ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 578 กวางหนุ่มงัดเขา กวางสาวกะพริบตา
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 578 กวางหนุ่มงัดเขา กวางสาวกะพริบตา
ฉินมู่นำเนตรหยกตะวันและเนตรหยกจันทราออกมาอย่างเร่งร้อนและจัดตั้งไว้ข้างหลังตน ในเวลาเดียวกันนั้น ธงก็ปลิวไสวรอบๆ กายเขา กักขังทุกชีวิตที่อยู่ในระยะสิบก้าวให้หลุดเข้าไปในพยุหะค่ายกล
พวกมันคือธงเคลื่อนย้ายระยะไกล หากว่าเขาใช้ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลด้วยตนเองจะต้องใช้เวลา ดังนั้นธงเคลื่อนย้ายระยะไกลจึงสะดวกกว่ามาก ในเมื่อเขาสามารถกระตุ้นการทำงานของพวกมันได้ในพริบตา และเคลื่อนย้ายไปยังที่ไกลๆ
เขาสร้างธงพวกนี้ขึ้นมาเพื่อหลบหนีจากการโจมตีใดๆ ของเทพและมาร ให้มีโอกาสน้อยลงที่จะตกอยู่ในสถานการณ์อันคล้ายคลึงกับตอนที่ถูกฟู่ยื่อลัวจับตัวไป
แม้ว่าธงเคลื่อนย้ายระยะไกลจะเร็วกว่าทักษะเทวะเล็กน้อย แต่เวลาเพียงน้อยนิดก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้!
ด้วยความประหลาดใจ ธงเคลื่อนย้ายไกลเพิ่งจะหมุนวนและอักษรรูนก็จุดแสง พวกมันพลันระเบิดเป็นชิ้นๆ เศษผ้าฉีกขาดปลิวว่อนในอากาศราวกับผีเสื้อ มีก็แต่เสาธงที่ยังปักอยู่กับพื้น!
ความเร็วของเทพเจ้านั้นเร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก!
ฉินมู่ไม่มัวเสียเวลา เขากระตุ้นการทำงานของเนตรหยกทั้งสองทันที ปราณบรมหยินแปรเปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ ขณะที่ปราณบรมหยางแปรเปลี่ยนเป็นแสงอาทิตย์ และพวกมันก็เข้มข้นอย่างถึงที่สุด สองเนตรหยกอยู่ในมือของเขา และเขาพร้อมที่จะต้านรับศัตรูอยู่ทุกเมื่อ
ลำแสงของเนตรหยกเข้มข้นหนา และพวกมันก็จะกวาดซัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา
เมื่อแก้วตาของเนตรหยกทั้งสองขยายออกไป พวกมันก็ไม่มีพลังอำนาจอะไรมากนัก นอกเสียจากใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสง แต่ทว่าตราบใดที่ฝ่ามือของฉินมู่ควบคุมระบบเส้นประสาทของพวกมัน เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงวงจรพยุหะข้างในนั้น และควบรวมแสงของดาวทั้งสองดวงให้กลายเป็นเส้น!
แสงทั้งสองเส้นนี้มีพลานุภาพที่สามารถทำร้ายเทพเจ้าได้!
เขาได้ทดสอบมาเมื่อนานมาแล้วกับร่างกายของเทพครองแดนเลี้ยงมังกร
ฉินมู่ตรวจตราดูรอบๆ พลางกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “หรือว่าเจ้าจะเป็นเทพนารีเทียนเฟิงโก้ว”
“ข้านี่แหละ”
หญิงสาวในชุดขาวราวหิมะค่อยๆ เดินเข้ามาในรัศมีจันทร์ของเนตรหยกจันทรา และนางก็เป็นสตรีที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง เส้นผมของนางเกล้าไว้เป็นมวยก่อนที่จะกองทับกันไว้บนยอดหัวของนางคล้ายเจดีย์ เอียงไปข้างหนึ่งเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวเสื้อผ้าของนางชวนลุ่มหลง และเสื้อชาววังบนร่างกายท่อนบนของนางค่อนข้างหลวม แต่เอวนั้นคอดกิ่วเป็นอย่างยิ่ง คอดกิ่วขนาดที่ว่าใช้แขนเดียวก็กอดได้รอบ
นางมีท่วงทีกิริยาอันแตกต่างจากรูปโฉม ดวงตาของนางเย็นยะเยือก ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกแล้วที่ทำให้นางหวั่นไหวได้
หางตาของฉินมู่กระตุก หากว่าสตรีเช่นนี้ปักใจในเรื่องใด มันก็ยากที่จะแปรเปลี่ยน
กวางโรเซ่อซ่าข้างๆ เขาไม่เกรงกลัวเทียนเฟิงโก้วผู้ซึ่งกำลังเดินเข้ามา พวกมันยังคงกัดทึ้งชายเสื้อของฉินมู่และเลียพวกมันด้วยลิ้น และถึงกับยังมีกวางโรเซ่อซ่าอีกจำนวนหนึ่งก็โงหัวขึ้นมามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ขณะที่กวางโรตัวผู้ร้องแอ๊ะๆ ใส่เขา
ฉินมู่มีท่าทีราวกับว่ากำลังเผชิญศัตรูอันร้ายกาจ และจ้องไปยังเทียนเฟิงโก้วด้วยความกระวนกระวาย ไม่กล้าจะพลาดการเคลื่อนไหวของนางเลยสักนิด
แต่ทว่า ฝูงกวางโรดึงเขาแรงเกินไป จนเขาไม่มีทางเลือกต้องแย่งชายเสื้อของเขามาจากปากพวกมัน
“โหยว! โหยว–”
กวางโรตัวผู้จำนวนหนึ่งโกรธขึ้น และพวกมันก็ก้มหัวงัดชนใส่เขา หนึ่งในพวกนั้นก้าวถอยหลัง แล้วก็พุ่งขวิดเขาด้วยคึกอีกครั้ง และตัวอื่นๆ ก็ทำตาม
ฉินมู่ยินไม่ไหวติงดุจขุนเขาและปล่อยให้กวางโรขวิดเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก มิน่าล่ะผู้สูงศักดิ์ถึงอยากที่จะต่อขากวางให้ตนเอง กวางโรพวกนี้เก่งเหลือเกินเรื่องทรมานผู้คน!
เทียนเฟิงโก้วปรายตามองฝูงกวางโรที่โจมตีฉินมู่ และสายตาของนางก็ตกลงไปยังเนตรหยกทั้งสอง “จ้าวลัทธิฉินมิได้ติดค้างคำอธิบายต่อข้าที่สังหารศิษย์ของข้าหรอกหรือ ทั้งยังสังหารพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว ข้ามีก็แต่ศิษย์เหล่านี้อันข้าได้สั่งสอนพวกเขาอย่างใส่จิตใส่ใจ แต่กระนั้นพวกเขาก็ถูกจ้าวลัทธิฉินเข่นฆ่าไปทั้งหมดในรวดเดียว แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ของครูบาสวรรค์ เจ้าก็ยังต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ดูเหมือนว่าเทพนารีเทียนเฟิงโก้วจะไม่รู้เลยสักนิดว่าศิษย์ของนางได้ทำอะไรลงไป”
ความกระวนกระวายบนใบหน้าของฉินมู่จางหาย และเขาระบายลมหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ ด้วยสายตาอันจริงใจ เขากล่าว “เฟิงโก้ว ศิษย์ของเจ้ากวนเหอและคนอื่นๆ ได้สวามิภักดิ์ต่อเผ่ามาร และพยายามที่จะทำร้ายข้า ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะหักใจอำมหิตมิเช่นนั้นชีวิตของข้าก็คงตกอยู่ในอันตราย”
เทียนเฟิงโก้วร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉินกล่าวว่าศิษย์ทั้งหลายของข้าสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามาร เช่นนั้นเจ้าต้องมีหลักฐานแน่ๆ ใช่ไหม”
ฉินมู่ค่อยๆ ถอยไปพลางถือเนตรหยกเอาไว้ “เทพนารีเฟิงโก้ว โปรดตามข้ามา”
เขาก้าวถอยหลังไปทีละก้าว และเนตรหยกทั้งสองถือไว้มั่นในมือของเขาเพื่อให้เขาตอบโต้ได้ทุกเมื่อ กิเลนมังกรก็เดินถอยหลังพลางแบกจิ้งจอกน้อยไปด้วย จากข้างหลังเขา กวางโรเซ่อซ่าทั้งเก้าตัวก็ยังขวิดเขาอย่างงี่เง่า พวกมันค่อนข้างดื้อรั้น
ฉินมู่ค่อยๆ ถอยกลับเข้าไปในหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เฟิงโก้ว โปรดชมดู”
เทียนเฟิงโก้วมองไปที่ศพของยอดฝีมือเผ่ามารขั้นชาวสวรรค์ และม่านตาของของนางก็หรี่แคบลงเล็กน้อย
“ร่องรอยของทักษะเทวะพวกนี้เป็นของศิษย์เฟิงโก้วใช่หรือไม่ นี่ไม่ใช่ทักษะเทวะของคนเพียงคนเดียว แต่เป็นห้า กวนเหอได้บอกกับข้าว่านางสู้กับยอดฝีมือมารอย่างดุเดือดเลือดพล่าน และสังหารเขาได้อย่างเฉียดฉิวหลังจากทุ่มเทไปอย่างหนัก แล้วไฉนจึงมีทักษะเทวะของห้าคนอยู่ที่นี่”
“นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ากวนเหอต้องการอ้างความดีความชอบ” เทียนเฟิงโก้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“เทพนารีมองไม่เห็นบาดแผลสังหารบนศพนี้หรอกหรือ เจ้าก็เป็นยอดฝีมือเชิงกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าน่าจะมองเห็นมัน การที่ใครถูกแทงเข้าไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างฉับไวขนาดนี้ ทั้งสองคนจะต้องอยู่ในระยะประชิดตัวอย่างที่สุด” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“จากสีหน้าของศพ เขาย่อมไม่คาดคิดเลยสักนิดว่ากวนเหอจะลงมือกับเขา ดังนั้นเขาจึงตะลึงพรึงเพริด กวนเหออยู่ใกล้ชิด และเขาก็ไม่ได้ระวังป้องกัน ปล่อยให้จิตวิญญาณดั้งเดิมถูกสังหาร ดังนั้นสองคนจะเป็นศัตรูกันได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่ศัตรู พวกเขาก็จะต้องเป็นสหาย ศิษย์ทั้งหลายของเทพนารีเฟิงโก้วได้ร่วมมือกับเผ่ามาร นี่ยังต้องการหลักฐานอะไรอีก”
เทียนเฟิงโก้วสายตาวูบไหว และนางกล่าวด้วยเสียงนุ่ม “ข้ายังต้องการ ข้ายังคงฉงนเล็กน้อย ในเมื่อพวกเขาร่วมมือกับเผ่ามาร ไฉนกวนเหอจึงต้องสังหารมารผู้นั้น”
“นั่นก็เพราะว่านางต้องการใช้ชีวิตของยอดฝีมือมารคนนี้แลกกับความไว้ใจของข้า” ฉินมู่กล่าว “มีก็แต่แบบนั้น นางจึงสามารถเข้ามาใกล้ข้าได้สำเร็จ เทพนารีเฟิงโก้ว มองดูอีกทีสิ ที่นี่มีทักษะเทวะของมารหลงเหลือไหม หากว่ามันเป็นการต่อสู้จริงๆ ทำไมยอดฝีมือมารถึงตกตายเสียก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยทักษะเทวะ ด้วยสายตาของเจ้า มันไม่น่ายากที่จะมองเห็นประเด็นนี้”
เทียนเฟิงโก้วสีหน้าไร้อารมณ์ “แล้วอย่างไรต่อ”
“ร่องรอยของทักษะเทวะที่นี่พยามแสดงว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดเลือดพล่าน แต่ไม่มีทักษะเทวะใดเลยสร้างความเสียหายแก่หมู่บ้านภูเขานี้ พวกมันถึงกับไม่ถูกแตะต้องโดยสักนิด นี่หมายความว่าพวกเขาทั้งห้าล้วนแต่เกี่ยวพันด้วย ในตอนนี้ พวกเขาร่ายทักษะเทวะของตนจากหมู่บ้านภูเขาแห่งนี้เพื่อกลบเกลื่อนสถานที่เกิดเหตุ นี่ย่อมนับได้ว่าเป็นหลักฐานอีกชิ้น ใช่หรือไม่”
เทียนเฟิงโก้วระบายลมหายใจสะท้านออกมา และรอยยิ้มก็คลี่บนใบหน้าไร้อารมณ์ของนาง นางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “จ้าวลัทธิฉินทั้งทรงปัญญาและเที่ยงธรรม ดูเหมือนว่าศิษย์ทั้งหลายของข้าจะสวามิภักดิ์แก่เผ่ามารจริงๆ ข้านั้นหย่อนยานในการเลือกเฟ้นศิษย์และเกือบจะก่อเรื่องใหญ่”
ฮู่หลิงเอ๋อยังมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ฉินมู่ดูราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อาจติเตียนผู้ที่ถูกปิดบังความจริงได้หรอก เผ่ามารนั้นเป็นพวกชั่วร้าย และพวกเขาก็กลอกกลิ้งเป็นอย่างยิ่ง เทพนารีเฟิงโก้วถูกพวกเขาตบตาเพียงแค่พักหนึ่ง เจ้าจะตระหนักเรื่องในอนาคต และเลือกความเที่ยงธรรมก่อนญาติมิตร”
ข้างหลังเขา กวางโรเซ่อซ่าทั้งหลายยังคงขวิดอยู่
ฉินมู่ลูบก้นตนเองป้อยๆ ที่เจ็บแสบไปหมด กวางโรพวกนี้ทั้งดุร้ายและหัวแข็งจริงๆ…
เทียนเฟิงโก้วยังคงแย้มยิ้มให้แก่เขา “ในเมื่อความเข้าใจผิดคลี่คลายไป ข้าก็ไม่รบกวนเจ้าล่ะ…ใครอยู่ตรงนั้น”
เสียงของนางกลายเป็นบาดหูขึ้นเล็กน้อย และขณะที่นางตวาดไปนั่นเอง เสียงของเทพซังเย่ก็ดังมา “เฟิงโก้ว อย่าเข้าใจผิด เป็นข้าเอง…”
ฉินมู่เบาใจในที่สุด และมือที่เขาถือเนตรหยกเอาไว้ก็หลวมคลายลง ฝ่ามือของเขาเหนอะหนะจากเหงื่อเย็น
ฮู่หลิงเอ๋อก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกและกล่าวด้วยเสียงเบา “คุณชาย–”
ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาได้สังเกตเห็นสักพักหนึ่งแล้วว่าแสงเทวะที่เทพซังเย่เปล่งออกมาในเมืองไร้โอหังจู่ๆ ก็หายวับไป เทพเจ้านี้น่าจะสังเกตพบสถานการณ์ที่นี่
เพราะถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ได้สังหารกวนเหอด้วยกระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติ ริเริ่มภัยพิบัตินั้นใหญ่โตมโหฬารและแสงกระบี่ยาวสิบลี้ได้สาดพุ่งออกไปแทบจะใช่ชั่วพริบตา คงยากที่เทพซังเย่จะไม่สังเกตเห็นถึงสิ่งนี้
เทพเจ้าน่าจะได้เห็นกระบวนท่าของฉินมู่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาทันทีที่มองเห็นมัน นั่นก็เพราะว่าศัตรูที่ทำให้ฉินมู่ต้องใช้กระบี่ภัยพิบัติย่อมเป็นศัตรูอันร้ายกาจเหนือธรรมดา
เมื่อเขามาตรวจสอบ มันก็ไม่มีปัญหาไม่ว่าเทียนเฟิงโก้วจะเป็นสายลับของเผ่ามารหรือไม่ ฉินมู่ปลอดภัยแล้ว
ขณะที่เขาถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว เดินเข้าไปในเมืองหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ อาจจะดูเหมือนว่าเขากำลังอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เทียนเฟิงโก้งฟัง แต่จริงๆ แล้วเขากำลังทำเพื่อเทพซังเย่
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ซังเย่” เทียนเฟิงโก้วผ่อนคลาย สีหน้าของนางสงบลง “ก่อนหน้านี้จ้าวลัทธิฉินและข้ามีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่มันคลี่คลายไปหมดแล้ว”
เทพซังเย่เดินเข้ามาและกล่าว “เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายกันก็ยอดเยี่ยม แต่ว่ายังมีเรื่องที่ทำให้ข้าสับสนอยู่เล็กน้อย ทำไมศิษย์ทั้งหมดของศิษย์พี่หญิงเฟิงโก้วถึงสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามารทั้งหมด หากว่ามีสักคนหนึ่งทำไปเพราะต้องเลือกระหว่างความเป็นและความตายของตนเองนั่นก็คงไม่แปลก ในเมื่อสถานการณ์ถึงชีวิตเช่นนั้นคงยากที่ใครจะปักหลักอยู่ในความดีและความชั่วได้อย่างแท้จริง แต่เมื่อทั้งครอบครัวได้ทรยศแผ่นดินของตนเอง นั่นก็ค่อนข้างประหลาด”
เทียนเฟิงโก้วเลิกคิ้วและกล่าว “เทพซังเย่หมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ”
เทพซังเย่เดินผ่านฉินมู่และหยุดลงตรงหน้าเทียนเฟิงโก้ว “เมื่อศิษย์ทั้งหมดห้าคนสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามาร ก็ยากที่จะไม่สงสัยว่าผู้เป็นอาจารย์ก็อาจจะทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ครั้งหนึ่งเฟิงโก้วเจ้าเคยเป็นเจ้าเมืองหญิงแห่งเมืองคู่สมใช่หรือไม่ เมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน เมื่อมันถูกรุกราน มีก็แต่เจ้าและคนของเจ้าอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดออกมาได้”
“ในทางกลับกัน เมื่อเมืองชิดใกล้ของข้าถูกรุกราน แม้ว่าครอบครัวของข้าจะตายไปทั้งหมดในการต่อสู้ เหลือก็แต่ข้าและลูกสาวที่รอดมาได้ แต่ข้าก็ได้ปกป้องผู้คนธรรมดาแห่งเมืองชิดใกล้ไว้จำนวนมากพอดู มันมีผู้รอดชีวิตมากกว่าเจ้าถึงสิบเท่า”
เขายืนไพล่หลัง “มันยังมีเมืองอลังกา เมืองหวนคืน เมืองพ้องมนุษย์ เมืองมหาพิทักษ์ และเมืองเทพยดาอื่นๆ ที่ข้ารู้จัก เมืองเหล่านั้นล้วนแต่มีผู้รอดชีวิตมามากกว่าจากเมืองคู่สมของเฟิงโก้ว”
ฉินมู่สายตาวูบไหว และเขามองไปที่ฝ่ามือของข้างหลังเทพซังเย่
ฝ่ามือทั้งสองของเขาส่งสัญญาณประหลาดที่หมายความว่าสถานการณ์เร่งด่วน และควรรีบไปในทันที
หรือว่าเทพซังเย่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทียนเฟิงโก้ว
ฉินมู่ตื่นตระหนก แต่เขาก็ยังกระแอมไอทีหนึ่ง “เทพทั้งสอง ข้ายังคงมีเรื่องต้องกระทำ ดังนั้นขอตัวก่อน”
ทิศทางที่เขาเดินออกไปนั้นอยู่ในเงาของเทพซังเย่ ขณะที่เขาก้าวไปทีละก้าว เขาไม่เคยก้าวออกล้ำเงาของเทพซังเย่เลย และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะหลบสายตาของเทียนเฟิงโก้ว
“จ้าวลัทธิฉินกะว่าจะไปยังเมืองไร้โอหังหรอกหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่าเทพซังเย่ไม่ใช่คนทรยศ ทำไมศิษย์ของข้าที่ทรยศพวกเราถึงอยู่ใกล้กับเมืองไร้โอหังมากขนาดนี้ ผู้ที่คุ้มกันป้อมสังเกตการณ์คือเทพซังเย่ และหากว่าเขาเป็นคนทรยศ เจ้าก็ไม่ต่างจากส่งตัวเอาเข้าไปในเงื้อมมือของศัตรู ที่นั่นจะต้องมีมารเทวะดักรอเจ้าอยู่เป็นแน่ เจ้านั้นชาญฉลาดขนาดนี้ ดังนั้นเจ้าคงไม่ผลักตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายหรอก จริงไหม”
ฮู่หลิงเอ๋อสมองโป่งพอง และนางรู้สึกว่าจิตคิดของนางไม่ว่องไวเพียงพอ นางถามด้วยเสียงเบา “คุณชาย ใครกันแน่ที่เป็นคนทรยศ”
เทียนเฟิงโก้วพูดอีกครั้ง “เทพซังเย่ได้ริเริ่มสร้างหอสังเกตการณ์เอาไว้ในเมืองไร้โอหัง ใช่ไหมล่ะ หอสังเกตการณ์นั้นตั้งอยู่กลางเขตแดนมาร และมันก็เสร็จสิ้นไปได้ครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีมารเทวะตนไหนเข้ามาก่อความวุ่นวาย นี่เพราะโชคของเจ้าดีหรือเพราะว่าอย่างอื่น”
ฉินมู่ชะงัก สมองเขาก็โป่งพองเช่นกัน
มันน่าแปลกจริงๆ นั่นแหละที่ไม่มีมารเทวะมาหาเรื่องกับเทพซังเย่ แม้ว่าเขาจะมาสร้างหอสังเกตการณ์ในเขตแดนมารมาสักพักแล้ว
เทียนเฟิงโก้วกล่าวต่อ “แม้ว่ามีผู้คนในเมืองคู่สมของข้าไม่กี่คนที่รอดชีวิตมา แต่ก็ยังมีเทพตนอื่นๆ รอดมาพร้อมกับข้า เทพจากเมืองชิดใกล้ของเจ้ารอดมาแค่ไหนกัน ไม่มีเลยนอกจากเจ้า? เป็นไปได้หรือว่าพวกเขาทั้งหมดจะตายในน้ำมือของมารเทวะ”
“ไหนล่ะศิษย์พี่อีกสองคนที่เดินออกมาจากเมืองคู่สมพร้อมกับเจ้า จากที่ข้ารู้ แม้ว่าพวกเขาออกจากเมือง พวกเขาก็ตายในการต่อสู้ที่เมืองไร้โอหัง และด้วยแบบนั้น เจ้าก็กลายเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเมืองคู่สมเช่นกัน” ซังเย่กล่าวอย่างเยือกเย็น
ฮู่หลิงเอ๋อกอดหางทั้งหกของนาง “คุณชาย ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว…”
ฉินมู่มองไปที่นาง “ข้าก็ด้วย…แต่ว่ายังคงมีวิธีการพิสูจน์ว่าใครคือคนทรยศ ก็คือไปยังซากเมืองไร้โอหัง หากว่าเทพซังเย่เป็นคนทรยศจริงๆ ย่อมต้องมียอดฝีมือแข็งแกร่งของเผ่ามารรอพวกเราให้ป้อนเข้าปากอยู่ที่นั่น แต่หากว่าไม่มี…”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ร่างใหญ่มหึมาก็ล่องลงมาจากท้องฟ้าทางด้านขวาของเขา
มันเป็นมารเทวะตนหนึ่ง!
หางตาของฉินมู่กระตุกเล็กน้อย เขาเคยเห็นมารเทวะตนนี้มาก่อนแล้วสองหน ครั้งแรกก็คือการต่อสู้ที่เมืองชิดใกล้อันเขาได้สังหารทุกๆ คนในครอบครัวของซังเย่!
ครั้งที่สองคือในเมืองหลี ในวันนั้น ฉินมู่และซังฮั่วขี่หลังเทพเสือขนดำไปยังเมืองหลี และซังฮั่วก็เอาแต่จ้องมารเทวะตนนี้
เขามีรอยประทับเพลิงบนร่างกาย และดวงตาของเขาก็เหมือนกองไฟที่ลุกไหม้!
เมื่อเขาล่องลงมายังพื้น ตัวตนระดับเทพเจ้าก็ยืนประจันกันเหมือนกับขาทั้งสามของกระถาง
“มารเทวะหั่วถูลัวมาจากทางเมืองไร้โอหังของเจ้า ใช่ไหมล่ะ” เทียนเฟิงโก้วกล่าวด้วยเสียงนุ่ม
เทพซังเย่ม่านตาหรี่แคบ และเขากัดฟันกรอด “หั่วถูลัวสังหารล้างตระกูลข้าเว้นแต่บุตรสาวของข้า! ข้าจะสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามารได้อย่างไร กับมันนี่นะ?”
หั่วถูลัวขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงเขากึกก้องออกมาและเขย่าป่าจนสะท้านไปหมด “ตอนนี้เรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมพวกเรายังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในเมื่อพวกเรากำลังมีสองรุมหนึ่ง ฉีกหน้าแล้วก็จบๆ นี่ไปเสีย มหาราชาฟู่ยื่อลัวรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นไอ้เด็กต่ำช้าแซ่ฉินนี่!”
รอบข้างพลันเงียบงัน
เทียนเฟิงโก้วหัวเราะเบาๆ “จ้าวลัทธิฉินชอบที่จะสืบเสาะข้อเท็จจริงจากเบาะแส ดังนั้นข้าอยากจะเล่นสนุกกับเขาเสียหน่อย เพื่อหัวเราะร่วมไปกับเขาและเล่นกับหัวใจของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องมารเทวะทั้งหลายชอบทำหรอกหรือ”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ
เทียนเฟิงโก้วแย้มยิ้มและกล่าว “หั่วถูลัว เจ้าจงไปจัดการจ้าวลัทธิฉิน ส่วนข้าจะส่งเทพซังเย่ไปสู่สุคติ”
หั่วถูลัวหันหน้าไปมองยังฉินมู่ซึ่งกำลังถอยกรูดๆ อย่างกระวนกระวาย ฉินมู่พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อกวางโรขวิดหัวใส่อีกครั้ง ด้วยความโมโห เขาชักกระบี่ออกมาและวางพาดคอกวางโรตัวผู้พลางกล่าวอย่างอำมหิต “ขวิดข้าอีกที ข้าฆ่าเจ้าแน่!”
เทียนเฟิงโก้วหัวเราะคิกคักและกระโจนเข้าใส่เทพซังเย่ ในเวลาเดียวกัน หั่วถูลัวก็ยื่นมือออกมาเพื่อคว้าจับฉินมู่ “เจ้าคือเงามืดในเมืองชิดใกล้วันนั้นสินะ? เจ้าคือผู้ที่ปกป้องไอ้เด็กสาวตระกูลซัง ใช่ไหม กล้าหาญอะไรอย่างนี้ ข้าถึงกับไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ แต่ทว่าตอนนี้ ลองหลบจากเงื้อมมือข้าดูสิ”
กวางโรข้างใต้กระบี่ฉินมู่พลันระเบิดฉีกออกจากกัน และแสงมีดอันสะกดทุกลมหายใจก็ฉายเจิดจ้าในราวป่า มันถึงกับผ่าท้องฟ้าให้แยกขาดออกจากกัน แสงมีดพุ่งผ่านฝ่ามือและคอของหั่วถูลัว ทิ้งไว้แต่เส้นบางๆ สีดำบนท้องฟ้า!
เส้นสีดำนั้นบางเฉียบจนมองไม่เห็น ราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น
มันดูเหมือนกับว่าห้วงอวกาศถูกเฉือนตัดออกจากกัน และยังไม่ทันจะสมานตัว!
แสงมีดอันสะกดทุกลมหายใจนั้นพลันหยุดอยู่ที่คอของฉินมู่ และผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่กำยำก็ยืนขึ้นมาจากหนังกวางโรที่ฉีกออก เขามีใบหน้าถมึงทึงและมีหนวดเครารกเฟิ้มชี้ชันไปทุกทิศ
ใบหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยโทสะ และเขาถือมีดจ่อคอฉินมู่เอาไว้พลางบ่นฮึ่มฮั่มอย่างโกรธเกรี้ยว “มู่เอ๋อ ข้าขวิดเจ้าแล้วจะอย่างไร เฒ่าเป๋ เฒ่าบอด และเฒ่าใบ้ต่างหากคือพวกที่ขวิดเจ้ามาตลอด ข้าทำแค่ครั้งเดียว แต่เจ้าก็คิดจะฆ่าข้า! บอกข้ามา เจ้าลำเอียงหรือเปล่า เจ้าคิดว่าพวกเขารักเอ็นดูเจ้ามากกว่าข้าหรืออย่างไร”
…………………………