ให้กำเนิดมารทั้งหลายอันได้ออกลูกออกหลานสืบทอดต่อกันมา”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงบอกเล่าเรื่องนี้ทั้งหมด
“หลังจากที่เผ่ามารถือกำเนิด พวกเขาไม่ได้รับการนับหน้าถือตาจากแดนใต้พิภพ และถูกภูติบดีขับไล่ออกมา นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเผ่ามารของข้าจึงกลายเป็นพวกเร่ร่อนมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก และถูกบีบให้ไปเสาะหาสถานที่ลงหลักปักฐาน พวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ดังนั้นสถานที่ที่พวกเราเฟ้นหามาได้ก็ล้วนแต่อันตรายร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาได้ ทว่า…”
ใบหน้าอีกหน้าของเขาหมุนมาและกล่าว “ทว่าโลกของพวกเราก็ได้ล่มสลายไปจากการทำลายล้าง และเพื่อการเอาชีวิตรอดของเผ่าพันธุ์ของเรา พวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรุกรานสวรรค์ไท่หวง อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ข้ามาพบปะกับเจ้านั้นก็เพื่อมุ่งแสวงหาวิธีการที่มนุษย์และมารสามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อข้าพบเห็นเจ้าในปราดแรก ความคิดเช่นนี้ก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ!”
ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวดูจริงใจอย่างสุดๆ และเขาเสนอแนวคิดอันน่าโน้มน้าวตาม “หากว่าเจ้าช่วยข้ารวบรวมสวรรค์ไท่หวงเป็นปึกแผ่นได้ ข้าก็จะให้เจ้าปกครองเผ่ามนุษย์! ด้วยวิธีนี้ มนุษย์ทั้งหลายก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของเจ้า ขณะที่เผ่ามารก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของข้า! นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองโลกหรือ”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยไฟเร่าร้อนขณะที่มองไปยังฉินมู่ คาดหวังคำตอบ
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามหยั่ง “มหาราชา หากว่าที่มารทั้งหลายกล่าวไปนั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นข้าอยากจะถามสักหน่อย ครึ่งไหนที่จริง และครึ่งไหนที่เท็จในประโยคอันมหาราชากล่าวออกมา”
ฟู่ยื่อลัวบิดหมุนคอของเขาและเปลี่ยนหน้าสนทนา ใบหน้านี้ดูมืดครึ้มและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้อเสนอของมหาราชานั้นดียิ่ง ทำไมเราไม่ทำอย่างที่ท่านกล่าวล่ะ” ฟู่ยื่อลัวตกตะลึง แต่ฉินมู่กล่าวต่อ “สวรรค์ไท่หวงจะแบ่งออกเป็นสอง และข้าจะปกครองเผ่ามนุษย์ ส่วนท่านก็จะปกครองเผ่ามาร จากนั้นทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มหาราชา ตอนนี้ท่านสามารถส่งมอบมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในเผ่ามารของท่านมาให้ข้าได้แล้ว”
ใบหน้าหดหู่ของฟู่ยื่อลัวจ้องตรงมายังเขาจากนั้นก็มีเสียงแกรกๆ คอของเขาหมุนไปอีกรอบอย่างแช่มช้า และใบหน้าที่สามของเขาก็ปรากฏ มันมีสีผิวเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวอันดุร้าย มันดูทั้งร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัว
ฉินมู่ระบายลมหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าคำพูดไหนของมหาราชาที่จริงบ้าง และคำไหนที่เท็จ มหาราชา เป้าหมายของท่านมิใช่สวรรค์ไท่หวง แต่เป็นแดนโบราณวินาศ สถานที่นี้เพียงแต่เป็นกระดานดีดที่ท่านจะใช้เหยียบเพื่อกระโดดไปต่อ หากว่าข้าช่วยท่านกลืนกินสวรรค์ไท่หวง ท่านก็จะบูชายัญมันเพื่อเข้าไปในแดนโบราณวินาศ!”
ฟู่ยื่อลัวแค่นเสียงเย็นเยียบและนำเขาไปข้างหน้าตรงหน้าผาขาดด้วยสีหน้าอันดุร้าย “ศิษย์ของข้าฟู่อวี่เซียวตกตายในน้ำมือเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าสามารถละวางความอาฆาตและให้โอกาสอย่างเหลือเฟือแก่เจ้า ทว่าเจ้ากลับทำเหมือนกับข้าเป็นตัวโง่งม! เจ้าคิดว่าครูบาสวรรค์สามารถยับยั้งข้าได้? เจ้าคิดว่าเทพเจ้าพวกนั้นของเจ้าสามารถยับยั้งข้าได้?”
ฉินมู่เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวและมองลงไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
ตรงหน้าเขาคือเหวมหึมาอันมีมารและมนุษย์มากมายที่กำลังวุ่นวายในการแกะสลักแท่นสังเวยใหญ่ตระการตา
และมันมีหลายร้อยแท่นอีกด้วย!
เมื่อนักบุญคนตัดไม้อัญเชิญสหายของเขาเข้ามา รูปสลักหินยี่สิบสี่รูปได้จุติมาจากแดนโบราณวินาศ พวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นเทพเจ้า แท่นบูชาทรงพีระมิดทั้งยี่สิบสี่แท่นนั้นดูตระการตาเมื่อวางเรียงรายเป็นทิวแถว
แต่กระนั้น ข้างล่างเขากลับปรากฏแท่นสังเวยมากกว่ายี่สิบสี่แท่นนั้นหลายเท่าตัว!
มีพวกมันหลายร้อยแท่น และพวกมันก็จะถูกใช้อัญเชิญมารเทวะมา!
หางตาของฉินมู่สั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะอัญเชิญเทพและมารมามากมายขนาดนี้! ต่อให้สภาสวรรค์หนุนหลังท่านอยู่ พวกเขาก็ไม่มีทางให้อำนาจกับท่านมากขนาดนี้! ท่านเองก็ไม่กล้ารับกองกำลังของเทพและมารที่ใหญ่ขนาดนี้เข้ามาในเขตแดนของท่านด้วย!”
ฟู่ยื่อลัวส่ายหัว “ข้าสามารถอัญเชิญเทพและมารแห่งสภาสวรรค์ลงมายังแดนต่ำใต้ แต่ข้าย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้นจริงๆ”
เหงื่อเย็นเยียบไหลร่วงลงจากหน้าผากของฉินมู่ และเขารีบส่ายหน้า “โลกของท่านนั้นได้เชื่อมต่อกับสวรรค์ไท่หวงมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีมารเทวะเพิ่มเข้ามาอีกต่อไป ต่อให้มี พวกเขาก็เข้ามาที่นี่ได้โดยตรง”
“ด้วยสงครามที่ดำเนินมากว่าสองหมื่นปี มารเทวะของท่านมากมายก็คงจะตกตายในการต่อสู้ไปแล้ว ไม่มีทางเหลืออยู่มากนัก ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้แท่นสังเวยมากมายขนาดนี้…”
ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นยะเยือก “เดาต่อสิ หากว่าเจ้าเดาถูกข้าจะให้หนทางรอดกับเจ้า”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาก็กำหมัดแน่น เขาพลันรู้ทันทีว่าฟู่ยื่อลัวตั้งใจจะอัญเชิญอะไรมา
“บรรพชนแห่งเผ่ามาร มารเทวะที่ก่อเกิดขึ้นมาจากสันดานมาร ความอาฆาต และความคิดชั่วร้ายแห่งแดนใต้พิภพ! ท่านวางแผนที่จะอัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา!”
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและดูค่อนข้างกระหยิ่มใจ “เจ้าคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะ”
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและส่ายหัว “มหาราชาเองก็กำลังจนตรอกเช่นกัน ถึงกับคิดที่จะอัญเชิญพวกเขาเหล่านั้น ด้วยนิสัยใจคอของมารเทวะพวกนั้น มันคงไม่จบแค่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตลอดทั้งสวรรค์ไท่หวงจะถูกทำลายจนราพนาสูร!”
“นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกข้าจึงจะบูชายัญสวรรค์ไท่หวง” ฟู่ยื่อลัวฉีกยิ้ม และใบหน้าทั้งสามก็เปล่งวาจาออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “พวกข้าจะเปลี่ยนสวรรค์ไท่หวงให้เป็นหินหยั่งเท้า เพื่อก้าวเข้าไปในแดนโบราณวินาศ! แต่ทว่า ตอนนี้ข้ามีความคิดที่ดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอย่างงั้นหรือ หากว่าเจ้าหลอมสร้างสะพานสักจำนวนหนึ่งให้กับผู้คนของข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”
“มหาราชากล้าที่จะให้ข้าสร้างสะพานให้กับเผ่ามารของเขาเชียวหรือ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเล่นกลตุกติกกับมันหรืออย่างไร” ฉินมู่ถาม
สีหน้าของฟู่ยื่อลัวแปรเปลี่ยน และเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธข้า?”
“ผู้อาวุโส…” ฉินมู่รีบกล่าว
ฟู่ยื่อลัวสะบัดแขนเสื้อและยิ้มหยัน “เลิกอวดฉลาดได้แล้ว! เรียกข้าว่าผู้อาวุโสไปก็ไม่มีประโยชน์! ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ และชื่นชมความสามารถของเจ้าเป็นอย่างสูง แม้แต่ครูบาสวรรค์ก็คิดค้นของอย่างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณไม่ออก แต่เจ้าทำได้ ดังนั้นข้าจึงเสียดายพรสวรรค์ของเจ้า และปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ยาวนานถึงขนาดนี้! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สังหารเจ้าแน่รึ ชื่อเสียงเผ่ามารของข้าข่มขวัญใครไม่ได้แล้วหรืออย่างไร”
รัศมีอันเกรี้ยวกราดของเขาพวยพุ่งออกมา สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาไม่อาจหายใจได้จากแรงกดดัน และรีบเซถอยออกไปสามสี่ก้าว ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายในโพรงอก เขาตะโกน “จริงๆ แล้ว ข้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล!”
ฟู่ยื่อลัวกำลังจะสังหารเขา แต่ก็ยั้งมือเมื่อได้ยินสิ่งที่กล่าว “เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล? เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไร”
ฉินมู่หน้าแดงก่ำ และเขาก็ยังหายใจไม่ทัน
ฟู่ยื่อลัวรั้งรัศมีมารของตนกลับ และฉินมู่ก็หอบหายใจ เขานำจี้หยกออกมาแล้วกล่าว “ข้ามีตราสัญลักษณ์จากหมู่บ้านไร้กังวลเป็นข้อพิสูจน์! มหาราชา เจ้าน่าจะจดจำนี่ได้ จริงไหม”
ฟู่ยื่อลัวยื่นมือออกไป และจี้หยกก็หลุดลอยไปจากการคว้าจับของฉินมู่ ลอยเลื่อนไปยังมือของเขา
ฉินมู่หัวใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง แต่เขาสะกดข่มมันเอาไว้ พยายามทำให้อัตราการเต้นหัวใจกลับเป็นปกติ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าจะต้องไม่ปล่อยให้จี้หยกห่างกาย มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมา ตอนนี้ข้าได้แต่หวังพึ่งเรื่องนี้เพื่อหลบหนี ข้าหวังว่ามันจะได้ผล…เอ๊ะ ทำไมเรื่องร้ายยังไม่เห็นเกิดขึ้นเลย หรือว่าข้าอยู่ใกล้กับจี้หยกมากเกินไป
………………