ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 564 ทรราชย์น้อยแห่งแดนใต้พิภพ
จากเหตุการณ์ของฉินเฟิงชิงก็ยังคงมีจุดที่น่าสงสัย นั่นก็คือภูติบดีได้ปิดผนึกเขาไว้แล้วชัดๆ อันที่จริงแล้ว สมบัติเทวะของเขาทั้งหมดควรจะต้องถูกปิดผนึกเอาไว้อยู่ ดังนั้นเขาจะไม่สามารถฝึกวรยุทธหรือแม้กระทั่งเปิดสมบัติเทวะของตน อย่าว่าแต่จะได้กลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะเลย
ผู้เฒ่านำทางความตายเดินไปมารอบๆ พลางครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาจะทำได้แค่อาศัยอย่างมนุษย์ธรรมดาจนกระทั่งร่างกายของเขาหยุดทำงาน ซึ่งอย่างมากก็ราวๆ หนึ่งร้อยปี แต่ทว่า เขาเปิดสมบัติเทวะของตนเองได้อย่างไร
ภูติบดีได้ปิดผนึกสันดานมารและความทรงจำของฉินมู่ สันดานเทพของเขาก็ถูกปิดผนึกไปด้วย
ระหว่างกระบวนการ เสียงของภูติบดีได้ก่อรูปขึ้นมาเป็นผนึกบนสมบัติเทวะของฉินมู่ มันเป็นเหตุการณ์ที่มิได้จงใจ และการสะกดข่มเขาไว้นั้นเป็นผลข้างเคียงจากการปิดผนึกสันดานเทพและสันดานมารของเขา
ผนึกนี้ไม่ได้หมายว่าจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น แต่ในท้ายที่สุดมันก็ตัดรอนหนทางในการฝึกปรือของเขา
นี่หมายความว่า ในร่างของฉินมู่ไม่มีสันดานมารและสันดานเทพ สมบัติเทวะทั้งหมดของเขา ไม่ว่าจะเป็นของมารหรือเทพ ก็ถูกปิดผนึกเอาไว้ และไม่อาจถูกเปิดออกมาได้อีกเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฝึกวรยุทธและเพิ่มพูนกำลังฝีมือของตนเอง
หลังจากที่ฉินมู่ไปยังโลกแห่งคนเป็น เขาน่าจะได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป และใช้ชีวิตอันธรรมดาสามัญ
กระนั้นสมบัติเทวะของเขาก็ถูกเปิดออก และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาฝึกปรือวิทยายุทธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่าเขาได้เปิดสมบัติเทวะเจ็ดดาวเรียบร้อยแล้ว และถึงกับได้หลอมรวมสมบัติเทวะเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง
หะแรก เขาได้เปิดสมบัติเทวะในมรรคาเทพ ขณะที่ตอนนี้ความเร็วในการฝึกปรือมรรคามารของเขา ก็รวดเร็วเสียราวกับว่ามีเทพยดาเสริมส่ง!
นี่มันแปลกประหลาดอย่างสุดขีดขั้ว
การเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณนั้น ผู้เปิดจะต้องอาศัยฝีมือความสามารถของตนเอง ไม่มีใครอื่นเข้าไปช่วยเหลือได้ต่อให้พวกเขาอยากจะช่วยก็ตาม ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งตนเองเท่านั้น กระนั้นผนึกบนสมบัติเทวะของเขาก็ยังหนักหนาสาหัสกว่าคนธรรมดาเป็นร้อยเท่าตัว
นี่เพราะว่าหากเขาพยายามที่จะทลายกำแพงทารกวิญญาณ เขาก็จะกระตุ้นการทำงานของผนึกภูติบดี และเสียงเทพสวรรค์เก้าของภูติบดีก็จะดังมาจากเบื้องบน และหากว่าเขาพยายามที่จะเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณแห่งมรรคามาร เขาก็จะปะทะกับเสียงมารแดนใต้พิภพของภูติบดี
ไม่ว่าจะอย่างไรผู้นำทางความตายก็นึกคำอธิบายไม่ออก เขาไม่ใช่ผู้สัพพัญญูหรือสรรพเดชะ และเขาก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปยังค่ำคืนที่ฉินมู่กลืนกินโลหิตวิญญาณทั้งสี่
เขาไม่รู้ว่าในค่ำคืนนั้น มีชายแก่ผู้หนึ่งอันแขนขาถูกตัดออกไปหมดนั่งอยู่ข้างๆ กองไฟในหมู่บ้านพิการชรา และกล่าวกับชาวบ้านอันดูดุร้ายหยาบกร้านทั้งหลาย “ข้อสันนิษฐานของข้าก็คือ มู่เอ๋อมีกายาอีกประเภทหนึ่ง กายาที่หลอมรวมเอาพลานุภาพของสี่มหากายาวิญญาณ–คือกายาจ้าวแดนดิน!” เขากล่าวในเวลานั้น
ด้วยประโยคนี้ ตำนานก็ก่อกำเนิดขึ้นมา เปลี่ยนสิ่งเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง
พวกชาวบ้านแห่งหมู่บ้านพิการชรายิ่งไปเสาะหาโลหิตสี่วิญญาณมากขึ้นอีก ทุ่มสุดตัวเพื่อให้ฉินมู่ดื่มกินมันเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กหนุ่มเองก็ได้พากเพียรอย่างสาหัสในเมื่อเขามีความศรัทธาในความไร้เทียมทานของตนเองในหัวใจ
เขาคือกายาจ้าวแดนดิน กายาวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด!
หากว่าเขาเปิดสมบัติเทวะไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าเขายังพากเพียรไม่หนักพอ และไม่คู่ควรกับกายาจ้าวแดนดิน!
ด้วยการนั้น ผนึกของภูติบดีก็บางลงไปทุกวันๆ จากการเคี่ยวกรำของเขา และเขาได้เรียนรู้ภาษามารและภาษาเทพ จากนั้นเขาก็ใช้เสี้ยววินาทีที่เสียงมาร เสียงเทพ และเสียงพุทธเข้าปะทะกัน เพื่อทลายเปิดกำแพงสมบัติเทวะทารกวิญญาณของตน!
จากนั้นเป็นต้นมา อนาคตเขาก็กระจ่างสดใส
ผนึกของภูติบดียังคงอยู่ที่นั่น และสันดานมารกับสันดานเทพของเขาก็ยังคงถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่ทว่าความเชื่อความศรัทธาอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าถั่งโถมออกมาจากเรือนกายเล็กๆ เป็นสิ่งที่ภูติบดีและผู้ทรงอิทธิพลคนอื่นๆ ในแดนใต้พิภพไม่เคยจะคิดฝัน
เรื่องราวของตำนานได้เริ่มต้นจากความโกหกด้วยความหวังดีของผู้เฒ่าคนหนึ่งอันดูไม่ต่างอะไรกับแท่งไม้มนุษย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟในค่ำคืนนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีเหตุการณ์ประหลาดจากช่วงเวลาที่เขาถูกเนรเทศออกจากแดนใต้พิภพและทิ้งเอาไว้ในแดนโบราณวินาศ ในครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผู้เฒ่านำทางความตายหลับตาลง จากนั้นลืมตาขึ้นหลังจากเนิ่นนาน แล้วจึงหยิบเอาบันทึกเป็นตายแห่งแดนใต้พิภพออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีความเกี่ยวพันกัน ข้าน่าจะไปตามหาสตรีที่พาเขาออกไปและถามนางถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะสามารถหาตำแหน่งแห่งหนของนางได้จากบันทึกเป็นตายนี้ และหากว่านางตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของนางก็น่าจะย้อนคืนกลับมายังแดนใต้พิภพ…
เขาเปิดบันทึกเป็นตายดูจนตลอด และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเครียดขรึม
ชื่อของนางถูกจำหน่ายออกไปจากบันทึกเป็นตายแล้ว นี่มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรก ดวงวิญญาณของนางได้แตกสลายไป เหมือนกับเทพครองดาวเจ็ดสังหาร เมื่อดวงวิญญาณสิ้นสูญ นามของพวกเขาก็จะจางหายออกไปจากบันทึกเป็นตายเอง
อย่างที่สอง ดวงวิญญาณของนางได้ไปพำนักในยมโลกหรือในสถานที่ที่คล้ายคลึงกัน
นางได้ประสบพบพานสิ่งใดกันแน่
ผู้เฒ่านำทางความตายถอนหายใจและปิดบันทึกเป็นตาย ร่างของเขาสั่นเทิ้ม และเขาแยกร่างตนเองออกมามากมาย พวกร่างแยกเหล่านั้นไปขึ้นเรือของตนแล้วจากไป
ตอนนี้ทรราชย์น้อยแห่งแดนใต้พิภพน่าเอ็นดูกว่าในอดีตเยอะ ข้าชอบเจ้าเด็กที่เรียกว่าฉินมู่นี่มากกว่าและไม่อยากจะพบเห็นฉินเฟิงชิงอีกครั้ง แต่ทว่า ผนึกได้หลวมคลายลงไปครั้งหนึ่ง และสภาสวรรค์ก็กำลังตามหาตัวเขา หากว่าผนึกแตกทำลายในอนาคต และฉินมู่ย้อนคืนกลับไปเป็นฉินเฟิงชิง ข้าเกรงว่าแดนใต้พิภพคงจะตกอยู่ในอันตราย…
…
ในเมืองหลี ฉินมู่ลืมตาขึ้นมาอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเขาเซ่อซ่า มังกรน้อยของฉินอวี้นอนอยู่บนหน้าของเขาและกำลังเลียแก้มเขาอยู่
ฉินมู่คีบหางของเจ้าตัวเล็กและยกมันขึ้น มังกรน้อยยกหัวขึ้นมาและปีนไต่ขึ้นไปบนแขนของเขา มันคลานขึ้นไปบนบ่าของเขาและห้อยตัวเองลงมาจากใบหู
ฉินมู่นำน้ำออกมาอ่างหนึ่งเพื่อล้างหน้า และมังกรน้อยก็ฉวยโอกาสเอาหัวมุดน้ำ มันดูดน้ำเข้าไปเต็มปากแล้วพ่นปรี๊ดออกมาเพื่อความสนุกสนาน
ฉินมู่เดินออกจากห้องพักและยืดเหยียดหลังของเขา เขาได้นอนหลับไปบนเรือเหาะตลอดทั้งคืน ฮู่หลิงเอ๋อ หลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง และซังฮั่วได้ตื่นขึ้นมาแต่เนิ่นๆ และกำลังประกอบอาหาร เมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมา พวกนางก็ทักทายเขา
หีบวิ่งกระโดกกระเดกเข้ามาถูไถขาของฉินมู่ และอ้าฝาอวดกระดูกที่มันได้สะสมมา
กิเลนมังกรคาบอ่างใบใหญ่ก้าวมาหา เขากระดิกหางไปมาและวางชามอ่างตรงแทบเท้าฉินมู่
“มังกรอ้วน เจ้าซ่อนยาวิญญาณไว้ในหีบตั้งหลายหม้อไม่ใช่หรือ”
ฉินมู่นำผ้ากันเปื้อนออกมา และช่วยพวกสาวๆ ทำอาหาร เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าทำเถอะ”
“จ้าวลัทธิยังรู้วิธีปรุงอาหารด้วยหรือ” ซังฮั่วถามด้วยความตื่นตระหนก
“จ้าวลัทธิเป็นยอดฝีมือด้านการประกอบอาหาร อาหารที่เขาปรุงอร่อยล้ำเลิศ! ในช่วงวันที่องค์หญิงจิวและข้าถูกท่านปู่บอดลักพาตัวไปแต่งงานกับเขา ก็เป็นจ้าวลัทธินี่แหละที่ประกอบอาหารให้ทุกมื้อ ข้าถึงกับติดใจรสชาติและคิดอยากจะแต่งงานกับเขาแบบจริงๆ จังๆ!” ซีอวิ๋นเซี่ยงอธิบายด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น
หลิงอวี้จิวตาเป็นประกาย “ข้าก็ติดใจเหมือนกัน และถึงกับอยากให้ท่านปู่บอดพยายามบังคับพวกเราแต่งงานกันอีกหน รอให้เด็กเลี้ยงวัวเอาอาหารโอชารสมาบริการ!”
ฉินมู่เก็บทัพพี และเขาเคลื่อนใจเล็กน้อย แปรเปลี่ยนปราณชีวิตให้เป็นไฟ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้ว ท่านปู่ใบ้ในหมู่บ้านของพวกเราทำอาหารได้อร่อยที่สุด อาหารยาของท่านปู่นักปรุงยารสชาติเยี่ยมที่สุด ขณะที่ท่านปู่หม่าเป็นยอดฝีมือในด้านอาหารเจ ท่านยายซีเองก็ทำอาหารได้ไม่เลว แต่ไม่มีใครกล้ากินพวกมัน ก็ในเมื่อพวกเราไม่รู้ว่านางใช้วัตถุดิบแบบไหนกันแน่ ส่วนคนอื่นๆ ทำอาหารไม่ค่อยจะได้”
กิเลนมังกรมองไปที่หีบและมันก็อวดเขาให้ดูกระดูกที่สะสมเอาไว้ ดูเริงร่าเป็นพิเศษ จากนั้นมันก็โยนกระดูกสองชิ้นให้กับเขา กิเลนมังกรคุ้ยหาดูข้างในหีบจนกระทั่งเขาพบเจอยาวิญญาณจำนวนหนึ่ง
เสือเทพยดาขนดำเดินเข้ามา เสียงของเขากึกก้องราวสายฟ้า “มังกรอ้วน หยุดกินได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปฝึก! เวลาในการฝึกฝนที่ดีที่สุดคือหลังจากตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่! เจ้าสอนข้าหลายสิ่งหลายอย่าง ดังนั้นข้าก็จะช่วยสอนเจ้าเช่นกัน ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดไขมันส่วนเกินบนร่างกายของเจ้า! ศิษย์น้อง ข้าจะยืมเจ้าอ้วนของเจ้าไปเสียหน่อย!”
“เชิญศิษย์พี่ตามสบาย” ฉินมู่รีบกล่าว
กิเลนมังกรรีบสวาปามยาวิญญาณทั้งหมดในอ่างภายในเฮือกเดียว แต่ไม่ทันที่เขาจะงับทุกอย่างเข้าไปในปาก เทพเสือขนดำก็คว้าหางของเขาและลากเขาจากไป
“ชามของข้า!” เสียงร้องของกิเลนมังกรดังมาในอากาศ “ข้ายังไม่ทันเลียมันให้สะอาด–”
“จิ้งจอกน้อย ตามมาหลังจากที่เจ้าทานมื้อเช้าแล้ว เพื่อมาฝึกกับข้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปโจมตีค่ายศัตรู!” เสือขนดำตะโกนมาจากที่ไกลๆ
ฮู่หลิงเอ๋อรับคำ และเทพเสือขนดำก็ลากกิเลนมังกรไปด้วยหาง
ฉินมู่ประกอบอาหารเสร็จและถอดผ้ากันเปื้อนออก เขานั่งลงกับพวกสาวๆ ตรงหน้าโต๊ะอาหาร ขณะที่ฮู่หลิงเอ๋อตักโจ๊กให้กับพวกเขาทั้งหลาย ก่อนที่จะนั่งลงด้วยเช่นกัน
มังกรน้อยที่หูของฉินมู่ ลอบยื่นกรงเล็บออกไปและคว้าเอาเนื้อหอยผัดฉ่าชิ้นหนึ่งแล้วถอยกลับ มันกอดหอยชิ้นนั้นและเริ่มกิน
ทุกๆ คนทานอาหารและสนทนา หลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงก็ได้เดินทางไปยังยมโลกมาก่อน และเรียนวิชาฝึกปรือกับทักษะเทวะจากเทพและมารที่นั่นมาจำนวนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่พวกนางฝึกฝนนั้นไม่ครบสมบูรณ์ และเทพกับมารทั้งหลายในแดนยมโลกก็สามารถทำได้แค่สอน พวกนางต้องมาตรึกตรองทำความเข้าใจต่อเอง
“แต่ทว่า มรดกยุทธของสวรรค์ไท่หวงครบสมบูรณ์ และพวกเราได้เรียนรู้เรื่องดีๆ หลายอย่างระหว่างไม่กี่วันที่พวกเราอยู่ที่นี่”
“มีราชครูคอยรักษาแนวรบ ก็คงไม่มีศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกในเร็วๆ นี้หลังจากชัยชนะของพวกเรา พวกเราสามารถฉวยโอกาสนี้ไปร่ำเรียนจากศิษย์พี่หญิงและชายทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวง ก่อนที่จะไปทดสอบแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับศิษย์พี่หญิงและชายแห่งเผ่ามาร ยังมีศิษย์จากลัทธิมารฟ้าของพวกเราจำนวนไม่น้อยที่ได้เดินทางมาที่นี่ น้องสาวซังฮั่วก็ได้กล่าวว่านางต้องการจะไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์เพื่อร่ำเรียนสักระยะหนึ่ง” ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าว
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “พวกเราอาจจะสามารถก่อตั้งสาขาสถาบันนักบุญสวรรค์ขึ้นที่นี่ และเชื้อเชิญเทพ มาร และยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะที่เลื่องลือชื่อเสียงมาให้การสอนบรรยาย ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงก็สามารถเดินทางไปฝึกปรือที่สถาบันนักบุญสวรรค์เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้ง และไม่ถ่วงสถานการณ์ศึกให้ล่าช้า”
พวกเขาทานอาหารและสนทนากันไปมา หลังจากที่ฮู่หลิงเอ๋อทานเสร็จ นางก็รีบวิ่งออกไปเพื่อฝึกฝนกับเทพเสือขนดำและกิเลนมังกร
ฉินมู่และพวกสาวๆ ยังอยู่เพื่อล้างถ้วยชาม เมื่ออวี่เหอขึ้นเรือมา นางก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเมื่อเห็นฉินมู่กำลังล้างจาน ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด นางกล่าวอย่างลังเลใจ “จ้าวลัทธิ มีพลสอดแนมมารจำนวนหนึ่งมาเพ่นพ่านแถวๆ สนามรบ ข้าอยากจะพาซังฮั่วและคนอื่นๆ ไปต่อสู้แบบกองโจรกับพวกเขา”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไปกันก่อนเลย ข้าจะจัดการจานชามพวกนี้เอง”
ซีอวิ๋นเซี่ยงรีบวิ่งออกไปพลางดึงหลิงอวี้จิวและซังฮั่วไปพร้อมๆ กับนาง จากที่ไกลๆ เสียงของอวี่เหอดังมาแผ่วกระซิบ “ให้จ้าวลัทธิล้างจะเหมาะสมหรือ จะให้จ้าวลัทธิอย่างเขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ได้อย่างไร…”
ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มให้แก่นาง “ลัทธินักบุญสวรรค์ของเราก็ไร้พิธีรีตองแบบนี้แหละ พวกเราไม่ค่อยมีกฎอะไรมากมาย”
อวี่เหอค่อยสบายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครั้งหนึ่งจ้าวลัทธิเคยบอกว่าลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเรานั้นโดดเด่นในฝ่ายเที่ยงธรรม และได้เห็นการกระทำของเขาอันเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นแล้ว ข้าก็พบว่าการที่ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราโดดเด่นในฝ่ายเที่ยงธรรมนั้นมิใช่เรื่องบังเอิญเลย”
“นี่…” ซีอวิ๋นเซี่ยงจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ฉินมู่ทำความสะอาดเสร็จ และหีบก็วิ่งก๊อกแก๊กๆ มาหาเขาอีกครั้ง มาเปิดฝาออก โอ้อวดกระดูกที่มันเก็บมา
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขานำอาวุธวิญญาณของเผ่ามารออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อวางไว้ข้างใน “ระหว่างการเดินทางออกไปครั้งนี้ ข้าได้สังหารยอดฝีมือเผ่ามารมากมาย และแย่งชิงอาวุธวิญญาณของพวกเขา เจ้าน่าจะเริ่มเก็บสะสมมันบ้าง แทนที่จะเอาแต่สนใจกระดูกอย่างเดียว”
หีบพ่นอาวุธวิญญาณออกไป เลือกที่จะเก็บสะสมกระดูกต่อ
ฉินมู่ส่ายหัวและนำเอารังมังกรแท้ออกมา เขาดึงมังกรน้อยออกจากหูของเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าน้อย เจ้าติดข้าหนึบก็เพราะว่าเจ้าต้องการเห็นสิ่งนี้สินะ”
ดวงตาของมังกรน้อยเป็นประกาย และเขาร้องมาฮาๆ ไม่หยุดหย่อน
ฉินมู่หัวเราะ และนำมังกรน้อยเข้าไปในรังมังกร
หนึ่งคนและหนึ่งมังกรเข้าไปข้างใน และฉินมู่ก็ปล่อยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี้ มังกรน้อยรีบบินไปรอบแล้วรอบเล่าในรัง ตื่นเต้นอย่างหยุดไม่อยู่
ฉินมู่นำเอาห่วงหยกจักรพรรดิมา และโยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้า ห่วงหยกได้แปรเปลี่ยนเป็นจ้าวแห่งมังกรแท้ และกลายเป็นเข้ากันได้กับรังอย่างพอดิบพอดี ในพริบตานั้น ปราณมังกรอันไพศาลไร้ขอบเขตก็แผ่พุ่งออกมา และนิพนธ์เผ่ามังกรจำนวนมากก็ปรากฏ
มังกรน้อยเหาะไปเหาะมาเพื่ออ่านมันทั้งหมด เสียงร้องมาฮามาฮาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นภาษามังกรอันลึกลับที่ยากจะเข้าใจ เขานั้นกำลังตรึกตรองนิพนธ์บนรังมังกรแท้!
สายเลือดของมังกรน้อยนี้บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเขาคือบุตรแห่งราชามังกรแม่น้ำหย่ง ฉินมู่เรียกเขาว่าสหายเต๋าน้อย แต่อายุที่แท้จริงของเขานั้นมากกว่าสองหมื่นปี เพียงแต่ว่าเขาถูกแช่แข็งไว้ในลูกแก้วมังกรโดยราชามังกรแม่น้ำหย่ง ทำให้เขาไม่เคยจะเติบโตขึ้นมา
ภาษามังกรจากปากของเขากลายเป็นยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนเข้าไปใหญ่ เขาคือโอรสแห่งราชามังกร และสายเลือดของเขายิ่งสูงส่งกว่าป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉีเอ๋อที่ฉินมู่ได้พบเมื่อสี่หมื่นปีก่อน ตอนที่เขาได้เดินทางข้ามเวลาไปยังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ระหว่างที่รับฟัง เขาก็สามารถถอดความหมายของภาษามังกรได้มากขึ้นอีก
ฉินมู่เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นและรับฟังเสียงคำรามมังกร พลางขับเคลื่อนปราณชีวิตของเขาเพื่อตรวจสอบวิชาฝึกปรือมังกรแท้ที่เขาได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ ปฏิภาณความเข้าใจของเขาก็ย่อมที่จะดีขึ้นและดีขึ้นด้วยเช่นกัน
มังกรน้อยเหาะขึ้นและเหาะลงหลายครั้ง ยากที่จะบอกได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดเมื่อในที่สุดเขาก็ถอดความหมายไขนิพนธ์ทั้งหมดได้ เขาพลันลงมาเหยียบที่พื้น และร่างของเขาสั่นเทิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและท่วงทีอันน่าเกรงขาม เขาดูค่อนข้างคล้ายคลึงกับฉินอวี้ และเขาโค้งคารวะด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณจ้าวลัทธิฉินเป็นอย่างยิ่งที่มอบวิชาฝึกปรือให้แก่ข้า และช่วยเหลือข้าในการปลุกสติปัญญา”
ฉินมู่คารวะกลับไปและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าเพียงนิดเดียวเท่านั้นในการเรียนรู้วิชาฝึกปรือของรังมังกรแท้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ถามได้หรือไม่ว่าจะเรียกหาสหายเต๋าน้อยว่าอย่างไร”
“ตระกูลของข้าใช้คำว่าเจียงเป็นแซ่ และแม่ของข้ามอบคำว่าเหมี่ยวให้แก่ข้า ดังนั้นข้าจึงเรียกว่าเจียงเหมี่ยว” เขาตอบ “แม้ว่าข้าจะสามารถถอดความนิพนธ์ที่เขียนไว้บนรังมังกรแท้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าก็ยังคงเป็นรุ่นที่สองและสายเลือดของข้าไม่บริสุทธิ์มากพอ พวกเราจะต้องอาศัยมังกรเทพยดาเพื่อถอดความให้แก่พวกเราอีกครั้งเพื่อได้รับวิชาฝึกปรือจ้าวแห่งมังกรแท้ที่ครบสมบูรณ์”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว “ในสวรรค์ไท่หวงไม่มีมังกรแท้ที่บรรลุเป็นเทพเจ้า พวกเราจะไปหามังกรเทพยดาได้ที่ไหน”
“มีมังกรเทพยดาอยู่ตนหนึ่งในแดนโบราณวินาศ ระหว่างที่ติดตามฉินอวี้ ข้าได้ยินเสียงเขาร้องเรียกมาเป็นระยะ”
จิตวิญญาณของฉินมู่ฮึกเหิมขึ้นมาทันที และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปแดนโบราณวินาศกัน!”
…
ในมหานาวาปารมิตาอันแตกหักในแดนโบราณวินาศ แผ่นปฐพีกระผีกหนึ่งลอยอยู่ในเขตปิดผนึกใหญ่มหึมา
ทันใดนั้น เสียงร้องคำรามก็ดังออกมาเมื่อสะพานเทวะทะลวงฝ่าอากาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของซิงอ้านก้าวข้ามมันและเหินไปยังปราสาทสวรรค์บนอีกฝั่งฟาก
“ข้าออกมาแล้ว!” ซิงอ้านรั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขากลับและลุกขึ้น เขาตะโกนไปอย่างดุดัน “ไอ้ใบ้ ไสหัวมา! เจ้าไปก่อกวนข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ข้าข้ามสะพานเทวะเรียบร้อยแล้ว รีบไสหัวออกมาตาย!”
“ตาย ตาย ตาย” เสียงสะท้อนของเขาก้องกลับไปกลับมา คนใบ้ผู้นั้นได้หนีหายไปตั้งนานแล้ว
สีหน้าของซิงอ้านมืดคล้ำ และเขาพุ่งฝ่าออกไปข้างนอกด้วยก้าวอาดๆ ในตอนนั้นเอง ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย ในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดวงตามารของลู่หลีปรากฏอีกครั้ง และเสียงอันชั่วร้ายของนางก็ดังออกมา “บุคคลที่เจ้ากำลังตามหามีบันทึกเป็นตายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเทพหมอผีขุย ไปตามหาตัวคนผู้นั้น!”
ดวงตามารของลู่หลีหายวับ
ซิงอ้านยืนจังงังอยู่บนอากาศด้วยสีหน้าโง่งม
“ยอดหมอเทวดาฉิน ที่แท้ก็เป็นเจ้า…” ซิงอ้านห่อเหี่ยว หัวใจของเขาว้าวุ้นไปหมด “ที่แท้ก็เป็นเจ้า…ข้าได้เชื่อใจเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ข้าจะคาดคิดว่าเจ้าจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าไอ้ใบ้นั่น…มันเป็นเจ้า! ข้าอยากจะดูนักว่าคราวนี้เจ้าจะเล่นกลอะไรอีก!”
………….