ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 550 สันดานมารอาละวาด
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และลอบถอยห่างออกไปสองก้าว แต่ก็ยังไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นมา เขาถอยกลับไปอีกสองก้าว แต่ทุกอย่างก็ยังคงปกติ
“จี้หยกนี้…มันเป็นจี้หยกจากหมู่บ้านไร้กังวลจริงๆ!” ฟู่ยื่อลัวเพ่งพิศดูซ้ำแล้วซ้ำอีก สีหน้าเขาเดี๋ยวก็กระจ่าง เดี๋ยวก็มืดมน พลางพึมพำไปมา “นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ถูกต้อง! เขากำลังโกหกพวกเรา! บุคคลจากหมู่บ้านไร้กังวลจะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมารได้อย่างไร เขาจะต้องโกหกพวกเราแน่ๆ!”
“เด็กร้ายกาจนี้เจ้าเล่ห์อย่างเหลือล้น เขาอาจจะดูสัตย์ซื่อ แต่จริงๆ แล้วกลอกกลิ้งอย่างเหลือร้าย เจ้าเชื่อคำพูดเขาไม่ได้นะ!”
“แต่ทว่า นี่มันเป็นจี้หยกแห่งหมู่บ้านไร้กังวลของจริง หากว่าพวกเราสามารถจับตัวบุคคลแห่งหมู่บ้านไร้กังวลได้ และเสาะหาสถานที่นั้นผ่านเขา สภาสวรรค์ก็จะต้องตบรางวัลพวกเราอย่างงามหลังจากที่รายงานเรื่องไป พวกเขาจะต้องให้สถานที่แก่พวกเราเพื่อให้เผ่ามารพักอาศัยอย่างสงบสุขได้เป็นแน่!”
“พวกเราไม่อาจเชื่อใจสภาสวรรค์ได้! จะไว้เนื้อเชื่อใจพวกนั้นรอให้หมูบินได้ยังจะเป็นไปได้มากกว่า!”
…
ฉินมู่ลอบถอยหลังไปอีกสองก้าวระหว่างที่ใบหน้าทั้งสองของฟู่ยื่อลัวกำลังถกเถียงกัน เขาพลันหันกายกลับแล้ววิ่งหนี แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นฟู่ยื่อลัวอยู่ตรงหน้า
ฟู่ยื่อลัวยังคงยืนอยู่ตรงจุดเดิมโดยไม่กระดิกไปสักองคุลี ใบหน้าทั้งสามของเขายังคงโต้แย้งกันอยู่ ฉินมู่รู้สึกสิ้นหวังจนปัญญา
ฟู่ยื่อลัวแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งขนาดที่ว่าเขาสามารถบิดเบี้ยวห้วงอวกาศ และป้องกันไม่ให้ผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาหลบหนีไปได้ ฉินมู่ไม่อาจก้าวออกห่างจากจี้หยกไปได้เลยแม้แต่น้อย!
“หมู่บ้านไร้กังวลลึกลับเป็นอย่างยิ่ง มันได้ก่อตั้งอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ และสภาสวรรค์อันไพศาล! แต่ทว่า หมู่บ้านไร้กังวลจะมีทายาทเผ่ามารได้อย่างไร นี่มันน่าสงสัยเหลือเกิน!”
“ใช่แล้ว นี่มันน่าสงสัยมากๆ ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะฆ่าไอ้เด็กร้ายกาจนี่เสีย! ฆ่ามันเลย!”
“ช้าก่อน จี้หยกนี้ประหลาดจริง มันมีเวทปิดผนึกอยู่ข้างใน มันเอาไว้ปิดผนึกอะไรกันนะ หรือว่ามันจะปิดซ่อนความลับของหมู่บ้านไร้กังวลเอาไว้”
ฉินมู่จ้องไปด้วยความอึ้งตะลึงงันยังใบหน้าทั้งสามของฟู่ยื่อลัว มันถึงกับมีสำนึกรู้ที่แตกต่างกันสามดวงในร่างกายของฟู่ยื่อลัว และพวกมันก็เหมือนกับว่าจะมีสามดวงวิญญาณที่ไม่เหมือนกัน ในขณะนี้ พวกมันต่อสู้กันไปมาเพื่อดูว่าใครจะศึกษาจี้หยกนี้สำเร็จเสร็จสิ้นก่อน และไขความลับของเวทปิดผนึก
ฉินมู่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่องเชื่อและไม่ขยับไปไหน ในเมื่อเขาหนีไม่ได้ เขาก็ตั้งใจว่าจะทำตัวให้ดูเชื่องและซื่อสัตย์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงมากมาย เป็นเสียงกระซิบจำนวนหนึ่งที่ฟังคุ้นหู พวกมันไม่แปลกหูเขาในเมื่อฉินมู่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อท้ายยมราชเอาจี้หยกเขาไปเล่นในแดนยมโลก
เสียงเหล่านั้นอื้ออึงเป็นอย่างยิ่ง มันฟังเหมือนกับว่ามีดวงจิตมากมายที่ซ่อนอยู่ในความมืด และกระซิบถ้อยคำล่อลวงด้วยสรรพสำเนียงอันบิดเบี้ยวและพิลึกกึกกือเพื่อล่อหลอกเขาไป
ฉินมู่สลัดหัว แต่เสียงกระซิบเหล่านั้นก็เข้าใกล้เข้ามาทุกทีๆ ราวกับว่าเจ้าของเสียงได้ปีนไต่มาข้างๆ หู และพูดกรอกลงไปในนั้น
เขายกมือขึ้นเพื่อปัดไล่พวกมันออกไป แต่เขาไม่อาจแตะต้องหรือสัมผัสเสียงเหล่านั้นในโลกจริง
พริบตาถัดมา เขารู้สึกราวกับว่าสรรพสำเนียงเหล่านั้นได้เข้าไปในจิตคิดของเขา เสียงนั้นอึงอลอย่างเหลือล้น แทบจะทำให้จิตคิดของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ
ฉินมู่เอียงหัวไปทางขวา และตบใบหูซ้ายของเขาซ้ำๆ ราวกับว่าเขาพยายามจะสลัดเสียงพวกนั้นให้หลุดออกไปจากจิตคิด แต่ทว่า พวกมันยิ่งดังระเบ็งเซ็งแซ่มากขึ้นทุกทีๆ ก่อนที่จะพลันเข้ามาซ้อนทับกัน
ศีรษะเขาก้มต่ำ และเขาตัวชะงักค้าง ร่างกายเขาโงนเงนไปมาข้างหน้าข้างหลัง แขนของเขาแกว่งห้อยอย่างอ่อนเปลี้ยอยู่ข้างกาย
“ฮี่ๆ ผนึกนี้เกือบจะถูกพวกเราสะกดเอาไว้สำเร็จแล้ว!”
“บางทีนี่อาจจะทำให้พวกเราค้นพบแง่อัศจรรย์ของหมู่บ้านไร้กังวล!”
ใบหน้าทั้งสามของฟู่ยื่อลัวยังคงสนทนากันอย่างออกรส ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างๆ “ทุบมันให้แตก”
ฟู่ยื่อลัวหันหน้ากลับไปและมองไปยังที่มาของเสียง เขาเห็นฉินมู่ด้วยศีรษะที่ก้มลงและยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของเขาโงนเงนไปมาหน้าและหลัง
ด้วยความฉงน ฟู่ยื่อลัวถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดว่าอะไร”
เสียงอันชั่วร้ายอย่างเหลือแสนดังมาจากปากของฉินมู่ขณะที่เขาหัวเราะคิกคัก “ข้าบอกเจ้าให้ทุบมันซะ แล้วจะเกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมา เร็วเข้า ทุบมันให้แตก”
ใบหน้าทั้งสามของฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้ว ความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม เขานั้นเป็นมหาราชาผู้ชั่วร้ายอย่างสุดแก่น ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเสาะหาผู้คนอันชั่วร้ายกว่าเขา หรือทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาได้
“ทำไมเจ้าไม่ลงมือล่ะ”
ข้างหลังฉินมู่ ห้วงอวกาศพลันปริแยกออก ด้วยเสียงหึ่ง ดวงตาอันชั่วร้ายก็ลืมขึ้นมา และแสงมารรูปปีกผีเสื้อก็สาดส่องออกมาจากในนั้น
ห้วงอวกาศในบริเวณรอบๆ พลันแตกร้าวจากแรงสั่นสะเทือน และดูเหมือนว่าพร้อมจะแหลกทำลายลงไปได้เมื่อใดก็เมื่อนั้น แสงมารเปี่ยมปริ่มออกมาจากรอยแยก สร้างภาพอันทั้งน่าพิศวงงงงวยและชั่วช้า
“สิ่งกระจ้อยอันน่าสังเวช สายเลือดที่อ่อนแอและต่ำต้อยอะไรอย่างนี้…”
เสียงของฉินมู่ยิ่งดูชั่วร้ายมากขึ้นทุกทีๆ เมื่อมันลอยเลื่อนไปมารอบๆ เขานั้นยืนอยู่ที่ตำแหน่งอันแน่นอนชัดๆ แต่เขาให้ความรู้สึกแก่ฟู่ยื่อลัวว่าเป็นผู้ที่ปรากฏอยู่ในทุกตำแหน่งแห่งหน
มารเทวะตนนี้ขมวดคิ้ว ในท่วงทีการพูดจาของฉินมู่ เขากลับกลายเป็นสิ่งกระจ้อยที่น่าสังเวช ใครบางคนที่มาจากเผ่าพันธุ์อันต่ำต้อยและมีสายเลือดอ่อนแอ เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้!
แต่ถึงอย่างไร เขาก็สัมผัสได้ถึงวี่แววของภยันตรายและความสะพรึงกลัวที่เบ่งบานในหัวใจของเขา แต่ก็มีความตื่นเต้นที่มากล้นยิ่งกว่าในหัวใจ “นี่คือความลับของจี้หยกหรอกหรือ ความลับของหมู่บ้านไร้กังวล?”
ข้างหลังฉินมู่ รอยแยกที่สองในห้วงมิติเปิดขึ้นมา และดวงตามารอันพิสดารพันลึกก็เผยโฉม รอยแยกของห้วงอวกาศเปิดแล้วเปิดอีก และแสงมารก็โถมถั่งออกมาจากทุกทิศทุกทาง
“ตัวตนแสนอ่อนแอและกระจ้อยร่อย มดปลวกที่น่าเวทนา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงไม่ฟังคำบัญชาของข้า” ฉินมู่แย้มยิ้มทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ “เฮะๆๆ เจ้ารนหาที่ตาย เอ๋ ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างไรดีถึงจะดูน่าสนใจ…”
ฟู่ยื่อลัวหัวโล่งมึนไปหมดเมื่อเขาเห็นดวงตาที่สาม มันตั้งอยู่ต่ำลงมาจากดวงตาสองดวงเล็กน้อย อยู่ตรงกลางระหว่างพวกมันพอดี
ดวงตานี้ดูราวจะอัดแน่นไปด้วยไฟมารอันไร้ขอบเขต แต่เมื่อมันหมายจะลืมขึ้นมา มันก็ทำไม่ได้ มีก็แต่รอยแยกเล็กๆ เท่านั้นที่เผยให้เห็น แต่ถึงกระนั้น ฤทธานุภาพของไฟมารที่ซ่อนอยู่ข้างให้ ก็ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นงันงก
ฟู่ยื่อลัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และมองไปยังดวงตามารอันแสนชั่วร้ายทั้งสามที่กำลังลอยขึ้นไปอย่างช้าๆ ในเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็มองเห็นมารเทวะอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอันมีเพลิงมารแห่งแดนใต้พิภพลุกท่วมตัว เขานั้นกำลังมองลงมายังฟู่ยื่อลัวจากสถานที่อันสูงตระหง่าน
มารเทวะสามหน้าก้มหน้าลงอย่างยากลำบากและมองไปยังฉินมู่ ใบหน้าที่เหลืออีกสองหน้าของเขาพยายามสุดตัวที่จะกลอกตามองดูสภาพรอบๆตัวเขา
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!” ฟู่ยื่อลัวลำคอแห้งผาก เขาพูดกับตนเองด้วยเสียงอันแหบพร่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเจ้าจะมีจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารอสูรดึกดำบรรพ์! นี่มันไม่มีเหตุผล…”
“ทำลายจี้หยกนี้ให้ข้า!”
ฉินมู่พลันเงยหน้าขึ้น และแก้วตาของเขาเป็นสีดำสนิท เพลิงมารสีดำทมิฬพวยพุ่งออกจากดวงตาทั้งสองราวกับปีกผีเสื้อ และถ้อยคำอันน่าสะพรึงกลัวของเขาก็ใช้ภาษามารอันน่าสยดสยองเพื่อจู่โจมฝ่ายตรงข้าม
ฟู่ยื่อลัวรู้สึกถึงลมอันดุดันที่พัดพุ่งใส่ใบหน้า และเสื้อผ้าของเขาก็ปลิวสะบัดลู่ไปข้างหลัง รอยย่นก่อตัวขึ้นมาบนใบหน้าเขาจากแรงสั่นสะเทือน เข้ามารวมตัวด้วยกัน
ในบริเวณรอบข้างเขา ทรายและหินปลิวกระจัดกระจายจากเสียงมารอันดุร้ายที่ก่อขึ้นมาเป็นพายุทมิฬ!
เขาหรี่ตาลงและเพ่งมองดูรอบๆ มันมีดวงตาปรากฏอยู่ที่หว่างคิ้วของฉินมู่ แต่มันยังคงไม่ลืมขึ้นมา มีเพียงแค่รอยปริแยกเล็กๆ ที่โคนด้านล่าง
“นี่คือ…เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ!” ฟู่ยื่อลัวพลันตระหนักขึ้นมา และกรีดร้อง “เจ้า…”
ตูม!
กำปั้นมหึมาซัดใส่ร่างของเขา และฟู่ยื่อลัวก็กระอักเลือด ห้วงอวกาศโดยรอบลั่นเปรี๊ยะๆ และภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระหง่านก็พุ่งผ่านเขาในพริบตา ในเสี้ยววินาทีถัดมา ร่างของเขาร่วงตกลงในเหว และถล่มลงไปปะทะกับแท่นสังเวยที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
มันพังยุบลงไปในเดี๋ยวนั้น และก้อนหินก็กระเด็นไปในทุกทิศทาง ฟู่ยื่อลัวโกรธเกรี้ยวขึ้นมา และเสียงคำรามสามเสียงก็ดังมาจากปากทั้งหลายของเขา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น และเขาไม่ยับยั้งตนเองไว้อีกต่อไป กล้ามเนื้อของเขาปูดโปนออกไปข้างนอก เขายื่นมือออกไปคว้าทวนมารของตน เขานั้นกำลังจะทะยานเหินขึ้นไปบนอากาศ แต่ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็มืดมัว
ฟู่ยื่อลัวไม่มัวเสียเวลาคิด และแทงทวนมารของเขาขึ้นไปข้างบน เขานั้นเป็นมารเที่ยงแท้แห่งเผ่ามาร และเป็นตัวตนที่ได้รับการยกย่องเป็นมหาราชาโดยมารเทวะตนอื่นๆ แม้ว่าวิชาฝีมือของเขาจะไม่นับได้ว่าไร้ผู้ต่อต้าน เขาก็ยังคงเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธฝีมือแกร่งขั้นสุดในสวรรค์ไท่หวง มีก็แต่ขวานของนักบุญคนตัดไม้ที่ขัดขวางทวนของเขาได้
กระนั้น ทวนอันหนาใหญ่ของเขาก็ปะทะเข้ากับกำปั้นยักษ์ มันถึงกับโค้งโก่งลงมาจากแรงบดขยี้!
ฟู่ยื่อลัวครางกระอัก และลำทวนก็เลื่อนลื่นจากมือของเขาถอยไปข้างหลัง แทงเปิดหนังของเขาและทำให้ด้ามทวนกลายเป็นสีแดงโลหิต
ไม่นานนัก เขาก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป และทวนมารก็ลอยหลุดไปจากมือของเขา
“ทำลายจี้หยกนั่นซะ!”
ด้วยเสียงคำราม กำปั้นยักษ์ก็ซัดลงมาอย่างดุร้ายยังร่างของฟู่ยื่อลัว กระดูกของเขาสะท้านและร้าวเปรี๊ยะๆ จากนั้นก็กลายเป็นชาดิก โลหิตมารพุ่งกระฉูดจากดวงตา รูหู รูจมูก และปากของเขา ขณะที่เขากระเด็นไปข้างหลัง
ปัง ปัง ปัง เสียงทึบหนักดังออกมาเมื่อร่างของเขาซัดถล่มลงไปในแท่นสังเวยต่างๆ อันมิอาจยับยั้งแรงส่งของเขาได้
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นแสง เป็นแสงสว่างจากดวงตาของฉินมู่ มันคือลำแสงมารสองลำ
ชิ้ง!
ลำเพลิงสองลำซัดพุ่งมาเหมือนกับเสาแสง และยิงโดนหน้าอกของฟู่ยื่อลัว มันระเบิดออก เผยให้เห็นเครื่องในของเขา
เขาเป็นมารเที่ยงแท้ ดังนั้นจึงมีวรยุทธที่แข็งแกร่ง และพลังชีวิตอันน่าแตกตื่น เขารีบปิดผนึกบาดแผลของตนเอง แต่ก็ยังกระเด็นผ่านแท่นสังเวยจำนวนนับไม่ถ้วน
ขณะที่ก้อนหินปลิวกระเด็นไปทั่วสารทิศ เขาก็เห็นฉินมู่กระโจนไปรอบๆ ด้วยท่วงท่าอันแปลกประหลาด พุ่งผ่านซากปรักหักพังในอากาศ และรุกคืบเข้าใกล้เขาอย่างรวดเร็ว
แรงส่งร่างของฟู่ยื่อลัวอ่อนราลง และในที่สุดเขาก็หยุดอยู่ที่แท่นสังเวยสุดท้าย เขาถูกซัดฝังติดแหง็กอยู่ในนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก และเห็นฉินมู่อยู่ตรงหน้าเขาอันมีสีหน้าชั่วร้ายบนใบหน้า ฉินมู่กำลังเอียงคอมองเขาไปมาด้วยความสนอกสนใจ
ฟู่ยื่อลัวเผยรอยยิ้มเล็กๆด้วยความยากลำบาก และกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ให้ข้าบอกความลับเล็กๆ กับเจ้าสักหน่อย…”
“ความลับอะไร” ฉินมู่เอียงคอ “ข้าชอบฟังความลับเล็กๆ ของคนอื่นก่อนที่มันจะตาย เร็วเข้า บอกข้ามา!”
“ข้าจะ…” ฟู่ยื่อลัวยกฝ่ามือและฟาดลงไปบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม “คืนจี้หยกนี้ให้กับเจ้า!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “เจ้าคิดจะเล่นตลบหลังข้ารึ ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้มดปลว–”
ทันใดนั้นกลิ่นอายอันดุร้ายรุนแรงรอบกายของเขาก็จางหายไป และดวงตาของเขาก็กลับมากระจ่าง ดวงตาตรงใจกลางหว่างคิ้วของเขาก็ปิดลงอย่างไม่ยินดีนัก และใบหน้าของมารอสูรดึกดำบรรพ์ของจิตวิญญาณดั้งเดิมข้างหลังเขาก็บิดเบี้ยวก่อนจะหายวับไป
ฟู่ยื่อลัวระบายลมหายใจโล่งอก ในตอนนั้นเอง จี้หยกที่แปะอยู่บนหน้าผากของฉินมู่ก็ร่วงลงไปกับพื้น
ฟู่ยื่อลัวรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบและเกร็งเขม็งทั้งร่าง ก่อนที่จะผ่อนคลายลงอีกครั้ง “โชคดีที่มันไม่แตก…”
เขาหมดสติไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ปีนลุกขึ้นมาและมองไปรอบๆ อย่างสะโหลสะเหล เมื่อเขาเห็นฟู่ยื่อลัวถูกซัดจมลงไปในแท่นสังเวย เขาก็ได้แต่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ
เมื่อเขามองเห็นความฉิบหายวายป่วงที่เกิดขึ้นแก่สิ่งก่อสร้างในหุบเหวนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยังรู้สึกสะพรึงกลัวค้างคา
นักบุญคนตัดไม้พูดถูก เมื่อใดที่จี้หยกนี้ออกห่างจากข้า คำสาปอันยิ่งใหญ่ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา แม้แต่มารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัวก็ยังยับเยินหมดท่าขนาดนี้ ดูเหมือนว่าคำสาปนี้จะไม่เป็นเพียงแค่การเรียกสายฟ้าสวรรค์หรือไฟสวรรค์ลงมา!
สายตาของเด็กหนุ่มวูบวาบ และเขาหันกายวิ่งหนีไปด้วยความรีบเร่ง ข้าฉวยโอกาสตอนที่เขาสงบอยู่นี้เล็ดรอดออกไปดีกว่า
หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็หันกลับมา และค้นหาจี้หยกของเขารอบๆ เขาแขวนมันไว้กับคอก่อนที่จะผละไป
โชคดีที่ข้าไม่ทำมันหาย! คำสาปในจี้หยกนี้มีประโยชน์จริงๆ ดังนั้นถ้าข้าทำมันหายไปก็คงจะเสียดายแย่!
………………….