ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 567 ศิษย์พี่ใหญ่จับมังกร
มังกรเทพยดาอึ้งไปนิดนึง และม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงอย่างต่อเนื่อง เขาเพ่งสายตาไปยังฉินมู่
ดวงตาของเขาใหญ่โตมโหฬาร และหากว่าฉินมู่ไปยังใบหน้าของเขาและยืนอยู่ใต้เปลือกตา เขาก็ไม่อาจเอื้อมมือไปถึงเปลือกตาบนได้ไม่ว่าจะเหยียดมือสูงสักเพียงใด
ถูกดวงตามังกรสองดวงเช่นนี้จ้องมามิใช่สิ่งที่น่าสบายใจนัก
ดวงตาทั้งสองมีความน่ายำเกรงที่ทำให้ผู้คนตัวสั่นเทิ้มได้โดยไม่ต้องสัมผัสความหนาว และปลุกความเคารพและหวาดกลัวขึ้นมาในหัวใจ
ทว่าฉินมู่เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรสักอย่างและเดินตรงไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า เขาศึกษาดูการประดับประดาในโถงวัง สังเกตเห็นจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมาก แต่พวกมันส่วนใหญ่ถูกทำลายไป
มังกรชอบที่จะโอ้อวดความสำเร็จ และมักจะแกะสลักเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของพวกมันให้เป็นจิตรกรรมฝาผนัง ตกแต่งราชวังของตนเองให้ดูหรูหราและสาดประกายไปด้วยแสงทองมลังเมลือง ยิ่งไปกว่านั้น จิตรกรรมฝาผนังมากมายที่บรรยายวีรกรรมอันเกริกไกรของพวกมัน ย่อมทำให้เจ้าตัวรู้สึกสบายทั้งกายและอารมณ์เมื่ออาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้
อย่าว่าแต่จิตรกรรมฝาผนังที่ถูกทำลาย แม้แต่สมบัติล้ำค่าต่างๆ ในราชวังก็ถูกปล้นชิงไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระถางเผากำยานหรือฉากกั้น เก้าอี้หยก กาน้ำชา หนังสือ ภาพวาด กล่องหมากล้อม หรือกู่เจิ้งล้วนแต่ถูกเคลื่อนย้ายไปหมด ฉินมู่เห็นแม้กระทั่งรูอันเคยมีมุกเปล่งแสงประดับประดาเอาไว้ และไม่เพียงเท่านั้น ก็ยังมีกระเบื้องหลายแผ่นที่หายไปจากพื้น จากตำแหน่งของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ใจกลางโถงวัง ที่นี่ควรจะมีภาพลักษณ์อันหรูหราสง่างามเพื่อแสดงความมั่งคั่งและศักดิ์ฐานะของเจ้าของ
พวกมันทั้งหมดถูกแซะไปเผยให้เห็นพื้นหินข้างใต้ มองที่ภาพเช่นนี้ช่างน่ารวดร้าวใจ
แต่ทว่า ที่บนพื้นหินทั้งหมด มีอักษรรูนเขียนเอาไว้พร้อยไปทั่ว ฉินมู่ศึกษามันอย่างละเอียด แต่ไม่แตะต้อง
“ที่แท้บุคคลที่หลอกลวงข้าก็คือบรรพจารย์ของเจ้า?” มังกรเทพยดาถามด้วยสุ้มเสียงอันเจือโทสะ
“นั่นไม่ใช่บรรพจารย์ก่อตั้งของข้า เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า”
ฉินมู่ค้นหารอบๆ อย่างถ้วนถี่ มองหาสมบัติสักชิ้นสองชิ้นที่บรรพจารย์ก่อตั้งอาจจะเผลอไผลหลงลืมเอาไว้ แต่ความเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านของที่นี่ทำให้เขาได้แต่จนปัญญา เห็นได้ชัดหากศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไปเปิดโรงอาบน้ำในสันตินิรันดร์ ธุรกิจของเขาจะต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่
ราชวังถูกขัดถูคุ้ยแงะเสียจนเกลี้ยงเกลาด้วยฝีมือบรรพจารย์ก่อตั้ง จนไม่เหลือของสักสิ่งที่มีค่าพอจะนำไปได้
สิ่งของที่เหลืออยู่ก็คือกระถางของบรรพจารย์ก่อตั้งอันมีทรายเหลืองสิบลี้บรรจุอยู่ และราชวังใหญ่ แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ สมบัติทั้งสองชิ้นใช้สยบมังกรเทพยดาอยู่
“ข้าเห็นทรายดาวรวบรวมเข้าด้วยกันเป็นดวงตาปีศาจทรายดาวในเขตทรายเหลืองสิบลี้ การจัดเรียงดวงดาวและการเชื่อมต่อระหว่างแสงดาว เช่นเดียวกับคุณสมบัติธาตุและโครงสร้างของหมู่ดาวนั้นเป็นการจัดเรียงทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า”
ฉินมู่ค้นหาอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ก็คว้าน้ำเหลว ในที่สุดเขาก็มองไปยังมังกรเทพยดาและกล่าว “ทันทีที่ข้าเห็นเรื่องพวกนั้น ข้าก็สำเหนียกขึ้นมาทันที ข้าเคยเรียนพยุหะภัยพิบัติทรายดาวสิบลี้มาก่อน และมันซ่อนอยู่ข้างในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต หลังจากที่ตรึกตรองเข้าใจสิ่งนั้น แม้ว่าพยุหะจะสามารถสังหารเทพเที่ยงแท้ แต่มันก็กลายเป็นธรรมดาสามัญสำหรับข้า และข้าก็สามารถเดินออกมาได้แบบเป็นๆ”
เขาเดินอ้อมไปรอบๆ มังกรเทพยดาที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้สองรอบพลางสนทนา “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ยังไม่กล้าปักใจฟันธงว่าพยุหะสังหารนี้เป็นผลงานที่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าทิ้งเอาไว้ ดังนั้นหลังจากที่ข้าเดินออกมาจากพยุหะภัยพิบัติทรายดาว ข้าก็เดินไปตรวจสอบดูนิพนธ์เทพบนผนังและนิพนธ์มารบนโซ่”
เจียงเหมี่ยวเดินตามฝีเท้าของเขาไป และเดินอ้อมสองรอบรอบมังกรเทพยดา เขาครุ่นคิดใคร่ครวญและกล่าว “ที่แท้ถ้อยคำที่ท่านพูดเมื่อครู่ก็ไม่ได้มีเป้ามายังข้า และก็ไม่ใช่การตรึกตรองของท่านงั้นหรือ”
“ประโยคนั้นคือสิ่งที่ข้าเห็นในนิพนธ์เทพและมารที่ศิษย์พี่ใหญ่ทิ้งเอาไว้ และข้ากำลังพูดถึงการฝึกบำเพ็ญกรอบคิดจิตใจของเขา”
ฉินมู่หันกลับไปและนั่งลงตรงหน้ามังกรเทพยดา เขาหยุดเดินและอธิบายแก่เขา “ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเป็นบรรพจารย์ก่อตั้งของลัทธินักบุญสวรรค์ และขั้นการบำเพ็ญกรอบคิดจิตใจของเขาก็ได้บรรลุความสำเร็จอันสูงส่ง ลัทธินักบุญสวรรค์มีคำกล่าวว่า ผู้หนึ่งจะต้องกระทำสามสิ่งจึงจะสามารถบรรลุเป็นนักบุญ ก่อตั้งลัทธิ บำเพ็ญกุศล และถ่ายทอดความคิดของเขาลงในนิพนธ์”
“ศิษย์พี่ใหญ่ได้ก่อตั้งลัทธิและถ่ายทอดความคิดของเขาลงในนิพนธ์ แต่เขายังไม่ได้กุศลมา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจบรรลุเป็นนักบุญและฝึกปรือจนถึงเขตขั้นของนักบุญคนตัดไม้ กระนั้นท่ามกลางจ้าวลัทธิทั้งหมดทั้งมวล นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครเคยสำเร็จแม้แต่สองในสามคุณูปการนั้น ดังนั้นจึงมีแต่เขาเท่านั้นที่จะสยบมังกรเทพยดาเอาไว้ จ้าวลัทธิคนอื่นๆ คงไม่ทำเช่นนี้”
เจียงเหมี่ยวก็หยุดเดินและมองไปที่เขาด้วยความฉงน “ถ้าเช่นนั้น ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ของท่านจึงต้องการสะกดข่มมังกรเทพยดานี้เอาไว้”
“พวกเราคงจะต้องไต่ถามผู้อาวุโสมังกรเทพยดาในเรื่องนั้น”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปยังมังกรเทพยดาตัวมหึมา แม้ว่าเขาจะถูกล่ามโซ่เอาไว้และทักษะเทวะและการแปลงกายทั้งหมดของเขาถูกจำกัด ร่างกายมหึมาก็เพียงพอที่พวกเขาจะต้องแหงนคอตั้งบ่า
หนวดของมันห้อยลงมาราวกับเมฆที่อาบย้อมไปด้วยสีสันอาทิตย์อัสดง และลอยล่องรอบๆ พวกเขา ไม่มีทางที่ใครจะมองออกได้ถึงความชั่วร้ายในตัวตนอันเลิศล้ำและองอาจเช่นนี้
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นถาม “ศิษย์พี่ใหญ่อาจจะล่ามโซ่ท่านไว้ที่นี่เพื่อสำเร็จบุญกุศลและบรรลุเป็นนักบุญ ถ้าเช่นนั้น เรื่องชั่วร้ายใดกันที่ท่านทำไป เขาจึงได้กักขังท่านไว้ที่นี่ ผู้อาวุโส โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย!”
มังกรเทพยดามองไปที่เขาด้วยสายตาเย็นเยียบ จากนั้นก็ยิ้มกริ่ม เผยให้เห็นเขี้ยวมากมายอันคมราวมีดโกน “เด็กฉลาดอะไรอย่างนี้ แล้วทำไมเจ้าถึงอยากรนหาที่ตาย เจ้ามีไหวพริบขนาดนี้ ทำไมไม่รู้ว่าเจ้าควรจะแกล้งทำเป็นตาบอด บางครั้งเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกสักหน่อยหากว่าเจ้าไม่พูดความจริงและแสร้งทำเป็นโง่เขลา”
เจียงเหมี่ยวตัวสั่นเทิ้มและเงยศีรษะ “ถ้าเช่นนั้น ผู้อาวุโสเรียกข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์ใด”
ร่างของมังกรเทพยดาบิดไปมา และคอของเขาก็โก่งในความโค้งอันแปลกประหลาด โซ่ก็ถูกเขาดึงจนตึงเปรี๊ยะ แต่เขามองเข้าไปในดวงตาของเจียงเหมี่ยว หนวดยาวๆ ของเขาเกือบจะแตะโดนฉินมู่กับเจียงเหมี่ยว แต่ด้วยการพันธาการของโซ่ พวกมันก็แตะมาไม่ถึง
ตอนที่ฉินมู่พาเจียงเหมี่ยวเดินอ้อมรอบๆ มังกรเทพยดา เขาก็ได้คิดคำนวณความยาวของโซ่ และการคิดคำนวณของเขาก็อัศจรรย์อย่างเหลือแสน พวกเขาอยู่พ้นระยะโจมตีของสิ่งมีชีวิตมหึมานี่พอดี
ลมหายใจออกมาจากปากของมังกรเทพยดา เป่าใบหน้าของพวกเขาทั้งสองให้ย่นลู่ไปข้างหลังขณะที่เขาเปล่งวาจา “แน่นอนว่าข้าก็ต้องเรียกเจ้ามาช่วยเหลือข้าออกไปน่ะสิ บุตรแห่งราชามังกรแม่น้ำหย่ง…”
เจียงเหมี่ยวตกตะลึง “ท่านรู้จักข้า?”
“แน่อยู่แล้ว ข้ารู้จักเจ้า”
มังกรเทพยดายืดเหยียดร่างกายของเขา พยายามจะออกไปจากการขดตัวอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของเขา แต่ทว่าด้วยโซ่ที่ร้อยฝังเข้าไปในร่างกาย เขาก็ไม่อาจยืดตัวออกมาได้ แต่กระนั้นเขาก็ทำให้ราชวังสั่นไหวไปหมด
“มาคิดๆ ดูแล้ว เจ้าก็เป็นหลานลุงของข้า เมื่อเจ้าเพิ่งถือกำเนิด ข้าถึงกับได้อุ้มเจ้า และเจ้าก็ฉี่รดข้าไปทั้งตัว ข้าถึงกับดีดนกเขาน้อยของเจ้าหนึ่งที”
เจียงเหมี่ยวหน้าแดงฉาน และหันกลับไปมองฉินมู่ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “จ้าวลัทธิ อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ…” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่ว
ฉินมู่ยิ้มให้แก่เขา “ทำไมล่ะ ข้าเองก็ถูกท่านปู่บอดและท่านปู่เป๋ดีดนกเขาน้อยตอนที่ข้ายังเล็ก นี่คือการแสดงความรักใคร่จากผู้เฒ่า ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่เจ้าจะปลุกสติปัญญาขึ้นมา เจ้าก็เลียหน้าของข้าตอนที่ข้าหลับ จนใบหน้าข้าโชกน้ำลายไปหมด”
สีหน้าของเจียงเหมี่ยวแดงฉานราวกับเสื้อที่เพิ่งย้อมสี เขาพึมพำ “พวกเราไม่พูดกันเรื่องนี้ได้หรือไม่”
“ก็ได้ แต่ตอนที่เจ้าพบข้าเป็นหนแรก เจ้าก็ถึงกับกระโจนเข้ามาหาข้าและถูไถใบหน้าข้า ก่อนจะไปแขวนตัวห้อยอยู่ที่หูพลางร้องมาฮาๆ…”
เจียงเหมี่ยวแทบจะแทรกแผ่นดินหายไปด้วยความอับอายเสียยิ่งกว่าอะไร ด้วยน้ำเสียงอันอับอายขายหน้า เขากล่าว “จ้าวลัทธิ พวกเราไม่พาดพิงเรื่องนั้นอีกเลยได้ไหม”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “หลังจากที่เจ้าโด่งดังมีชื่อเสียงในอนาคต เป็นมังกรเทพยดาแห่งยุคสมัย ข้าก็จะต้องบอกเล่าบุตรและทายาทของเจ้าถึงเรื่องนี้! ข้ายังคิดๆ อยู่ ศิษย์น้องฉินอวี้ยังคงรอการกลับไปของเจ้า หลังจากที่พวกเรากลับไป เจ้าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร เจ้าจะไปกอดเกาะเนื้อตัวของเขาเหมือนเดิมไหม”
เจียงเหมี่ยวตกตะลึง
มังกรเทพยดาพลันเดือดดาลและถามด้วยเสียงอันเย็นเยียบ “พวกเจ้าทั้งสองคุยกันจบหรือยัง”
ฉินมู่ถอยออกไปก้าวหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงของเจ้าโกรธแล้วแน่ะ ดังนั้นอย่าพูดสัพเพเหระเลย และเน้นความสนใจที่เรื่องสำคัญตรงหน้าดีกว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเจ้า ดังนั้นข้าจะเพียงแค่ยืนฟังข้างๆ”
หน้าอกของมังกรเทพยดาพะเยิบขึ้นพะเยิบลง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็สะกดโทสะและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจียงเหมี่ยว ไอ้เด็กต่ำช้าที่อยู่กับเจ้าเป็นศิษย์น้องของคนชั่วร้าย เขาไม่ใช่ตัวดีอันใด และเจ้าก็จะต้องอยู่ให้ห่างไกลจากเขา เจ้าเป็นหลานของข้า และข้าก็เป็นลุงของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงควรช่วยข้าให้เป็นอิสระ”
เจียงเหมี่ยวลังเล เขามองไปที่มังกรเทพยดา จากนั้นก็หันกลับไปมองฉินมู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เจ้าได้ยินเสียงเพรียกขานของข้า ดังนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าสายเลือดของพวกเราใกล้ชิดกัน เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรอกหรือ ยกมือของเจ้าขึ้นมาสิ เมื่อฝ่ามือของพวกเราสัมผัสกัน เจ้าก็จะได้รู้ว่าพวกเราชิดใกล้กันเพียงใด” มังกรเทพยดากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจียงเหมี่ยวยกฝ่ามือ และมังกรเทพยดาก็ยกกรงเล็บมหึมาของเขาขึ้นด้วยวี่แววของความตื่นเต้นในดวงตา ในพริบตาก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองจะแตะกัน อักษรรูนประหลาดที่ฉินมู่เขียนทิ้งไว้บนฝ่ามือของเจียงเหมี่ยวพลันสาดแสงอันเจิดจ้า
มันพลันกระตุ้นการทำงานของรอยประทับมารที่ซ่อนอยู่บนโซ่ และพวกมันก็เปล่งแสงออกมาแสบตา ไฟมารเดือดพล่านและชอนไชเข้าไปในตัวมังกรเทพยดา ทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงจากความรู้สึกแผดเผา ร่างของเขาบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด และเขาร้องคำรามออกมาไม่หยุด สั่นสะเทือนทั้งโถงวัง
เจียงเหมี่ยวรีบชักฝ่ามือกลับและมองไปยังฉินมู่
เด็กหนุ่มแย้มยิ้มและเดินเข้ามา เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจียงเหมี่ยว แม่ของเจ้าคือราชามังกรแม่น้ำหย่ง และนางสิ้นชีพเพื่อปกป้องเจ้า ในทะเลบูรพาแห่งแดนโบราณวินาศมีราชามังกรมากมายนับไม่ถ้วนอันถูกสักการะบูชาในวิหารราชามังกร นี่เกิดขึ้นเพราะว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นและถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ทำตนเองให้กลายเป็นหิน”
“เมื่อสองหมื่นปีก่อน เมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถึงจุดจบ และภัยพิบัติก็โถมซัดฟ้าและดิน เทพและมารแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ถ้าไม่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล ก็จะเลือกกลายเป็นหินด้วยตนเอง แล้วทำไมลุงของเจ้าถึงไม่เลือกที่จะกลายเป็นหินหรือไปยังหมู่บ้านไร้กังวลล่ะ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ”
เจียงเหมี่ยวตกตะลึง
ฉินมู่กล่าวต่อ “ตรงนั้น มหานาวาปารมิตาที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวลถูกบุกโจมตี มันถูกดักซุ่มและทำลายด้วยน้ำมือของศัตรู ก่อนที่จะถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่ทว่า ยังคงมีทายาทของเผ่าเทพวิศวกรรมอยู่ในมหานาวาปารมิตา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทลายฝ่าเวทปิดผนึกและหนีออกมา ฝ่ายศัตรูก็จะต้องอาศัยยอดยุทธฝีมือแกร่งให้คอยระวังป้องกันอยู่ และผู้คอยป้องกันนั้น มิใช่ลุงเจ้าหรอกหรือ”
เจียงเหมี่ยวมองไปที่มังกรเทพยดา สีหน้าของสิ่งมีชีวิตมหึมานี้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะเชื่อคนนอกมากกว่าลุงของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและมองขึ้นไปยังมังกรเทพยดา เขาพลันกล่าว “เจียงเหมี่ยว เมื่อนานมาแล้วข้าเคยได้เห็นเจ้าในวังราชามังกรแม่น้ำหย่ง ดวงวิญญาณของแม่เจ้าลอยล่องไปมารอบๆ ตัวเจ้าและขับกล่อมเพลงอันเศร้าสร้อยในภาษามังกร เจ้าถูกแช่แข็งเอาไว้ในน้ำแข็งลึกลับ และมันก็มีกระบี่หักปักอยู่บนหน้าอกของเจ้า กระบี่หักนั้นแทงทะลุหัวใจของเจ้า และแม่ของเจ้าก็ใช้ชีวิตของนางเพื่อปกป้องเจ้า รักษาเจ้าให้ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความคาดหวังว่าจะมีใครสักคนฟื้นคืนชีพให้เจ้าได้ในสักวันหนึ่ง”
เจียงเหมี่ยวปาดน้ำตา หลังจากที่เขาฟื้นคืนชีพมา เขาก็ได้ไปยังวังมังกรแม่น้ำหย่งกับฉินอวี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และได้เห็นโครงกระดูกของแม่ของเขา
“แม่ของเจ้า ราชามังกรแม่น้ำหย่ง แข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ แล้วนางตายไปได้อย่างไร” สีหน้าของฉินมู่นิ่งสงบขณะที่เขากล่าวต่อ “ทำไมเจ้าถึงไม่ตายแม้ว่าจะมีกระบี่ปักคาหน้าอก หรือว่าบุคคลที่ทำร้ายเจ้าจงใจไม่สังหารเจ้าด้วยเจตนาอื่น หรือว่าแรงจูงใจของคนผู้นั้นคือใช้อาการบาดเจ็บของเจ้าเพื่อทำให้แม่ของเจ้ารีดเร้นพลังในลูกแก้วมังกรจนเหือดแห้งมายืดชีวิตของเจ้า ผลที่ตามมา วรยุทธของนางก็ต่ำลงอย่างรุนแรง ทำให้สังหารนางได้ง่ายดายขึ้น ถ้าเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคนใกล้ชิดสนิทมากหรอกหรือที่จะเข้าใกล้นางได้ขณะที่นางกำลังปกป้องเจ้าอยู่”
เจียงเหมี่ยวร่างสั่นเทิ้ม
“ไฉนลุงของเจ้าผู้นี้ซึ่งมีกำลังฝีมืออันเลิศล้ำเหนือธรรมดาไม่มาช่วยเจ้าเลยแม้ว่าเจ้าจะถูกแช่แข็งอยู่สองหมื่นปี” ฉินมู่ถาม “กระบี่หักที่แทงทะลุหัวใจของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ข้าได้เก็บมันเอาไว้ตลอด” เจียงเหมี่ยวอ้าปากและพ่นกระบี่ออกมา
สายตาของฉินมู่จับจ้องไปยังกระบี่หักที่แทงทะลุหัวใจของเจียงเหมี่ยว โลหิตมังกรยังคงเปื้อนฝังลึกอยู่ในนั้น
“เจ้าอยากรู้จักเจ้าของกระบี่เล่มนี้ไหมล่ะ” เขาถาม
ใบหน้าของเจียงเหมี่ยวเต็มไปด้วยความกลัว และเขาส่ายหัว “จ้าวลัทธิ หัวใจของข้าสับสนเป็นอย่างยิ่ง…”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปยังมังกรเทพยดา “หากว่านี่คือกระบี่ของเจ้า เจ้าสามารถขับเคลื่อนมันให้สังหารพวกเราได้อย่างง่ายดาย และแม้แต่ใช้มันฟันเส้นโซ่พวกนี้ก็ยังได้ เจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของเจียงเหมี่ยวและเอาแต่เพรียกขานเขามาก็เพราะกระบี่เล่มนี้ด้วยใช่หรือไม่ ตอนนี้กระบี่ก็อยู่ที่นี่แล้ว ผู้อาวุโส เชิญ”
มังกรเทพยดาหรี่ตาลงและจ้องไปที่เขาอย่างไม่ลดละ
ฉินมู่แย้มยิ้ม
ทันใดนั้น แสงก็ไหลผ่านกระบี่หักเล่มนี้ และมันก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศด้วยเสียงคำราม!
ในเวลาเดียวกัน แสงมารบนโซ่ก็สาดส่องอย่างรุนแรง และไฟมารก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของมังกรเทพยดา แผดเผาเขาจนดิ้นพราดๆ ไม่หยุด พลังวัตรที่เขาเพิ่มรวบรวมขึ้นมาแตกกระจายไปอีกครั้ง!
เคร้ง
กระบี่หักร่วงลงบนพื้น
ฉินมู่เดินเข้าไปหนิบกระบี่หักด้วยเสียงถอนหายใจ “เจียงเหมี่ยว แม่ของเจ้าตายโดยไร้ความเป็นธรรม”
เจียงเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังมังกรเทพยดาเบื้องหน้าเขา สิ่งมีชีวิตนั้นหัวเราะด้วยเสียงอันกึกก้องและกล่าวอย่างดุดัน “มีแต่ผู้เปี่ยมความสามารถที่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ปัจจุบัน! แม่ของเจ้าและข้ามาจากรังมังกรเดียวกัน แปลงร่างจากแก่นแกนของสายแร่มังกร พวกเราคือมังกรแฝด! แล้วทำไมนางถึงได้เป็นราชามังกรแม่น้ำหย่ง ส่วนข้าเป็นแค่ราชามังกรบ่อน้ำ สภาสวรรค์ได้สัญญาจะให้ผลประโยชน์แก่ข้ามากกว่า ดังนั้นข้าจึงต้องคว้าโอกาสเอาไว้! หัวของน้องสาวของข้าคือหลักฐานแสดงความจงรักภักดี! แต่แล้วอย่างไรล่ะ ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าทำอะไรข้าได้”
เขามองไปยังฉินมู่อย่างเหี้ยมโหดและยิ้มหยัน “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้านั้นมีกำลังฝีมือเหนือกว่าเจ้าเป็นหมื่นๆ เท่า แต่เขาก็ยังไม่อาจสังหารข้าได้มิใช่หรือ เขาใช้ทุกอย่างที่เขารู้ และก็ทำได้เพียงแค่กักขังข้าเอาไว้ที่นี่!”
ข้างหลังฉินมู่ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏขึ้นมา และเปิดอ้าอย่างกว้าง “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ข้าสังหารไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าอาจจะสังหารเจ้าไม่ได้ แต่สำหรับข้า มันไม่ใช่ปัญหา” เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์
……………..