ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 562 ยากจะระวังป้องกัน
ดวงตาฉินมู่เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน จี้หยกนี้ถึงกับหลอมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของภูติบดี?
จี้หยกของเขาน่าจะเป็นของตระกูลฉิน และเขาก็ได้สวมใส่มันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ดังนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ภูติบดีสร้างขึ้นมาได้อย่างไร
มีความเกี่ยวข้องอะไรระหว่างจี้หยกกับภูติบดี
หรือว่าเพราะเขาได้ก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป จนภูติบดีต้องปิดผนึกเขาเอาไว้ด้วยจี้หยก
แต่ทว่า ในตอนนั้นเขาน่าจะยังเป็นเด็กแบเบาะ แล้วเขาจะสร้างกรรมชั่วชั่วมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
เขาไม่มีความทรงจำเรื่องพวกนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งในสันตินิรันดร์ และสวรรค์ไท่หวง ใครกันจะไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิฉินมีนิสัยใจคออันสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจอันกว้างขวาง ดังนั้นเขาจะเคยทำเรื่องชั่วร้ายมาก่อนได้อย่างไร
“ผนึกน่าจะหลวมคลายจริงๆ” ภูติบดีแมกม่ายังพลิกสมุดดูต่อ “เคยมีเทพและมารจำนวนหนึ่งที่พยายามจะทำลายผนึก แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ แต่ทว่า ผนึกดูเหมือนจะคลายลงไป และแทบจะปล่อยเจ้าหลุดออกมา แต่ไม่เป็นไร ไว้ข้าจะเสริมความแกร่งให้กับมันในภายหลัง”
ความเร็วในการอ่านของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และไม่นานเขาก็อ่านเรื่องราวการก่อกรรมทำเข็ญของฉินมู่ทั้งหมด เมื่อเขามาถึงหน้าสุดท้าย ก็กล่าว “ในแดนลางร้ายแห่งสวรรค์ไท่หวง บุตรแห่งตระกูลฉิน ฉินเฟิงชิงได้ใช้นำทางวิญญาณเพื่อทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ ช่วงชิงดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงออกไปด้วยกำลัง ทำร้ายผู้นำทางความตาย…”
“ใช้นำทางวิญญาณเพื่อช่วงชิงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงเป็นฝีมือของข้าจริงๆ แต่การทำร้ายผู้นำทางความตายไม่ใช่ฝีมือข้า มันเป็นการกระทำของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวต่างหาก ดังนั้นท่านไปตามนับกับเขาเถอะ”
ภูติบดีแมกม่าหันไปมองผู้เฒ่านำทางความตายและถาม “เป็นเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวหรือที่ทำร้ายผู้นำทางความตาย”
“เคยมีนามของเทพครองดาวเจ็ดสังหารเว่ยเหลียวในบันทึกเป็นตาย แต่หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตและดวงวิญญาณก็กระจัดกระจาย นามของเขาก็ถูกจำหน่ายออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในการกำกับดูแลของแดนใต้พิภพ สาเหตุที่ดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงหลบหนีไปได้ หลักใหญ่ใจความก็เพราะฉินเฟิงชิงช่วยเทพครองดาวเจ็ดสังหารกอบกู้ดวงวิญญาณเขากลับมาและปะติดปะต่อเศษวิญญาณเข้าด้วยกัน เพราะอย่างนี้ หนี้ที่ทำร้ายผู้นำทางความตายจึงต้องบันทึกเอาไว้ในสมุดของฉินเฟิงชิง เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังมีชีวิตอยู่และมีรายนามอยู่ในบันทึกเป็นตาย” ผู้เฒ่านำทางความตายที่เป็นร่างแยกของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์กล่าว
ภูติบดีมองไปที่ฉินมู่และกล่าว “เจ้ายอมรับหนี้ที่ก่อนี้ให้บันทึกไว้ใต้นามของเจ้าไหม”
“ข้าไม่ยอมรับ” ฉินมู่กล่าวทันที
“บันทึกไว้ในนามของเขา” ภูติบดีบอกแก่ผู้นำทางความตาย “ไว้สะสางกับเขาในอนาคต”
ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที “หากว่าท่านจะจดไว้ในชื่อของข้า ทำไมต้องเสียเวลาถามข้าด้วย” แต่ถึงอย่างไร เมื่อภูติบดีบอกว่าจะสะสางกับเขาในอนาคต ก็มีความหวังจุดติดในหัวใจของเขาทันที
คำพูดของเขานั้นหมายความว่าภูติบดีต้องการเพียงสนทนาถึงต้นสายปลายเหตุกับเขาเท่านั้น แต่มิได้จะให้เขาชดใช้เสียเดี๋ยวนี้
ภูติบดีแมกม่าปิดสมุดเล่มหนาลง และก้มหัวลงมองฉินมู่ตัวเล็กๆ ตรงหน้าเขา “ทำไมเจ้าถึงทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และอัญเชิญดวงวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในโลกคนเป็น หรือเจ้าจำอะไรบางอย่างได้ มีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำเจ้าหรือไม่”
ฉินมู่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นก็ส่ายหัว “ตอนที่ข้าถูกส่ง…เนรเทศออกไปจากแดนใต้พิภพ ข้าน่าจะอายุได้เพียงเดือนสองเดือนใช่ไหม แล้วข้าจะมีภาพของแดนใต้พิภพวูบวาบในความทรงจำได้อย่างไร ส่วนการอัญเชิญดวงวิญญาณในแดนลางร้าย ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น”
เขาบอกเล่าเหตุผลว่าทำไมเขาถึงร่ายเวทมนตร์นำทางวิญญาณ จากนั้นก็ยืนนิ่ง รอการลงโทษของเขาอย่างเงียบเชียบ
ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาไม่ลดละ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “ไม่มีภาพใดๆ วูบวาบในจิตของเจ้าจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่ได้หวนระลึกอะไรได้หรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าควรจะหวนระลึกอะไรได้ล่ะ”
“หากว่าเจ้าหวนระลึกอะไรไม่ได้ แล้วเจ้าเชี่ยวชาญภาษาแดนใต้พิภพได้อย่างไร” ภูติบดีแมกม่ายังคงจ้องเขาราวกับว่าจะมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยเสียงอันเนิ่นช้ากว่าเดิม “เชี่ยวชาญในภาษาแดนใต้พิภพจะทำให้เจ้าสามารถฝึกปรือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพได้ เพื่อเปิดประตูไปสู่สมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้หรอกหรือว่าทำไมเจ้าถึงสามารถเปิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามารได้น่ะ”
“เผ่ามารเป็นทายาทของมารเทวะในแดนใต้พิภพ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเปิดสมบัติเทวะของมรรคามาร เจ้าไม่สงสัยหรอกหรือว่าทำไมเจ้าก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน” ผู้เฒ่านำทางความตายถามจากข้างๆ เขา
“สงสัยสิ!” ฉินมู่มองไปที่ผู้เฒ่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ข้าเกิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร พร้อมๆ กับสมบัติเทวะแห่งมรรคาเทพได้อย่างไร”
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าเป็นทายาทของหมู่บ้านไร้กังวล และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในแดนใต้พิภพ…”
ขณะที่ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอยู่นั่นเอง ภูติบดีแมกม่าก็ขัดจังหวะเขา “เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดนั่น และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟัง เขาถูกเรียกตัวมาเพื่อไต่สวน ไม่ใช่ให้เขามาแงะหาข้อเท็จจริงจากพวกเราแทน”
ผู้เฒ่านำทางความตายพลันสำเหนียกตนเอง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาถึงกับสามารถแงะหาข้อเท็จจริงออกจากปากข้าได้ สีหน้าของไอ้เด็กนี่นี่มันน่าชังเสียเหลือเกิน เขาทำให้ข้าตกหลุมพรางของเขา”
ฉินมู่หน้าแดงและกล่าวด้วยความเขินอาย “ความอยากรู้อยากเห็นของข้าถูกราชันย์ขุนนางแหย่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ถามเช่นนั้น ข้าไม่ได้พยายามแงะง้างข้อเท็จจริงออกมาจากท่านทั้งสองเสียหน่อย ข้าเป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยๆ ที่เพิ่งอายุย่างสิบแปดปี…”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัว “มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขากำลังโกหกอยู่”
ภูติบดีแมกม่าผงกหัวและกล่าว “นี่คือความกลอกกลิ้งที่่ได้มาในภายหลัง เขาเรียนรู้มันจากพวกคนเป็น มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติสันดานของเขา แต่เป็นสิ่งที่ได้จากการฝึกฝน”
“ถ้าเช่นนั้น แค่ไหนที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และแค่ไหนที่เป็นเรื่องเท็จ”
ภูติบดีแมกม่ารู้จักฉินมู่ถึงไส้ถึงพุง ดังนั้นเขาจึงกล่าว “ตอนที่เขาพูดถึงสาเหตุที่จะนำดวงวิญญาณหวนคืนไปยังแดนลางร้าย ทุกๆ คำนั้นเป็นความจริง หลังจากนั้น เขาดูเหมือนจะพูดมากมาย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเป็นเนื้อหาเลยสักอย่างเดียว ในทางกลับกัน เขาพยายามแงะง้างความจริงออกจากพวกเรา”
ผู้เฒ่านำทางความตายใคร่ครวญอย่างละเอียด และตระหนักว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ธรรมชาติสันดานของข้าไม่ได้เป็นแบบนี้ ข้าเพียงแต่ถูกผู้เฒ่าในหมู่บ้านเสี้ยมสอนเรื่องร้ายๆ ทำให้ข้ากลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีภาพความทรงจำจากแดนใต้พิภพจริงๆ นะ”
“ประโยคนี้จริง” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “เวทปิดผนึกยังอยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงน่าจะเป็นความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับภาษาตื่นขึ้นมา เขาไม่ได้ย้อนระลึกได้ถึงสิ่งที่เขาเคยประสบ”
ด้วยเหงื่อที่หยดลงจากหน้าผาก ฉินมู่ถามหยั่ง “ข้าได้สังหารผู้คนมากมายในอดีต นั่นจะทำให้บาปข้าหนักหนาขึ้นไหม”
“ประโยคนี้เท็จ เขากำลังพยายามแงะง้างข้อมูล” ภูติบดีแมกม่ากล่าว “แต่ทว่า สิ่งที่เขาต้องการจะถามนั้นไม่ใช่ความลับ ดังนั้นเจ้าจะตอบเขาก็ได้”
“ทุกความชั่วร้ายที่ก่อก่อนตายก็จะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันหลังความตาย แดนใต้พิภพไม่ใช่สถานที่พิพากษา แต่เป็นสถานที่ที่คนตายต้องมาอยู่ เว้นก็แต่ผู้นั้นมีบาปผิดอย่างร้อยแรง หรือทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ พวกเขาก็ก็จะถูกภูติบดีจับกิน”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก แต่ผู้เฒ่านำทางความตายยังคงพูดไม่จบ
“พวกที่มีบาปผิดร้ายแรงและพัวพันไปด้วยบาปหนา ก็จะถูกไฟกรรมแผดเผาอันเจ็บปวดสาหัสเป็นอย่างยิ่ง ภูติบดีกินพวกเขาเข้าไปเพื่อดูดซับบาปผิดและไฟกรรมของพวกเขา ผู้คนอย่างเจ้าที่ทำลายความสงบของแดนใต้พิภพ และไม่ปล่อยให้คนตายได้พักผ่อนอย่างสงบ ก็จะถูกภูติบดีจับกินเช่นกัน”
ฉินมู่กระสับกระส่ายอีกครั้ง ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่สีหน้าของเขา จากนั้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “แต่ถึงอย่างไร แดนใต้พิภพไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุระของโลกแห่งคนเป็น เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราไม่อาจลงมือจัดการเข้าได้ และจะต้องรอตอนที่เจ้าตายแล้วเท่านั้น”
“ราชันย์ขุนนาง เจ้าถูกสีหน้าของเขาหลอกลวงอีกแล้ว” ภูติบดีแมกม่ากล่าว
อึ้งสักพัก ผู้เฒ่านำทางความตายร้องออกมา “เจตนาที่แท้จริงของเขาก็คือจะถามข้าว่าเขาจะถูกลงโทษตอนนี้หรือไม่ ยากที่จะระวังป้องกันเขา–”
ภูติบดีแมกม่าผงกหัว และสายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าฉินมู่อีกครั้ง เขากล่าว “อย่าเพิ่งพูดก่อน ให้ข้าถามเขา”
ฉินมู่ยืนสงบเสงี่ยม
ภูติบดีแมกม่ามองไปที่สีหน้าเรียบร้อยเชื่อฟังของเขาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไร และเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จี้หยกบนคอของฉินมู่ลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และตกลงบนฝ่ามือของเขา
ภูติบดีแมกม่าเด็ดเอาเขายาวข้างหนึ่งบนหัวของเขาออกมา และแทงมันเข้าไปในจี้หยก เขายาวทั้งแท่งจมเข้าไปข้างใน และหายวับไปโดยไร้ร่องรอย
วงแหวนไฟแผ่กระจายออกมาจากจี้หยก ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป
จี้หยกลอยขึ้นมา และกลับไปคล้องที่คอของฉินมู่อีกครั้ง เขาซ่อนมันเอาไว้ใต้เสื้อ เก็บมันไว้แนบชิดกาย
ภูติบดีแมกม่าโบกมือและกล่าว “ข้าต้องการดูผนึกบนจี้หยก ในเมื่อมันมั่นคงสถาวรดีแล้ว ส่งเขากลับไป พวกเราจะสะสางทุกอย่างกันอีกทีหลังจากที่เขาตาย”
ผู้เฒ่านำทางความตายรีบกล่าว “หลังจากที่เขาตาย ก็ไม่ใช่ว่าเขาก็ยังคงเป็น–”
ภูติบดีแมกม่าปรายตามองเขา และราชันย์ขุนนางใต้พิภพก็พลันจดจำได้ว่าเขาถูกสั่งห้ามพูดจา เขารีบเก็บประโยคที่เหลือเอาไว้ในคอ
ร่างกายของภูติบดีหมุนเป็นเกลียว และเสียงของเขาก็ดังมาจากแมกม่า “อย่าปล่อยให้ใครแตะต้องจี้หยกของเจ้า! ราชันย์ขุนนาง ตอนที่เจ้าส่งเขาออกไป อย่าพูดคุยกับเขา!”
“ภูติบดี ข้าอยากพบแม่ของข้า นั่นพอจะทำได้ไหม” ฉินมู่รีบถาม
ภูติบดีแมกม่าหายไปแล้ว
ฉินมู่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็กล่าว “ข้าก็แค่อยากจะพบกับแม่ของข้า ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน…ราชันย์ขุนนาง ท่านรู้ไหมว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและผงกหัว
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ผู้เฒ่านำทางความตายยุ่งยากใจเป็นอย่างยิ่ง และเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ภูติบดีสั่งข้าไม่ให้พูดกับเจ้า”
“ราชันย์ขุนนาง แม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ไหม” เขาถามด้วยความตื่นเต้น
ผู้นำทางความตายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของฉินมู่มันเค้นหัวใจของเขาเสียเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ผงกหัว “เลิกถามนั่นนี่ได้แล้ว ข้าลำบากใจจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ได้ขัดคำสั่งภูติบดีไปแล้วที่ว่าห้ามพูดกับเจ้า ไป นี่ยังไม่ถึงช่วงกลางวันในสวรรค์ไท่หวง ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกแห่งคนเป็น”
ฉินมู่จึงได้แต่ติดตามเขาและขึ้นเรือน้อย เขาหุบปากเงียบระหว่างทาง
เรือน้อยแล่นไปอย่างอ้อยอิ่ง พวกเขาออกไปจากแผ่นธรณีขาดเป็นชั้นๆ บนเขาของภูติบดี และเดินทางเข้าไปในความมืด
ร่างที่แท้จริงของภูติบดีใหญ่โตมโหฬาร ฉินมู่ไม่รู้ว่ามันใหญ่สักเท่าใด แต่ว่าเรือน้อยต้องใช้เวลานานสองนานถึงแล่นออกไปพ้นน้ำพุเหลืองเก้าบิดสองเส้นนั้น
ผู้เฒ่านำทางความตายคอยมองไปรอบๆ และเขาก็ยกตะเกียงขึ้นฉายส่องเป็นระยะๆ พักหนึ่ง เขาก็โยนยันต์เหลืองให้แก่ฉินมู่ “เจ้าพวกที่ตามหาตัวเจ้านั้นไม่มีทางยอมละทิ้งโอกาสนี้ แปะยันต์กระดาษเหลืองเอาไว้บนหน้าของเจ้า และก็จะไม่มีมารหรือเทพตนใดที่สามารถมองเห็นใบหน้าของเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นอะไรก็จะเป็นภาพเท็จไปทั้งหมด เหมือนกับที่ข้าเป็นอยู่ในขณะนี้”
ฉินมู่แปะยันต์กระดาษเหลือบนใบหน้าของเขาและไม่กระดุกกระดิก
“ทำไมเจ้ายังไม่เจาะรูตาล่ะ” ผู้เฒ่านำทางความตายถามด้วยความใคร่รู้
ฉินมู่ชืดชาไม่อยากขยับและพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “ไม่อยาก”
“เด็กน้อยทำเป็นโมโห”
ในตอนนั้นเอง เรือน้อยก็หยุดลง
ผู้เฒ่านำทางความตายลุกขึ้นยืนชูตะเกียงขึ้นมาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเจ้ายังไม่ล้มเลิกอีกหรือ”
“ราชันย์ขุนนางโปรดให้ทางถอยแก่พวกเราด้วย!” เสียงหนึ่งดังมาจากความมืด แต่เนื้อเสียงของมันเหมือนกับว่าเป็นเสียงมากมายที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง “พวกเราต้องการเพียงแค่ใบหน้าและตัวตนของเขาในโลกแห่งคนเป็นเท่านั้น! พวกเราไม่ได้ต้องการชีวิตของเขาในตอนนี้!”
“พวกเจ้ายุ่มย่ามมากเกินไปแล้ว ถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นหากว่าร่างจริงของข้าจุติลงมา แม้แต่ผีพวกเจ้าก็จะไม่ได้เป็น!” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวอย่างเย็นชา
บนเรือ ฉินมู่ลอบนำเอาบันทึกเป็นตายที่แย่งมาจากราชาหมอผีขุยและฉายส่องมันไปในความมืด ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อชื่อปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษ
“ฮี่ๆๆๆ เจ้าก็พลาดเผยไต๋ออกมาจนได้…” เสียงประหลาดพิลึกในความมืด เคลื่อนที่ห่างไปอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่านำทางความตายหันไปมอง และสายตาของเขาจ้องจับไปที่บันทึกเป็นตายในมือของฉินมู่ เขาถอนหายใจและกล่าว “ตอนนี้เจ้าก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขาเองก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ที่เจ้าใช้นั้นคือบันทึกเป็นตายแห่งสภาสวรรค์ และมีพวกมันไม่กี่ชิ้นกระจายไปในจักรวาล เขาจะค้นหาตัวเจ้าเจอในไม่ช้า เจ้า…ดูแลตัวเองล่ะกัน!”
เพียงครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ตกตะลึง เขาเพิ่งจะรู้ว่าไต๋ที่เขาเผยนั้นคืออะไร
……………………..