ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 568 สังหารมังกรเทพยดาด้วยประตูสวรรค์
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 568 สังหารมังกรเทพยดาด้วยประตูสวรรค์
มังกรเทพยดามองไปที่ประตูน้อมสวรรค์ด้วยสีหน้าสงสัยระแวง
เจียงเหมี่ยวถามด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิ ท่านจะกำจัดเขาได้จริงๆ หรือ”
“ข้าไม่รู้” ฉินมู่ตอบเสียงแผ่ว
เจียงเหมี่ยวร้องออกมา ดวงตาเบิกกว้าง “ไม่รู้หรือ”
“ข้ายังไม่ได้ทดลองเลยว่าประตูนี้สามารถสังหารเทพเจ้าได้หรือไม่ ข้าเพียงแต่เคยใช้สังหารยอดฝีมือเผ่ามารขั้นชาวสวรรค์มาก่อน ตอนนี้ข้าแค่ข่มขวัญเขาเฉยๆ ในเมื่อเขาตกต่ำย่ำแย่ในสภาพนี้แล้ว แต่ก็ยังอยากจะวางท่าโอหังสูงส่ง เช่นนั้นเราก็ต้องทำตัวโอหังสูงส่งให้มากกว่าเขาเข้าไว้…”
ฉินมู่อธิบายจบและกล่าวขออภัยแก่มังกรเทพยดา “ผู้อาวุโส หากข้าสังหารเจ้าไม่ได้ ก็โปรดอย่าได้หัวเราะเยาะข้า”
เขากำลังจะขับเคลื่อนประตูน้อมสวรรค์ แต่ทันใดนั้นดูเหมือนว่ามังกรเทพยดาจะจดจำบางอย่างได้ และสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “ช้าก่อน!”
ฉินมู่ชะงัก และประตูน้อมสวรรค์ก็หยุดทันที เขากล่าวอย่างใจเย็น “ผู้อาวุโส เชิญพูด”
มังกรเทพยดาจ้องไปที่ประตูของเขาด้วยสายตาที่มีวี่แววของความหวาดกลัว เขาร้องเสียงแหลม “ข้าเคยเห็นประตูนี้มาก่อน! เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับราชาสวรรค์หมิงตัว เขาก็มีประตูเช่นนี้!”
“ราชาสวรรค์หมิงตัวก็มีประตูน้อมสวรรค์?” ฉินมู่ถามด้วยความสงสัย “ข้าจำได้ว่าเห็นบุคคลผู้หนึ่งเปิดประตูน้อมสวรรค์ในหุบเขาภูตผี หรือว่าเขาจะเป็นราชาสวรรค์หมิงตัวที่เจ้าพูดถึง”
“เจ้าคือผู้สืบสายตระกูลของราชาสวรรค์หมิงตัว? มิน่าล่ะ มิน่าล่ะว่าทำไมเจ้าก็สามารถเปิดประตูนี้ได้…” มังกรเทพยดากล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แซ่ของข้าคือฉิน ฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวล ใครคือราชาสวรรค์หมิงตัว เขาก็แซ่ฉินเช่นกันหรือ”
มังกรเทพยดาดูราวกับว่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูด จมจ่อมลงไปในความทรงจำอันลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัว เขาพึมพำกับตนเอง “ราชาสวรรค์หมิงตัวควบคุมประตูที่เชื่อมต่อไปยังแดนใต้พิภพ ศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนตกตายในน้ำมือของเขา และจักรพรรดิก่อตั้งก็แต่งตั้งให้เขาเป็นราชาสวรรค์ สั่งให้เขาบุกเบิกแดนใต้พิภพ”
“จักรพรรดิก่อตั้งมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ และหมายที่จะเข้ายึดครองแดนใต้พิภพด้วยเช่นกัน เขาต้องการจะควบคุมแง่อัศจรรย์ของความเป็นและความตาย แต่เขาได้ทำให้ภูติบดีพิโรธ ภูติบดีไม่ต้องการจะยอมสยบ ดังนั้นจักรพรรดิก่อตั้งจึงบัญชาให้เผ่าเทพวิศวกรรมหลอมสร้างดาบเทวะขึ้นมาเล่มหนึ่ง ราชาสวรรค์หมิงตัวใช้มันเฉือนตัดแดนใต้พิภพออกมาชิ้นใหญ่ และจักรพรรดิก่อตั้งก็บัญชาให้ผู้คนไปสร้างเป็นแดนยมโลกในดินแดนแห่งนั้น…”
ฉินมู่ตกตะลึง “ราชาสวรรค์หมิงตัวเฉือนตัดชิ้นส่วนของแดนใต้พิภพและเปลี่ยนให้มันเป็นยมโลกงั้นหรือ เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?”
“ด้วยการขโมยดินแดนบางส่วนของแดนใต้พิภพ ราชาสวรรค์หมิงตัวได้ทำให้ภูติบดีพิโรธหนัก แต่ทว่าหมิงตัวนั้นมีไหวพริบ เขาจึงทำให้ตนเองกลายเป็นหินและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็หลบหนีเข้าไปในยมโลก ในครั้งกระโน้น เทพและมารที่ตายภายใต้ประตูของเขามีจำนวนนับไม่ถ้วน อันเนื่องมาจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชาสวรรค์ที่จัดการดูแลเรื่องดวงวิญญาณ… ประตูของเจ้าบานนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนกับของเขา!”
ฉินมู่ตาเป็นประกายและรีบถาม “ผู้อาวุโส ข้าเห็นรูปสลักหินในหุบเขาภูตผีพร้อมกับประตูที่เชื่อมต่อไปยังแดนใต้พิภพข้างหลังมัน แต่ทว่า มันได้ปิดผนึกเทพและมารไว้ด้วยผนึกรังผึ้ง หรือว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นราชาสวรรค์หมิงตัว”
มังกรเทพยดาพึมพำด้วยความเหม่อลอย “ประตูของเจ้าไม่มีทางเหมือนกับเขา เจ้าไม่มีกำลังฝีมือที่จะทำร้ายข้า เจ้ามันก็แค่เด็กบ้านนอกที่อ่อนแอพอๆ กับแม่ไก่มังกร…”
ฉินมู่สีหน้าแดงฉานและเขาก็กล่าว “ผู้อาวุโส เจ้ากำลังดูหมิ่นมนุษย์ทุกคนอยู่นะแบบนี้! ข้ามั่นใจว่าข้าเคยเห็นราชาสวรรค์หมิงตัวมาก่อน และจากการคาดคะเนของข้า เขาน่าจะเป็นเพียงกายาจ้าวแดนดินปลอม เขาไม่ได้ฝึกปรือจนถึงมาตรฐานของข้าเลยด้วยซ้ำ”
มังกรเทพยดากลับมาได้สติและยิ้มหยัน “เจ้าเรียกว่าประตูน้อมสวรรค์งั้นหรือ เหลวไหลจริงๆ! ประตูนี้เป็นที่รู้จักกันดีในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งว่าคือประตูปริศนาประหารเทพ ก็ในเมื่อแม้แต่เทพเจ้าจากสวรรค์เก้าเบื้องบน และมารเทวะจากน้ำพุเหลืองเก้าชั้นเบื้องล่างก็ไม่อาจหลบหนีมันไปได้”
“เมื่อประตูเปิดและปิดลง เทพและมารก็จะถูกพรากวิญญาณไปยังแดนใต้พิภพ จึงให้นามมันว่าประหารเทพ! เจ้าถึงกับไม่รู้นี่ แสดงว่าเจ้าไม่ใช่สายมรดกอันเที่ยงแท้ดั้งเดิม! มาสังหารข้าสิ มาให้ข้าดูสักหน่อยว่าเจ้าจะมีน้ำยาสักแค่ไหนเชียว!”
ฉินมู่หมุนตัวไป และปราณมารจากแดนใต้พิภพก็ไหลรั่วออกมาจากประตูน้อมสวรรค์ มันเข้มข้นเป็นอย่างยิ่งและแผ่สยายไปทั่วทั้งโถงวัง
ประตูเปิดขึ้นและกวาดไปยังมังกรเทพยดา
“ช้าก่อน!” เหงื่อเย็นเยียบร่วงลงจากหน้าผากของมังกรเทพยดาระหว่างที่เขาจ้องไปยังประตูที่กำลังจะมาถึงตัวเขา
ฉินมู่หยุด ดูใจเย็น “ผู้อาวุโสต้องการจะกล่าวอะไรหรือ”
“วรยุทธของเจ้าอยู่ในขั้นไหน” มังกรเทพยดาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าระหว่างที่ตาก็จ้องเขม็งไปยังประตูน้อมสวรรค์
“ผู้เยาว์ได้ฝึกปรือถึงขั้นหกทิศ แต่ก็ได้ปลุกพลังสมบัติเทวะเจ็ดดาวด้วยเช่นกัน”
มังกรเทพยดาตกตะลึง “วรยุทธขั้นหกทิศกับสมบัติเทวะเจ็ดดาวปลุกพลัง? นี่มันเหตุผลอะไรกัน… แต่กระนั้น ต่อให้นับว่าเจ้าอยู่ในขั้นเจ็ดดาว เจ้าก็จะสังหารข้าด้วยของแค่นั้นหรือ ฮ่าๆๆๆ เจ้านี่มันเป็นแม่ไก่มังกรโง่เง่าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่กริ่งเกรงมังกรแท้เลยสักนิด!” เขาผ่อนคลายและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ให้ข้าดูสิ ว่าเจ้าจะสังหารข้าอย่างไร”
ฉินมู่ขับเคลื่อนประตูน้อมสวรรค์ต่อ และปราณมารแดนใต้พิภพก็ทะลักออกมา แต่ว่า ทันใดนั้น มังกรเทพยดาก็ตะโกนออกไปอีกที “ช้าก่อน!”
ความอดทนของฉินมู่หมดสิ้น และเขาอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้า “ผู้อาวุโส หากท่านมีอะไรจะพูด ก็พ่นออกมาให้หมดทีเดียวเถอะ”
มังกรเทพยดายิ้มหยันแก่เขา “ไอ้เด็กต่ำช้าตัวกระจ้อย การที่เจ้าพยายามจะสังหารข้า ข้าก็จะฆ่าล้างโคตรเจ้าทั้งตระกูล ชัดเจนไหม เมล็ดพันธุ์ที่เจ้าเพาะไว้ในวันนี้ ก็จะเป็นผลให้ตระกูลของเจ้าถูกฆ่าล้างโคตรในวันหน้า!”
ฉินมู่ผงกหัวและขับเคลื่อนประตูน้อมสวรรค์ต่อ “ข้าชัดเจนในเรื่องนั้น หากว่าเจ้าไม่ตาย ก็เชิญออกมาและฆ่าล้างตระกูลข้าได้ในทุกเมื่อ”
ประตูน้อมสวรรค์เลื่อนไป และเสียงอันสลับซับซ้อนก็ดังมาจากปากของฉินมู่ เขาร่ายภาษามารแดนใต้พิภพอันยากจะเข้าใจ
มังกรเทพยดารีบกล่าวอย่างร้อนรน “ช้าก่อน! ประตูของเจ้าแตกต่างจากบานที่ข้าเคยเห็น ภาษาอะไรที่เจ้ากำลังพู–”
พึ่บบบ!
ประตูน้อมสวรรค์กลายเป็นสูงตระหง่าน และกวาดซัดผ่านร่างของเขา ข้างในประตูคือความมืดอันดิบดำ และข้างในความมืดนั้น เขาคู่บิดโค้งอันใหญ่มโหฬารและอาบย้อมไปด้วยเพลิงไฟก็เห็นอยู่ลางๆ
ประตูพลันหยุดชะงัก และร่างกายของมังกรเทพยดาก็แข็งทื่อ ทันใดนั้นศีรษะก็ตกลงไปยังพื้น และร่างกายก็ยวบยาบตามลงไป มังกรกลายเป็นปวกเปียกเหมือนกับงูตาย แน่นิ่ง
ฉินมู่สลายประตูน้อมสวรรค์ และความเจ็บปวดสาหัสส่งมาจากใจกลางหว่างคิ้วของเขา โลหิตสีดำหยดหนึ่งไหลลงมา
ฉินมู่รีบกุมหว่างคิ้ว แต่ความเจ็บเสียดแทงยังคงยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ความเจ็บปวดนั้นเกินจะทานทนจนเขาต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นและกอดหัวตนเองเอาไว้!
จากที่ห่างไปไม่กี่ก้าว เจียงเหมี่ยวได้เห็นว่าเมื่อตอนที่ประตูน้อมสวรรค์คร่าวิญญาณของมังกรเทพยดาไป ปากใหญ่มหึมาพลันปรากฏในความมืด กลืนกินเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมของมังกรเทพยดาในกัดเดียว!
เจียงเหมี่ยวยืนตะลึง ปากอันน่าสยองนั้นดูชั่วร้ายอย่างเหลือแสนแม้แต่เขาก็ยังต้องหวาดผวา!
เมื่อเขาได้สติอีกครั้ง และตรวจตราดูมังกรเทพยดา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก ร่างนี้ไม่เหลือลมหายใจอีกต่อไป!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของมันถูกปากยักษ์นั้นกลืนกินเข้าไป แทนที่จะตกลงไปยังแดนใต้พิภพ
“จ้าวลัทธิฉิน ดูเหมือนว่าจะมีภูตผีอยู่ในประตูของท่าน…จ้าวลัทธิฉิน!”
เจียงเหมี่ยวได้ยินเสียงฉินมู่ร้องครวญคราง และก็รีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มจากความเจ็บปวดสาหัส และจากหน้าอกของเขา จี้หยกก็พลันแผ่ลำแสงจางๆ เส้นหนึ่งออกมา ขับไล่ความเจ็บปวดนั้นกลับไป
“ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่จู่ๆ ก็รู้สึกปวดศีรษะ” ฉินมู่มองไปรอบๆ ด้วยความตะลึงและผลักมือของเจียงเหมี่ยวออกไป เขาส่ายหัวและกล่าว “ตอนนี้มันดีขึ้นมาแล้ว นี่น่าจะเป็นผลข้างเคียงของการขับเคลื่อนประตูน้อมสวรรค์ แปลกเสียจริง อาการประหลาดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตอนที่ข้าใช้ประตูในอดีต…”
เจียงเหมี่ยวมองไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังใจกลางหว่างคิ้วของเขา และฉินมู่ก็ปรายตามอง เขาถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเห็นอะไร”
“มันมีรอยประทับโลหิตอยู่ที่ใจกลางหว่างคิ้วของท่าน และดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งอยู่ข้างใน…” เขากล่าวด้วยความตื่นตระหนก
ฉินมู่รีบนำเอากระจกออกมาและตรวจสอบเงาสะท้อนของตน เขาเห็นรอยประทับโลหิตบนหว่างคิ้วเขาจริงๆ มันยาวและแคบ ยาวประมาณหนึ่งองคุลี ทั้งสองด้านของรอยนั้นแหลมเรียว แต่ตรงกลางเส้นจะป่องกว่าเล็กน้อย
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือรอยประทับโลหิตนี้เหมือนจะปูดโปนขึ้นมานิดหน่อย มันดูเหมือนว่าเขาเอาหัวไปชนอะไรเข้าและก็ปูดโนขึ้นมา
เขายื่นมือขึ้นไปและแตะรอยประทับเลือดนั้น มันดูเหมือนจะมีสิ่งกลมๆ บางอย่างอยู่ข้างใน แต่กระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อเขาใช้กำลังบีบมันแรงขึ้นอีกหน่อย
หรือว่าข้าจะล้มหัวโขกพื้นตอนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดสาหัส…สิ่งนี้กำลังกระดุกกระดิก!
ฉินมู่ตะลึงพรึงเพริด นิ้วของเขาสัมผัสได้ว่าสิ่งที่อยู่ใต้รอยประทับโลหิตนี้กำลังเคลื่อนไหว!
หรือว่าข้าถูกมังกรเทพยดาเข้าสิงสู่
เขารีบขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม และมองเข้าไปในตนเอง เขาไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ หลังจากที่ค้นหาอยู่ครึ่งค่อนวัน และแม้กระทั่งเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขามาที่หว่างคิ้ว ก็ไม่อาจพบเจอร่องรอยของรอยประทับโลหิตนั้น
เจียงเหมี่ยวเพ่งพิจารณาดูใจกลางหว่างคิ้วเขาอย่างถี่ถ้วน และพลันยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “จ้าวลัทธิ มองที่นิ้วข้าสิ”
ฉินมู่ทำตามที่เขาบอก และเจียงเหมี่ยวก็ขยับนิ้วของเขาพลางมองไปที่ใจกลางหว่างคิ้ว ทันใดนั้นฉินมู่ก็ตระหนักว่าสิ่งในรอยประทับโลหิตนั้นกำลังเคลื่อนไหวไปตามนิ้ว
เจียงเหมี่ยวทดสอบเสร็จก็ระบายลมหายใจโล่งอก “ข้างใต้รอยประทับโลหิตนี้น่าจะเป็นดวงตา”
“ดวงตา?” ฉินมู่ฉงนฉงาย คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีวิชาแปลกพิสดารที่ทำให้เขาสามารถงอกเงยดวงตาที่สามได้ แต่เขาไม่ได้เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์หรือเทพครองดาวอังคาร แล้วดวงตาที่สามนี้มาจากหนใด
“จ้าวลัทธิฉิน เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งมองเห็นภูตผีในประตูของท่าน!” เจียงเหมี่ยวกล่าวหลังจากที่ตั้งสติตนเอง เขาจดจำภาพที่เห็นและตัวสั่นเทิ้มโดยที่ไม่รู้สึกหนาว “เมื่อลุงของข้าถูกประตูน้อมสวรรค์ของท่านกลืนเข้าไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกกระชากออกและดึงดูดไปยังเทพเจ้าที่มีเขาในนั้น และตอนนั้นเอง ปากมหึมาก็พลันปรากฏ และกัดกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของลุงข้าเข้าไป!”
“ปากมหึมาปรากฏและกินลุงของเจ้า?” ฉินมู่อึ้งไปและลูบหน้าผากของตนไปมา “ในแดนใต้พิภพมีสัตว์ประหลาดอันดุร้ายอาฆาตมากมายอันก่อตัวขึ้นมาจากดวงวิญญาณแตกหักและสันดานมาร พวกมันทั้งพยาบาทและน่าสะพรึงกลัว หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในตัวตนพวกนั้น”
เจียงเหมี่ยวส่ายหัว “ข้าไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ข้าเห็นเพียงแต่ปากใหญ่มหึมากลืนลุงของข้า มันยิ้มอย่างโหดร้ายหนึ่งทีก่อนที่จะหายไป และประตูของท่านก็ปิด”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจ “อำนาจควบคุมแดนใต้พิภพของภูติบดีอ่อนแอลงทุกวันๆ เป็นผลให้ภูตผีปีศาจทั้งหลายวิ่งกันเพ่นพ่าน…พวกเรามาที่นี่เพื่อเสาะหามังกรแท้ให้เขาอธิบายนิพนธ์ในรังมังกรแท้ แต่บัดนี้ เบาะแสก็หายไปอีกแล้ว…”
ทันใดนั้น เขาก็เห็นโซ่ตกลงมาจากมังกรเทพยดา และนิพนธ์มารที่อยู่บนโซ่เหล่านั้นก็ไม่เลื่อนไหลอีกต่อไป นี่ทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ
แย่แล้ว! พยุหะภัยพิบัติทรายดาวสิบลี้ก็จะหยุดทำงานไปด้วย! ฉินมู่วิ่งตะบึงออกไป และเห็นทรายเหลืองพวยพุ่งขึ้นฟากฟ้าเหนือช่องผาราวกับมังกรทะยานนภา มันพุ่งกลับเข้าไปในกระถางใหญ่
ในตอนนั้นเอง ที่สองข้างโตรกผา อักษรรูนบนผนังก็แผดเผาทำลายตนเอง แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน
ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยทรายเหลือง ซิงอ้านร่างโชกเลือด และลากตัวเองเข้ามาด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง สีหน้าของเขามืดคล้ำเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่รีบวิ่งเข้าไป และกอดกระถางยักษ์ด้วยเสียงครางหนัก แต่ทว่าเขายกมันไม่ขึ้น ทรายดาวพวกนี้มันหนักอึ้งจนเกินที่เขาจะแบกไหว
เขาขับเคลื่อนปราณชีวิตเข้าไปและหมายที่จะช่วงใช้ทรายดาวในกระถาง และทรายดาวไม่กี่เม็ดก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างอืดอาด
ใบหน้าของฉินมู่พลันมืดดำเสียยิ่งกว่าซิงอ้าน
…………….