ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 583 ดวงตาที่สามเปิดออกมา
ฉินมู่สำรวจซากเมืองไร้โอหังต่อพร้อมๆกับท่านยายซีและคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนเห็นจากเศษซากทักษะเทวะเหล่านั้นจึงแตกต่างกัน ทุกคนปรึกษาหารือร่วมกัน และฉินมู่ก็ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะตรึกตรองวิชาฝึกปรือของตนเองและย่างกรายสู่เขตขั้นเต๋า ทุกๆ ด้านของร่างกายเขายังคงด้อยกว่าท่านยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ
หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะว่าวิชาฝึกปรือของเขาบ่มเพาะทุกด้านของกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม และปราณชีวิต ดังนั้นเขาย่อมไม่รวดเร็วเท่ากับเฒ่าบอด เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ ที่เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ และเขาก็ยังไม่มีเวลาเพียงพอที่จะค้นคว้าและเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ลึกซึ้งถึงรากแก่นอย่างที่คนอื่นมี
แต่ทว่า เมื่อเฒ่าบอดและผู้เฒ่าทั้งหลายปรึกษากัน มันก็ให้ประโยชน์แก่ทุกๆ คน ในเมื่อพวกเขาสามารถได้รับคำวิจารณ์จากภายนอก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดยุทธฝีมือแกร่งที่ได้บรรลุถึงสุดขีดขั้วในแต่ละด้าน
จากทักษะเทวะที่หลงเหลือไว้จากเทพและมารแห่งสวรรค์ไท่หวง พวกเขาสามารถมองเห็นได้ว่ากำลังขาดพร่องสิ่งใดอยู่ และสามารถสอบทานจากคนอื่นๆ ได้
“ท่านยาย ข้าได้หลอมรวมระบบฝึกวิทยายุทธทั้งหมดของสวรรค์ไท่หวง และตรึกตรองวิชากายาจ้าวแดนดินที่สามารถฝึกฝนร่างกายแบบองค์รวมแล้ว!”
ฉินมู่ส่งปราณชีวิตของเขาออกไป อันก่อขึ้นมาเป็นโครงสร้างภายในของร่างกายมนุษย์ เขาแสดงให้เห็นเส้นทางการโคจรปราณชีวิตของเนตรเทวะ สมอง ตันเถียน แขนขา กระดูก ทารกวิญญาณ ธาตุทั้งห้า ทิศทั้งหก และดวงดาวทั้งเจ็ดโดยไม่มีเก็บงำ
ยายเฒ่าซี เฒ่าบอด คนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ พลันถูกดึงดูดมาทันทีและศึกษาพิเคราะห์โครงสร้างร่างกายมนุษย์นี้อย่างพิถีพิถัน
ยิ่งพวกเขามองไปมากเท่าไร ก็ยิ่งแตกตื่นมากเท่านั้น
มันมีพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในเนตรเทวะของฉินมู่ อันเผยแสดงโครงสร้างการโคจรของเนตรเทวะ มันยังมีโครงสร้างการโคจรปราณชีวิตในสมองที่แตกต่างออกไปเพื่อส่งเสริมสมรรถนะของมัน ไม่ว่าจะเป็นมือ ขา ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหก ทั้งหมดก็ล้วนแต่มีเส้นทางการโคจรปราณชีวิตอย่างละเอียด
ในขณะเดียวกันนั้น ในสมบัติเทวะ ปราณชีวิตที่โคจรไปตามแง่อัศจรรย์ต่างๆ การหลอมรวมระหว่างทารกวิญญาณและดวงวิญญาณได้หยิบยืมกระแสปราณชีวิตเพื่อไปเสริมแกร่งจิตวิญญาณดั้งเดิม ปราณชีวิตในสมบัติเทวะห้าธาตุก็แยกออกเป็นห้าธาตุ ระหว่างที่เทพครองธาตุทั้งห้านั่งอยู่ในวิหารของตนในดาวทั้งห้าดวง ปราณชีวิตทุกหนทุกแห่งเคลื่อนไหวไปตามเส้นทางโคจรอันแตกต่างกัน
ในสมบัติเทวะหกทิศ ปราณดินของผืนปฐพีก็ไหลไปด้วยความเร็วสูง แปรเปลี่ยนเป็นแรงแม่เหล็กโลก
สมบัติเทวะเจ็ดดาวควบคุมดาวธาตุทั้งห้า ดวงตะวัน และดวงจันทร์ หลอมรวมพลานุภาพของพวกมันทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อสนับสนุนจิตวิญญาณดั้งเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น การหลอมรวมทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของฉินมู่ยังชิดใกล้กับกายเนื้ออย่างแยกกันไม่ออก ด้วยวิธีนี้ มันจึงสร้างการโคจรปราณชีวิตไปตลอดทั่วร่างกายของเขา เมื่อปราณชีวิตในจิตวิญญาณดั้งเดิมใช้เส้นทางโคจรปราณเดียวกัน เขาก็สามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมไปพร้อมๆ กับกายเนื้อได้!
เส้นทางโคจรในวิชาฝึกปรือของฉินมู่นั้นเป็นโครงสร้างสามมิติ และมันเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงที่สุดในแต่ละอวัยวะของกายเนื้อ ก็มีทฤษฎีอันลึกล้ำซ่อนอยู่ ก่อขึ้นมาเป็นวิชาฝึกปรือสามมิติ วิธีการฝึกปรือของแต่ละอวัยวะสามารถดึงแยกออกมา เพื่อใช้เป็นวิชาฝึกปรือที่จะบ่มเพาะแง่ใดแง่หนึ่งให้บรรลุเขตขั้นเทวะได้!
ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือฉินมู่ได้ร้อยรัดวิชาฝึกปรืออันละเอียดลออพวกนี้ด้วยวิธีการหลอมรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อเหมือนกับการแยกข้าวสารออกจากเปลือก วิชาฝึกปรืออันสลับซับซ้อนที่น่าจะหลอมรวมกันไม่ได้ ก็ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งด้วยฝีมือเขา
นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของฉินมู่!
“วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของมู่เอ๋อนี้ ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!”
ยายเฒ่าซี เฒ่าเป๋ และคนอื่นๆ อุทานด้วยความทึ่งชื่นชม รู้สึกราวกับว่าเมฆหมอกได้แยกออกจากกัน และมองเห็นดวงตะวันในที่สุด ในอดีตนั้น พวกเขาได้ฝึกปรือแง่ใดแง่หนึ่งอย่างพากเพียรและผลักดันมันไปจนถึงเขตขั้นเทวะ พวกเขาหมดหนทางมุ่งต่อไปข้างหน้า และพวกเขาไม่รู้ว่าควรที่จะฝึกปรือทุกๆ ส่วนของร่างกายไปในเวลาเดียวกัน
“มู่เอ๋อ วิชาฝึกปรือนี้ยากตรงที่เส้นทางการโคจรของมันสลับซับซ้อน เมื่อฝึกปรือตามแบบวิชาทั่วไปแล้ว พวกเราก็จะต้องใช้วิชาฝึกปรือที่แตกต่างกันเป็นสิบแบบเพื่อให้สำเร็จในแบบที่เขาใช้วิชาฝึกปรือเดียว”
คนแล่เนื้อถอนหายใจด้วยความชื่นชม “ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เขาสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อได้ ธาตุทั้งห้าสอดคล้องกับอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหก ดวงตะวันและดวงจันทร์สอดคล้องกับดวงตาของเขา และแผ่นปฐพีของทิศทั้งหกอันแปรเปลี่ยนมาจากทารกวิญญาณของเขาก็สอดคล้องกับตันเถียน ด้วยวิธีนี้ เขาจึงร้อยรัดทุกวิชาฝึกปรือเข้าด้วยกัน”
ยายเฒ่าซีผงกหัว “นี่จึงเป็นประเด็นที่เพริศแพร้วพิสดารที่สุดของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ โดยไม่มีวิธีการหลอมรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางที่จะร้อยรัดทุกวิชาฝึกปรือเข้าด้วยกันได้ มู่เอ๋อ เจ้าเรียนรู้วิธีนี้มาจากเทพและมารแห่งสวรรค์ไท่หวงหรือ”
ฉินมู่สีหน้าหมอง และเขาส่ายหัว “ข้าตรึกตรองเข้าใจวิธีนี้มาจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก”
“กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก?” ทุกคนในหมู่บ้านพิการชราเต็มไปด้วยความคึกคัก และพวกเขาก็ชื่นชมชายผู้นั้นอย่างไม่รู้จบ “ผู้อาวุโสนี้นับว่ามีฝีมือความสามารถอันเหนือธรรมดา วิธีการฝึกปรือเช่นนี้ได้แก้ปัญหาใหญ่ที่เกาะกุมพวกเรามาหลายปี!”
ขณะที่เขาฟังพวกเขาพูด ฉินมู่ยิ่งหดหู่เข้าไปใหญ่
คนแล่เนื้อและท่านยายซีพูดถูก สาเหตุที่วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะออกมาสำเร็จได้เช่นนี้ก็เพราะว่าการหลอมรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อให้เป็นหนึ่ง
และนั่นเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
เขาได้เลือกการยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกให้เป็นเป้าหมายใหญ่ของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขามายังสวรรค์ไท่หวงและพากเพียรอย่างหนักขนาดนี้ เขาตรึกตรองทำความเข้าใจอย่างขะมักเขม้น และเรียนรู้จุดแข็งของเทพและมารที่อยู่ที่นี่
กระนั้นเขาก็ไม่คาดคิดเลยว่า สิ่งที่ทำให้เขาสามารถทลายฝ่าความรู้ครั้งใหญ่ก็ยังคงเป็นบางสิ่งที่มาจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ฉินมู่ต้องการจะเอาชนะเขา แต่แม้ว่าจะอยู่ในขั้นวรยุทธเดียวกัน ก็ยังยากมากๆ เหลือเกิน
แต่ทว่า เขามีหนทาง!
“ท่านยาย ท่านปู่คนแล่เนื้อ นี่เป็นเส้นทางโคจรของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น” ฉินมู่โพล่งออกมา
ผู้เฒ่าทั้งหลายกำลังง่วนกับการจ้องสังเกตปราณชีวิตรูปทรงมนุษย์อย่างละเอียด และเรียนรู้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา คนแล่เนื้อตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินมู่ และร่ำร้องออกมา “นี่คือเส้นทางโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพียงครึ่งเดียวรึ”
ฉินมู่ผงกหัว และปราณชีวิตรูปทรงมนุษย์ตรงหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด สมบัติเทวะแห่งมรรคามารก็ปรากฏ และเส้นทางโคจรแยกออกเป็นสอง เผยให้เห็นวิชาฝึกปรือมรรคามาร
พวกคนหัวใจสะท้านอย่างรุนแรง พวกเขาอึ้งจนพูดไม่ออก
สมบัติเทวะแห่งมรรคามาร–นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถบ่มเพาะได้!
ถึงกับมีสมบัติเทวะสองประเภทในร่างกายของฉินมู่ อันถูกร้อยรัดเข้าด้วยกันด้วยน้ำมือเขา ทั้งสองฝั่งสอดคล้องซึ่งกันและกัน และปราณชีวิตในพวกมันก็โคจรไปอย่างคล้ายคลึงกัน!
เฒ่าบอดหันหน้ามามองไปยังฉินมู่ ดวงตาเขาแปลบปลาบราวกับสายฟ้า และฉินมู่ก็ไม่ปิดบัง เขาเปิดสมบัติเทวะแห่งมรรคามาเพื่อให้เฒ่าบอดตรวจตราดู เขาเผยแสดงวิชากายาจ้าวแดนดินนี้ แต่มิใช่เพื่อโอ้อวด แต่เขามุ่งหมายอย่างจริงใจที่จะช่วยให้ผู้คนแห่งหมู่บ้านพิการชราทั้งหลายได้ตรึกตรองทำความเข้าใจวิชาฝึกปรือของเขา และทลายขั้นวรยุทธไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ต้องเสออกนอกทางโดยไม่จำเป็น
ทุกคนเข้ามาล้อมเขาและเพ่งพิศดูอย่างละเอียด พวกเขาศึกษาพิจารณาอยู่เป็นเวลานาน แต่แม้กระทั่งคนแล่เนื้อก็ไม่อาจได้มรรคผลอะไร
“ข้าเรียนมันไม่ได้” คนแล่เนื้อที่ถอดใจได้แต่ส่ายหัว “ข้าไม่ใช่กายาจ้าวแดนดิน พวกเจ้าก็เรียนมันไม่ได้เหมือนกัน เจ้าเฒ่าผู้ใหญ่บ้านนั่นพูดถูก มู่เอ๋อคือกายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งเดียว”
แม้ว่าฉินมู่จะแสดงวิธีการในวิชาฝึกปรือของเขา พวกเขาก็เรียนรู้อะไรไม่ได้สักสิ่ง นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่มีสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร
เฒ่าบอดเพ่งพิศดูเด็กหนุ่มอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะจับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไปยังรอยรูปใบหลิวที่หว่างคิ้วของฉินมู่ “มู่เอ๋อ แม้ว่าวิชาฝึกปรือของเจ้าจะเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงขีดสุด แต่วิชาฝึกปรือในเนตรเทวะของเจ้าดูจะไม่ครบสมบูรณ์”
ฉินมู่ผงกหัวและบอกเล่าพวกเขาว่าถูกสะบั้นโดยยอดฝีมือมารทั้งหลายตอนที่เขาตรึกตรองเนตรเทวะของเขา เฒ่าบอดแย้มยิ้มและกล่าว “เข้าใจล่ะ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็มีดวงตาอีกดวง ดังนั้นการไม่ปรับปรุงวิชาฝึกปรือเนตรเทวะให้ครบสมบูรณ์ก็อาจจะเป็นเรื่องดี ข้าสามารถช่วยเจ้าปรับแต่งวิชาฝึกปรือเนตรเทวะของเจ้าให้สมบูรณ์ได้! ให้เวลาข้าสักพัก และข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าเปิดดวงตาที่หว่างคิ้วให้จงได้!”
เขานั้นตื่นเต้นและคันไม้คันมือที่จะริเริ่มเสียเดี๋ยวนี้
ฉินมู่นั้นสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับดวงตาที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาที่หว่างคิ้วของเขา “ดวงตานี้อาจจะไม่ได้เกิดจากวิชาฝึกปรือ ก็ในเมื่อจู่ๆ มันก็ปรากฏขึ้นมา ดังนั้นข้ากังวลว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นหากว่าท่านเปิดมันออก”
ทุกคนก้าวเข้าไปดูดวงตาที่หว่างคิ้วของเขา นักปรุงยาตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วนและส่ายหัว “นี่คือดวงตามารที่ขัดเกลาขึ้นมาจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณแห่งมรรคามาร ดังนั้นมันไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เจ้าสามารถเปิดมันออกเฉยๆ ได้เลย หากว่าเฒ่าบอดไม่สามารถปรับแต่งวิชาฝึกปรือเนตรเทวะให้สมบูรณ์แบบได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าเปิดออกด้วยกำลัง”
ทุกๆ คนโยนเขาไปข้างๆ และศึกษาปราณชีวิตรูปทรงมนุษย์ต่อ ตรึกตรองแง่อัศจรรย์ภายในนั้น
ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็กลับมายังหอสังเกตการณ์ และแยกย้ายไปตรึกตรองด้วยตนเอง การที่ฉินมู่แสดงเส้นทางโคจรของวิชาฝึกปรือของเขา ได้นำประโยชน์อันใหญ่หลวงมาให้พวกเขายิ่งกว่าการออกสำรวจซากเมืองไร้โอหังเสียอีก มันทำให้พวกเขามองเห็นทางลัดที่จะทลายฝ่าคอคอดขวด!
พีชคณิตของท่านยายซีไม่ได้เลิศล้ำ และความรุดหน้าของนางก็เชื่องช้าที่สุด นางได้แต่ปรึกษาขอความรู้จากเฒ่าบอดและคนอื่นๆ ดังนั้นทุกคนจึงมารวมตัวกันเพื่อหลอมรวมจุดแข็งของแต่ละคนมาปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน ฮู่หลิงเอ๋อได้ติดตามเฒ่าหนวกเพื่อเรียนอักษรวิจิตรและภาพเขียนมาระยะหนึ่ง ดังนั้นนางก็ได้เรียนพีชคณิตจากเฒ่าบอดด้วย อันนับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย เพราะอย่างนั้น นางจึงผสมโรงเพื่อเรียนรู้วิชาฝึกปรือของพวกเขาด้วย
อธิการบดีป้าซานก็เข้ามาร่วม และทุกคนก็ยิ่งรุดหน้าไปไวขึ้น
เมื่อท้องฟ้าสว่างโร่อีกครั้ง ทุกคนก็กลับไปพร้อมกับมรรคผลมากมาย
เมื่อฉินมู่ทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็เห็นท่านยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ได้อภิปรายกันตลอดทั้งคืน พวกเขาขัดเกลาและรวบรวมจุดแข็งของแต่ละคนเข้าไปในวิชาฝึกปรือ ดังนั้นเขาจึงไม่ไปรบกวนพวกผู้เฒ่า และเพียงแค่เรียกฮู่หลิงเอ๋อมาทานอาหาร
“จ้าวลัทธิ ข้าอยากจะกินยาเทพชีวาธาตุน้ำ” กิเลนมังกรคาบชามใหญ่ของเขาเข้ามา “ข้าต้องการครึ่งถัง!”
ฉินมู่เกินคำว่าลิงโลดและกล่าวชมเขา “มังกรอ้วนโตขึ้นแล้วจริงๆ ข้าให้เจ้าหนึ่งถังเลย!”
กิเลนมังกรก็เริงร่าสุดๆ เมื่อฉินมู่หลอมปรุงยาวิญญาณเสร็จ เขาก็หันไปหาวัวเขียว ดวงตาลุกวาว “วัวสาม เจ้ากินยาวิญญาณแบบไหนหรือ”
วัวเขียวไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน ฝึกปรือวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาอยู่ แต่ทว่า เขาก็ยังเต็มไปด้วยความแจ่มใส เขาเดินเข้ามาแล้วโค้งคารวะ “นายผู้เฒ่าน้อย ข้าไม่กินยาวิญญาณ การฝึกปรือที่อาศัยยาวิญญาณก็มีแต่จะก่อให้เกิดไขมันส่วนเกิน”
ฉินมู่แย้มยิ้มแก่เขา “ยาวิญญาณสามารถเพิ่มพูนพลังวัตรให้เจ้าได้อย่างรวดเร็ว และหากว่าเจ้าฝึกปรืออย่างขยันขันแข็ง เจ้าก็จะสามารถขัดเกลาฤทธิ์พลังยาส่วนเกินข้างในนั้นได้อย่างรวดเร็ว วิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนานั้นเผาผลาญพลังงานเป็นจำนวนมาก และหากว่าเจ้าไม่ชดเชยด้วยยาวิญญาณ เจ้าก็จะทำร้ายร่างเนื้อของตนเอง สร้างอันตรายต่อชีวิตเจ้า เจ้ามีสายเลือดของมังกรเขียวอันมีคุณสมบัติธาตุลมและสายฟ้า เอาล่ะ…ข้าจะจัดตำรับยาเทพสุริยันลมสายฟ้าให้เจ้า! รอประเดี๋ยว!”
วัวเขียวปลาบปลื้ม และรีบกล่าว “วัวน้อยซาบซึ้งจนน้ำตาไหล หากว่านายผู้เฒ่าน้อยสามารถเพิ่มกลิ่นดอกไม้เข้าไปด้วย นั่นจะยิ่งล้ำเลิศ”
ฉินมู่ผงกหัวและจัดสมุนไพรเพื่อหลอมปรุงยาเทพสุริยันลมสายฟ้า จากนั้นเขาก็ขอหญ้าและดอกไม้จำนวนหนึ่งจากวัวเขียวและหลอมปรุงยา กลิ่นหอมอันผิดธรรมดาก็ลอยมาเตะจมูกเขา
วัวเขียวดีใจจนแทบโดดถึงดวงจันทร์ เขากล่าวชมฉินมู่ไม่หยุดปาก จากนั้นรีบไปฝึกปรือทันที
กิเลนมังกรรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ และรีบกินยาเทพชีวาธาตุน้ำให้หมด ก่อนที่จะรีบไปฝึกวรยุทธ แต่ขณะที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็ตระหนักขึ้นมาทันที นี่มันไม่ใช่แล้ว! ดูเหมือนว่าจ้าวลัทธิจะคว้ากุมจุดอ่อนของข้าเอาไว้ได้ ตอนแรกเขาถ่ายทอดวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้กับวัวเขียว และตอนนี้ถึงกับหลอมปรุงยาให้เขา นี่คือบีบให้ข้าก็ขยันหมั่นเพียรชัดๆ! หรือว่า…คัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้า!
เขานำคัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ออกมาอย่างร้อนใจ และระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่ายังอยู่ดี ข้าหวาดระแวงจนเกินไป
ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อนั่งลงทานอาหารเข้า และเขานำหนังสือเล่มเล็กๆ อันเขาพลิกอ่านอย่างไม่รีบร้อน ฮู่หลิงเอ๋อรีบกล่าว “คุณชาย หลังจากท่านอ่านมันรอบหนึ่งแล้ว ท่านต้องเผามันทิ้งนะ ท่านปล่อยให้เขารู้ไม่ได้ว่าข้าคัดลอกมันมา”
ฉินมู่ผงกหัวและพลิกหน้าถัดไปพร้อมรอยยิ้มหยัน “มังกรอ้วนเจ้าหมอนี่ เล่นกับข้าแบบนี้รึ โชคยังดีที่ข้าค้นพบแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงเป็นเด็กปรุงยาให้เขาไปแล้ว! หลิงเอ๋อ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่หักหลังเจ้าหรอก”
ทันใดนั้นเสียงของเฒ่าบอดก็ดังมาอย่างปีติยินดี “มู่เอ๋อ ข้าได้ซ่อมแซมส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของเนตรเทวะเจ้าหมดแล้ว! มาสิ มาลองฝึกปรือดู!”
ฉินมู่วางชามและตะเกียบของเขาลง เขารีบเดินเข้าไป และเฒ่าบอดก็ใช้ปราณชีวิตของเขาเพื่อแสดงเส้นทางโคจรปราณของวิชาฝึกปรือที่เขาแก้ไข เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราได้ค้นคว้ากันอยู่สักพัก และรู้สึกว่านี่คือหนทางในการปลุกดวงตาที่สามของเจ้าขึ้นมา ลองดูก่อนสิ ว่ามีอะไรขาดหายไปไหม”
ฉินมู่ตรวจดูอย่างถ้วนถี่ เส้นทางของเนตรเทวะที่เฒ่าบอดและคนอื่นๆ ได้ทำให้ครบสมบูรณ์นั้นได้เสริมส่งในสิ่งที่เนตรเทวะเขาขาดพร่องไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้เติมเส้นทางโคจรวิชาฝึกปรือให้สำหรับดวงตาที่สามด้วย
เขาคำนวณอย่างระมัดระวังและส่ายหัว “ท่านปู่บอด ข้าไม่พบว่ามีอะไรขาดหายไป”
เขาบันทึกเส้นทางโคจรปราณชีวิต และพลันขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะตามเส้นทางใหม่นั้น
ทุกๆ คนมองไปที่หว่างคิ้วของเขาด้วยความกระวนกระวาย รอให้ดวงตาของเขาลืมขึ้นมา
ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และเสียงมังกรคำรามก็กึกก้องจากปราณชีวิตของเขาพุ่งไปยังใจกลางหว่างคิ้ว ทันใดนั้น จากรอยรูปใบหลิวที่หว่างคิ้ว โลหิตสีดำก็หยาดลงมาหยดหนึ่ง
หลังจากนั้น เปลือกตาก็หดกลับไปทั้งสองข้าง เปิดดวงตาขึ้น
…………………………