ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 591 เก้าวิชาแห่งดาบสวรรค์
“หรือจ้าวลัทธิฉินหมายที่จะใช้คนอื่นให้ทำงานสกปรกให้ตนเอง” เทพครองดาวตะวันมองไปที่ฉินมู่และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม้ว่าจ้าวลัทธิฉินจะยังเยาว์ แต่ก็ไม่ขาดความกลอกกลิ้ง คุณชายฉี อย่าปล่อยให้เขาหลอกเอาได้ หากว่าท่านสังหารมารไปสักตน พวกเราก็จะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ”
ฉีเจี่ยวอี๋ไม่ยี่หระ “เทพครองดาวตะวัน อย่าวิตกไป มารพวกนี้มันก็แค่สุนัขที่สภาสวรรค์เลี้ยงเอาไว้ และถ้าสุนัขจะตายไปสักไม่กี่ตัวก็ไม่นับว่าเป็นอันใด พี่ฉินหมายจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อดูกำลังฝีมือของข้า และข้าเองก็อาจจะเห็นของเขาเช่นกัน”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “กึ๋นของพี่ฉีนั้นกว้างใหญ่กว่าเทพครองดาวตะวัน เขาจะต้องเอาแต่พูดจากับพี่ฉินด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและกังวลนี่นั่น นี่ก็เพราะว่าศักดิ์ฐานะของเขาต่อต้อยกว่าเจ้ามาก พี่ฉีคงจะมาจากสภาสวรรค์ที่ว่าๆ กันสินะ? และสาเหตุที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อตามหาข้า?”
ฉีเจี่ยวอี๋ส่งยิ้มเล็กๆ ให้เขา “พี่ฉินช่างเฉลียวฉลาด เจ้าควรมีชื่อว่าฉินอี๋แทน”
“จะคาดเดาจุดประสงค์ของเจ้าไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นข้าไม่อาจนับว่าเฉลียวดฉลาดหรือมีนามว่าเจี่ยวอี๋ได้ เมื่อเจ้าพยายามจะเชิญข้าไปต่อสู้ที่สันตินิรันดร์ นั่นจะต้องมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง”
ฉีเจี่ยวอี๋ตกตะลึง แต่ภายนอกนั้น เขาเพียงแต่แย้มยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองเทพสามขา “เทพครองดาวตะวัน ทำไมเจ้าไม่จดจ่อกับการต่อสู้กับท่านปู่คนแล่เนื้อล่ะ เแบบนี้เจ้าจะตายเสียตั้งแต่มีดแรกเอา รอดูสิว่าคำพูดข้าจะแม่นยำหรือไม่”
เทพครองดาวตะวันแค่นเสียง “จ้าวลัทธิฉินหมายจะขยี้จิตเต๋าของข้า?”
ฉินมู่ไม่สนใจเขาและมองไปอีกฟาก เขาเห็นยอดฝีมือมารมากมายกรูกันเข้ามาหาพวกเขาเป็นทิวแถว มีทั้งยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะ ขั้นห้าธาตุ และขั้นชาวสวรรค์ก็หลายคน พวกเขาคงจะถูกคำพูดฉินมู่จี้ให้เดือดดาลและระงับใจไม่อยู่วิ่งกรูกันออกมา
พวกมารนับถือผู้เก่งกาจในเชิงยุทธ และผู้ฝึกวิชาเทวะของพวกเขาทุกคนล้วนแต่มีอันดับฝีมือในขั้นวรยุทธเดียวกัน ฉินมู่เคยสู้กับยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวจำนวนหนึ่งในเมืองหลีมาก่อน และพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ของมารเทวะที่มีฝีมืออยู่ในสิบอันดับแรก ท่ามกลางพวกเขา เจ๋อหัวหลีนับเป็นอันดับหนึ่ง
ขั้นวรยุทธอื่นๆ ก็มีรายนามอันดับเช่นกัน
ไม่มียอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวและหกทิศวิ่งเข้ามา ก็เพราะว่ายอดฝีมือทั้งหมดของสองขั้นวรยุทธนั้นถูกสังหารโดยฉินมู่
ทุกคนที่บุกมาล้วนแต่มีรัศมีอันเกรี้ยวกราดดุร้าย แต่หนึ่งในยอดยุทธฝีมือแข็งแกร่งขั้นสะพานเทวะออกหน้านำมา ทุกคนจึงหยุดเมื่อเห็นเช่นนั้น
ยอดยุทธแห่งขั้นสะพานเทวะคนนี้เข้าใกล้เขตขั้นเทวะอยู่เต็มทีแล้ว และแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทำให้แม้แต่ท่านยายซีและคณะตื่นตระหนก พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม
แม้ว่าพวกเขาจะได้ซ่อมแซมในสิ่งที่พวกเขาขาดพร่องในวิชาฝึกปรือ แต่ระยะเวลาที่พวกเขาฝึกมันยังคงสั้นเกินไป พวกเขายังคงด้อยกว่ายอดฝีมือแห่งเผ่ามารที่ฝึกปรือวิธีการแห่งเทพเที่ยงแท้มาตั้งแต่พวกนั้นยังเยาว์
แต่ทว่า ผ่านไปสักระยะ ผู้เฒ่าทั้งหลายก็จะสามารถฝึกปรือทุกแง่ของร่างกายพวกเขาจนถึงเขตขั้นเทพเที่ยงแท้ ยิ่งไปกว่านั้นโครงข่ายปราณชีวิตร่างมนุษย์ที่ฉินมู่ถ่ายทอดให้พวกเขา ยังเป็นประตูที่เปิดให้วิชาฝึกปรือเข้าสู่เขตขั้นเต๋า ของแบบนี้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่จะทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ตนหนึ่ง ไม่เพียงแค่มันจะบ่มเพาะกายเนื้อ และยังบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิม ขัดเกลาปราณชีวิต และยกระดับ มรรคา วิชา และทักษะเทวะ
ถ้ามีแค่กายเนื้อบรรลุถึงระดับเทพเที่ยงแท้เยาว์ คนผู้นั้นก็ยังห่างไกลจากการเปรียบเทียบกับเทพเที่ยงแท้เยาว์จริงๆ
“จ้าวลัทธิฉินแห่งสันตินิรันดร์!” สายตาของยอดยุทธขั้นสะพานเทวะตกลงมายังฉินมู่ และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าไร้เทียมทานในขั้นเจ็ดดาว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไร้เทียมทานต่อผู้คนที่อยู่บรรลุถึงขั้นอื่นแล้ว ข้า ชูเย่ ศิษย์ของฝู่ยื่อลัว มาที่นี่เพื่อทดสอบเจ้า!”
“ศิษย์พี่ชูเย่ อันดับของเจ้าในขั้นวรยุทธสะพานเทวะนั้นอยู่อันดับที่เท่าไร” ฉินมู่ถามอย่างใคร่รู้
“อันดับสอง!” ชูเย่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อันดับแรกคือถูจุ้น แต่เขานั้นใกล้ที่จะไปถึงปราสาทสวรรค์ และกำลังจะบรรลุเป็นมารเทวะ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าร่วมศึกนี้ ไม่นานข้าก็จะเป็นอันดับหนึ่ง!”
ฉินมู่ส่ายหัว “เจ้าควรจะไปเชิญเขาออกมา ก็ในเมื่อแค่เจ้าน่ะไม่ไหวหรอก ข้าได้สังหารศิษย์ของฟู่ยื่อลัวมาก่อน ฟู่อวี่เซียวผู้อยู่ในขั้นชาวสวรรค์ กำลังฝีมือเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ก็ยังห่างชั้นจากข้ามากในขั้นวรยุทธเดียวกัน”
ชูเย่เดือดดาล แต่ฟู่ยื่อลัวพลันเหาะลงมาจากท้องฟ้า เขาลงเหยียบพื้นตรงหน้ามารมากมาย ชูเย่และยอดฝีมือมารคนอื่นๆ รีบคารวะเขา “มหาราชา!”
ฟู่ยื่อลัวโบกมือให้ทุกคนละพิธีรีตอง “ในขั้นวรยุทธเดียวกัน พวกเจ้าทุกคนไม่มีเลยสักคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของสหายน้อยฉิน หากว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของขั้นวรยุทธตนเอง ก็ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะลงมือและตายในน้ำมือของเขา!”
เฒ่าใบ้ คนแล่เนื้อ และคนอื่นๆ ตกตะลึง เทพเที่ยงแท้ได้ลงมาแล้ว และต่อให้พวกเขาดาหน้าเข้าไปพร้อมๆ กัน ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้!
สายตาของฟู่ยื่อลัวเคลื่อนไปจากใบหน้าของคนแล่เนื้อและไปยังเฒ่าใบ้ จากนั้นก็มองไปยังเทพครองดาวตะวัน ก่อนจะย้ายไปมองฉินมู่
เด็กหนุ่มแตกตื่นและรีบคว้าที่หน้าอกของเขา ถึงตอนนั้นเขาถึงเพิ่งจำได้ว่าจี้หยกไม่ได้ห้อยอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว มันถูกผลักเข้าไปในดวงตาที่สามกลางหน้าผากด้วยฝีมือของภูติบดี
ฟู่ยื่อลัวเห็นเขามีกิริยาคว้าจี้หยก หัวใจเขาก็เต้นตุบตับ เมื่อเขาหวนนึกถึงตอนที่ฉินมู่เสียการควบคุม เขาก็รู้สึกหน้าอกเจ็บแปลบ เขาจึงหัวเราะออกมา “สหายน้อยฉิน ไม่ต้องตื่นตระหนก ข้าไม่ได้มาร้าย ข้ามาเพื่อเป็นพยานเท่านั้น ข้าไม่ยื่นมือแตะต้องเจ้าหรอก”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และปล่อยมือลงจากหน้าอกของเขา เขาโค้งคารวะและกล่าว “ฟู่ยื่อลัวเป็นผู้อาวุโสและเที่ยงธรรมเสมอมา ข้าเลื่อมใสท่าน”
สายตาของฉีเจี่ยวอี๋ตกไปที่หน้าอกของเขา และหัวใจก็เคลื่อนคิดเล็กน้อย เขาเผยรอยยิ้ม เขาสวมจี้หยกไว้ที่หน้าอกจริงๆ ในเมื่อข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็ย่อมง่ายขึ้นมาก
ทันใดนั้น สาวงามเลิศล้ำก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอันแจ่มใส นางปรากฏขึ้นข้างๆ ฟู่ยื่อลัว และสายตาของนางกวาดผ่านคนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ เทพครองดาวตะวัน และคณะ ก่อนที่จะตกลงไปยังยายเฒ่าซี ความแจ่มใสบนใบหน้าของนางก็ชืดชาลง
หญิงผู้นี้ก็เป็นสาวงามเหนือธรรมดาเช่นกัน แต่เบื้องหน้ายายเฒ่าซี ความงามของนางจืดจางจากการเปรียบเทียบ
หนึ่งนั้นเป็นสาวงามเลิศล้ำเหนือธรรมดา และอีกหนึ่งเป็นสาวงามอันสะคราญโฉมไร้ปานเปรียบ ยากที่จะมองเห็นว่าพวกนางอยู่ในระดับทัดเทียมกัน
เมื่อฉินมู่เห็นสตรีผู้นี้ เขาก็หยั่งเชิง “ลู่หลีแห่งแดนใต้พิภพ?”
“คือข้านี่แหละ” ลู่หลีมองไป แต่ความริษยาหยั่งรากขึ้นมาในหัวใจของนาง นางแย้มยิ้มอย่างหวานเยิ้มและมีท่าทียั่วยวนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเสียงของนางเป็นของบุรุษ “สาวงามสะคราญฟ้า งามเสียจนข้าเอ็นดูเจ้าทั้งยังรู้สึกริษยาอยู่นิดๆ ข้าจะเรียกน้องสาวผู้นี้ว่าอย่างไรหรือ”
ยายเฒ่าซีกำลังจะตอบ แต่ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าวด้วยเสียงเบา “ท่านยาย เวทมนตร์แดนใต้พิภพพุ่งเป้าที่ดวงวิญญาณ หากว่านางรู้ชื่อที่แท้จริงของท่าน นางจะมีวิธีการจัดการท่าน”
ยายเฒ่าซีรีบละทิ้งความคิดที่จะบอกชื่อจริงออกไป
ลู่หลีหัวเราะคิกคัก “ฉินเฟิงชิง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะตกอยู่ในสภาพนี้ ช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง ข้านั้นกำลังวางแผนที่จะชิงร่างของโฉมงามสะคราญฟ้าผู้นี้เพื่อเล่นกับนางเสียหน่อย! ว่าแต่ ชนชั้นสูงผู้นี้ หรือว่าเจ้ามีแซ่ฉี?”
ฉีเจี่ยวอี๋แย้มยิ้มให้แก่นาง “ฉีเจี่ยวอี๋แห่งตระกูลฉีน้อมคารวะผู้บัญชาการแคว้นลู่หลี”
เสียงของลู่หลียังคงหยาบกร้าน แต่น้ำเสียงของนางมีความหวานรื่นและไพเราะ “ดูเหมือนว่าสภาสวรรค์จะไม่อาจเชื่อใจข้าได้ ถึงกับส่งคุณชายฉีมาด้วยเช่นกัน นี่ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
“หากว่าผู้บัญชาการแคว้นไม่มีเจตนาเป็นอื่น ไฉนท่านจะต้องใส่ใจข้า” ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวอย่างสบายๆ
ลู่หลียิ้มหยัน “ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าก็อย่าคิดจะเอาตัวผู้แซ่ฉินไปได้!”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มแย้ม “ข้าไม่เคยคิดจะเอาตัวเขาไป หลังจากที่ข้าใช้สอยพี่ฉินเสร็จแล้ว ข้าสามารถส่งเขาให้กับเจ้าได้”
ลู่หลีตาเป็นประกาย “ตกลง!”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มโดยไม่กล่าววาจา
ฉินมู่ขมวดคิ้ว การที่ฟู่ยื่อลัวออกหน้ามาด้วยตนเองนั้นได้ทำลายแผนของเขา เขาได้หมายว่าจะให้ฉีเจี่ยวอี๋ต่อสู้กับยอดฝีมือมาร เพื่อดูว่ากำลังฝีมือของเด็กหนุ่มจากสภาสวรรค์ผู้นี้เป็นเช่นไร ทั้งยังกะจะให้เขาสร้างความบาดหมางกับเผ่ามารด้วยเช่นกัน
แต่ทว่า ฟู่ยื่อลัวเหาะลงมา และขัดขวางยอดฝีมือแห่งเผ่ามารมิให้ท้าสู้กับพวกเขา
ลู่หลีผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของซิงอ้านมาก่อน ก็ได้โผล่ขึ้นมาด้วยเช่นกัน นางเคยควบคุมซิงอ้านเพื่อให้จับตัวฉินมู่ แต่ชายผู้นั้นพลิกโต๊ะใส่นาง ขับไล่นางออกจากสมบัติเทวะเป็นตายของเขา
นางและฉีเจี่ยวอี๋เป็นคู่แข่งกัน ทั้งคู่ต่างก็ต้องการจะจับตัวฉินมู่ แต่ฉีเจี่ยวอี๋สามารถลบล้างความขุ่นเคืองของลู่หลีไปได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ตอนนี้ฉินมู่ซึ่งเป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวก็กลายเป็นเป้าหมายร่วมของพวกเขา
แผนของข้าไม่อาจตามทันการเปลี่ยนแปลง ข้าไม่อาจมีทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้การควบคุม… เขากังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“เด็กดื้อมันซวยแล้ว…” เฒ่าเป๋พึมพำข้างหลังเขา
เทพครองดาวตะวันปรายตามองไปที่ฉินมู่และแย้มยิ้ม เขาพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที “จิตใจของจ้าวลัทธิฉินดูเหมือนว่าจะสับสนรวนเร แผนของเจ้าเละเทะไม่เป็นท่า สภาวะวิตกกังวลเช่นนี้ทำให้เจ้าง่ายต่อการถูกคุณชายฉีสังหาร ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิฉินต้องการเวลาในการปรับกรอบคิดจิตใจหรือไม่”
“แน่นอน!” ฉินมู่กล่าวทันที “ข้าต้องปรับกรอบคิดจิตใจจริงๆ นั่นแหละ ท่านปู่คนแล่เนื้อ เทพครองดาวตะวัน พวกท่านสองคนสะสางกันก่อนเป็นอย่างไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเทพครองดาวตะวันแข็งทื่อ เขาไม่คิดว่าไอ้เด็กเวรนี่จะตอบตกลง
คนแล่เนื้อหัวเราะร่าและเปิดเสื้อเผยหน้าอกของเขา เงยศีรษะขึ้นสู่ท้องฟ้าและตะโกน “สวรรค์เฮงซวย ข้าไม่ได้ด่าทอเจ้ามานานแล้ว และบัดนี้ข้าจะทำให้เจ้าหลั่งเลือดในที่สุด! เทพครองดาวตะวัน เชิญ!”
เจตจำนงมีดของเขาพวยพุ่งขึ้นสู้ท้องฟ้าและผ่าแยกเมฆออกเป็นสองเสี่ยง!
จิตหาญสู้ของคนแล่เนื้อโลดทะยานสู่สรวงสวรรค์และเข้าไปปะทะกับร่างของเทพครองดาวตะวัน
เทพครองดาวตะวันรู้สึกถึงดวงตาอีกฝ่ายที่ทิ่มแทงเข้ามาราวกับมีด และตื่นตระหนกจนเหลือล้น เขาเหินลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและสาดแสงทองเจิดจรัส ร่างกายของเขาสูงใหญ่ขึ้นๆ ขณะที่ปีกข้างหลังสยายกว้างออกไป ในจังหวะถัดมา ปีกทองคำของเขาก็เริ่มงอกเงยทั่วทั้งร่างเขา
ด้วยขนนกอันครอบคลุมผิวหนังเขามากขึ้นทุกที เทพครองดาวตะวันก็แปรเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นปักษาเทพสามขาที่สาดแสงส่องอย่างเจิดจ้า เขาดูเหมาะสมกับดวงตะวันกลางท้องฟ้าราวกับว่าเขาคืออีกาทองคำที่อยู่ในนั้น!
อีกาทองคำร้องเสียงแหลมอันเสียดหูเป็นอย่างยิ่ง “ดาบสวรรค์ ข้าตัดเจ้าออกเป็นสองท่อน และทำลายเพลงมีดของเจ้าทุกอย่างเมื่อครั้งก่อน แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรได้ในคราวนี้”
“เจ้าคิดว่าข้าอยู่เปล่าๆ ปลี้ๆ ตลอดหลายปีมานี้ในหมู่บ้านพิการชราหรือ”
คนแล่เนื้อชักมีดของเขาออกมาด้วยเสียงคำรามกึกก้องและเหินทะยานสู่เวหา แต่ละย่างก้าวของเขาดูเหมือนว่าจะเหยียบไปบนก้อนเมฆ ร่างของเขาสั่นเทิ้มและกลายเป็นสูงเยี่ยมมหึมา แสงมีดบนท้องฟ้าพลันกลายเป็นแสบตาอย่างสุดขีด เมื่อมันฟันไป แม้แต่ดวงตะวันอันร้อนแรงก็กลายเป็นดูมืดมัว!
“มีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลด!” ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น “กระบวนท่าที่เก้าของเพลงมีดเชือดหมู!”
สายตาของป้าซานว่างเปล่าเมื่อเขามองไปยังท้องฟ้า เพลงมีดเชือดหมูที่ฉินมู่กล่าวถึงนั้นคือแปดวิชาของดาบสวรรค์ แต่ทว่า มันมีเพียงแปดกระบวนท่า คนแล่เนื้อได้ร่างรำเพลงมีดอันป้าซานไม่เคยเห็นมาก่อน
ดาบสวรรค์มีแปดกระบวนท่า
เก้าวิชาแห่งดาบสวรรค์!
มีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลด!
บนท้องฟ้า แสงมีดขาวยวงเข้ามารวมตัวกัน และร่างของคนแล่เนื้อก็หายวับ เหลือก็แต่แสงมีดอันเจิดจ้าที่เข้ามารวมกันเป็นจันทร์เพ็ญขณะที่มันเข้าไปปะทะกับดวงตะวันอันแผดแสงในฝั่งตรงข้าม!
ในดวงตะวัน ขนนกสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามารวบรวมกันกระบี่เล่มหนึ่ง อันเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแท้สุริยัน อาวุธนี้พุ่งไปข้างหน้าเพื่อจู่โจม
เคร้ง!
กระบี่ทองไฟแท้ทะลวงไปยังจันทร์เพ็ญ และจันทร์เพ็ญก็พลันสาดแสงสว่างนภา ราวกับว่ามันคือดวงจันทร์จริงๆ มันดูราวกับว่ากำลังดูดกลืนแสงตะวันเพื่อสะท้อนกลับออกเป็นเป็นแสงจันทร์ แสงของมีดพลันยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่า!
จันทร์เพ็ญกระจัดกระจายออก และแปรเปลี่ยนเป็นมีดแสงอันสะท้านสะเทือนพิภพ!
ฉินมู่จิตวิญญาณทะยานฟ้าตามไปด้วย และเขาเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงอันก้องไป “ประจำการในด่านหยก ยกทัพสยบคนเถื่อนภูเขา เล่นดนตรีเพลงดอกท้อในลำเนา มีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลดในราตรี!”
ที่เขาเอื้อนทำนองนั้นคือเคล็ดลับมีดของมีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลด!
จากกลางอากาศ โลหิตร่วงลงมาราวห่าฝน
ร่างอันแข็งแกร่งของคนแล่เนื้อยืนอยู่ระหว่างสวรรค์และพิภพ เขาอาบย้อมตนเองด้วยโลหิตเทวะและเพลิงไฟอันร้อนแรง ขณะที่มีดสวรรค์ของเขาไหลล่องไปด้วยแสงหลังจากที่มันผ่าเฉือนดวงตะวันออกเป็นเสี่ยง เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดังและกล่าว “เสียงกลองกึกก้องมหาสมุทร สุดชั้นเมฆคือรัศมีอันฮึกหาญ ของไพร่พลโลดแล่นโจนทะยาน ด้วยหวังผลาญคร่าชีวันเทพยดา ขับไล่พวกมันออกจากด่านนิรมล!”
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มมนุษย์ที่แบกดาบมารอยู่บนหลังเดินออกมาจากค่ายทัพใหญ่ของเผ่ามาร และเงยศีรษะขึ้นไป จิตใจของเขาสั่นสะเทือนอย่างระงับไม่อยู่ และเขาก็ตกลงไปในภวังค์ตรึกตรองเต๋าโดยไม่ได้ตั้งใจ
ศีรษะของเทพครองดาวตะวันร่วงลงมา ถล่มลงตรงหน้าค่ายหลวงของเหล่ามารด้วยเสียงอันกัมปนาทกึกก้อง