ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 592 บรรยากาศอันตราย
“เพลงมีดล้ำเลิศ!” ฟู่ยื่อลัวมองไปที่คนแล่เนื้ออันฉายรัศมีสุกสกาว และเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม “วิชามีดอันล้ำเลิศอย่างแท้จริง! สถานที่อย่างสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งนับว่าเป็นแผ่นดินแห่งความอัศจรรย์และวีรชนหาญกล้า แม้แต่ในยุคสมัยที่มรรคา วิชา และทักษะเทวะจะมีช่องโหว่ไม่สมบูรณ์ ก็ยังอุตส่าห์มีตัวตนอันเลิศล้ำขนาดนี้กำเนิดขึ้นมา ”
ในเพลงมีดของคนแล่เนื้อ เขามองเห็นความหวังของแดนโบราณวินาศ
เทียบกับเขาแล้ว คนแล่เนื้อนั้น ‘เยาว์วัย’ เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้รับระบบการฝึกวรยุทธที่ครบสมบูรณ์ แต่วิชามีดของเขาก็เข้าสู่เต๋า อันเป็นสิ่งที่เทพและมารแห่งสวรรค์ไท่หวงและเผ่ามารทำไม่ได้
ฟู่ยื่อลัวเห็นได้ว่า หากคนแล่เนื้อซ่อมแซมจุดบกพร่องของเขาในอนาคต ก็จะสามารถบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้ได้แน่นอน การที่มีความสำเร็จระดับนี้ด้วยอายุอันเยาว์ นี่ต้องเป็นความพิเศษของสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งเป็นแน่!
“กระบวนท่านี้ไม่เห็นถ่ายทอดให้ข้าเลย…”
อธิการบดีป้าซานอ้าปากพูด เสียงของเขากึกก้องราวสายฟ้า จากนั้นเขาก็หันไปหาฉินมู่ “อาจารย์ถ่ายทอดให้เจ้าไหม”
ฉินมู่กล่าวไปตามตรง “ถ่ายทอดให้ แต่ขั้นวรยุทธของข้าต่ำเกินไป มิอาจร่ายรำออกมาได้”
อธิการบดีป้าซานกล่าวอย่างเคืองแค้น “ตาเฒ่าลำเอียง! กระบวนท่านี้แข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกินไป…”
อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าคนแล่เนื้อลำเอียง แต่ในตอนนั้นคนแล่เนื้อที่เหลือร่างเพียงท่อนบนและไต่คลานไปยังหมู่บ้านพิการชรา เขาเหมือนกับคนเสียสติอยู่แทบจะตลอดเวลา ทุกๆ ว่าก็สบถด่าสวรรค์เฮงซวย ร่ำร้องว่าจะขึ้นไปฟันสวรรค์ให้ตาย ช่วงเวลาที่ได้สติเขาก็ไม่ค่อยพูดจา นั่งนิ่งขรึม
ช่วงเวลานั้นคนแล่เนื้อขมขื่นอย่างยิ่ง ขมขื่นที่มิใช่เพราะว่าแค่เขาเหลือเพียงร่างครึ่งท่อน แต่เพราะว่าไม่อาจฆ่าฟันสรวงสวรรค์ ล้างแค้นให้กับสหายรักทั้งหลาย ล้างแค้นให้กับมีดของตนเอง
เพื่อที่จะต่อสู้รับมือกับเทพครองดาวตะวันและเพทเจ้าบนฟากฟ้าทั้งหลาย ระหว่างที่เขาอดทนอยู่ในความเสียสติคลุ้มคลั่ง เขาก็ขบคิดเพลงมีดจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าเพลงมีดใดๆ ก็ไม่อาจบุกตะลุยฆ่าฟันไปยังสรวงสวรรค์ได้
สาเหตุที่เขาบ้าคลั่ง ก็เพราะว่าครุ่นคิดมากเกินไป
หลังจากที่ยายเฒ่าซีเก็บฉินมู่ขึ้นมาจากริมน้ำ หัวใจอันคลุ้มคลั่งของคนแล่เนื้อก็ถูกทารกผู้นี้บรรเทาเบาบางลง ในหัวใจมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพิ่มขึ้นมา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช่วงเวลาที่เขาเสียสติก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เดิมทีนั้นเขาคิดมากมายเกินไปจนเป็นบ้า แต่หลังจากที่ฉินมู่มาถึง จิตใจเบื้องลึกของเขาก็มั่นคง เขาค่อยๆ คืนกลับสู่ตัวตนในอดีต
เมื่อเพลงมีดของเขาบรรลุเขตขั้นเต๋า คิดค้นวิชาที่เก้าแห่งดาบสวรรค์ มีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลด
เพลงมีดนี้เป็นผลงานของการบรรลุเขตขั้นเต๋า ให้เขากลายเป็นปรมาจารย์อันไร้ปานเปรียบในโลกหล้า
แต่ก่อนนั้นอธิการบดีป้าซานได้ศึกษาแปดวิชาแห่งดาบสวรรค์ แต่คนแล่เนื้อเบื่อหน้าเขา เห็นเขาทีไรก็หลีกลี้ห่างไกล เพิ่งจะไม่นานมานี้ที่ป้าซานตามเขามาทัน กระบวนท่าดังกล่าวจึงยังไม่ทันได้ถ่ายทอดออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น มีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลดยังเรียกร้องพลังวัตรอันมหาศาล ปฏิภาณความสำเร็จในเชิงมีดก็ต้องสูงล้ำ อธิการบดีป้าซานได้เดินไปในแนวทางเวทมนตร์บู๊ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำวิชามีดของเขาบรรลุเขตขั้นเต๋า ดังนั้นต่อให้คนแล่เนื้อถ่ายทอดไป ก็ไม่แน่ว่าจะเรียนรู้ได้
โลหิตของเทพครองดาวตะวันสาดกระเซ็นจากห้วงเวหน เปลี่ยนให้บริเวณโดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้กลายเป็นทะเลไฟ โลหิตของเขาคือเลือดสุริยัน ข้างในนั้นมีแก่นสุริยันอยู่ เมื่อร่วงลงพื้นก็เปลี่ยนเป็นเพลิงไฟ เพลิงไฟแผดเผายาวนานไม่รู้ดับ
ทันใดนั้น ดวงตะวันใหญ่บนท้องฟ้าก็ร่วงลงมา ฟาดเปรี้ยงลงกับพื้น แผ่นปฐพีสะเทือนเลื่อนลั่น แปรเปลี่ยนจุดที่ดวงตะวันร่วงตกให้กลายเป็นทะเลเพลิง
ฉีเจี่ยวอี๋ขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวก็คลายออก
เทพครองดาวตะวันตายลงไปนั้นสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เทพครองดาวตะวันนั้นเป็นผู้ช่วยที่เขาเชื้อเชิญมาจากโลกปุถุชนแห่งนี้ เพราะถึงอย่างไรเทพครองดาวตะวันก็อยู่ที่โลกมนุษย์นี้มานาน และมีความรู้ด้านสถานที่และภูมิประเทศ
เป้าหมายที่ฉีเจี่ยวอี๋เชื้อเชิญเทพครองดาวตะวันมา นั่นก็เพื่อเสาะหาตัวฉินมู่ด้วยความสามารถของเขา ในเมื่อตอนนี้พบตัวฉินมู่แล้ว เทพครองดาวตะวันจะเป็นหรือตายก็ไม่สลักสำคัญ
คนแล่เนื้อก้าวออกมาหนึ่งก้าว แบกมีดยาวและมีโลหิตของเทพครองแดนตะวันแปดเปื้อนร่าง ทำให้ร่างกายเขาลุกติดไฟ แต่ในเมื่อเขาครอบครองกายาวิญญาณหงส์แดง บาดแผลพวกนี้จึงเป็นเรื่องเล็ก
“สมใจนัก!”
หน้าอกของคนแล่เนื้อฉีกแยกออกเป็นรูปใหญ่ เห็นหัวใจที่เต้นอยู่ข้างหลังซี่โครง ต่อสู้กับเทพครองดาวตะวัน เขาก็ไม่ได้ไร้รอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “คลุ้มคลั่งมาหลายปี ได้ซัดออกไปหนึ่งมีด สมใจแม่มันจริงๆ!”
นักปรุงยารีบก้าวเข้าไป มองไปที่บาดแผลของเขา ขมวดคิ้ว “คนแล่เนื้อ เจ้าเกือบตายละนะ ยังจะมาสมใจอะไรอีก บาดแผลของเจ้ามีเศษซากทักษะเทวะของเทพครองดาวตะวันอยู่ ข้าไม่อาจขับมันออกไปให้กับเจ้า ระวังให้ดีๆ เผลอๆ จะระเบิดหัวใจตัวเองตายไปก่อน เจ้าไม่ใช่ซิงอ้านที่เปลี่ยนหัวใจก็ยังมีชีวิตรอด เจ้าเข่นฆ่าจนสาสมแก่ใจ แต่ก็เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง ไม่ควรจะทำตัวมุทะลุแบบนี้”
“เพลงมีดไหนเลยจะเต็มไปด้วยการพลิกแพลงเปลี่ยนแปรเหมือนเพลงกระบี่ เพลงมีดที่แท้จริงก็พุ่งไปตรงๆ วกกลับมาตรงๆ หนึ่งกระบวนท่าตัดสินเป็นตาย รับมือได้ก็รอด! ต้านรับไม่ได้ก็ตาย! ง่ายดายเช่นนี้แหละ!”
คนแล่เนื้อเสียบมีดเก็บไว้ที่ฝัก กู่ร้องออกมาคราหนึ่ง แสงมีดเล็กๆ ในบาดแผลเปล่งประกายระยิบระยับ เศษซากทักษะเทวะของเทพครองดาวตะวันถูกลบล้างไปในทันที เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่ก่อนนั้นเพลงมีดของข้าเพริศแพร้วพิสดาร เน้นไปที่ความซับซ้อนและหลากหลายพลิกแพลง แต่หลังจากที่เพลงมีดเข้าสู้เต๋า มันก็กลับสู่สามัญ ก่อนหน้านั้น ลมฝนราตรีทลายเมือง และตะวันทะเลบูรพาคลื่นซัดร้อยระลอก ล้วนแต่ยุ่งยากจนเกินไป บัดนี้กระบวนท่ามีดยาวห้อยใต้แสงจันทร์สกาว และมีดเปิดจันทร์เพ็ญทรงกลด กลับเรียบง่ายกว่ามาก”
ฟู่ยื่อลัวมองไปซ้ายขวา ระหว่างที่กล่าวกับผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารมากมาย “จดจำคำของเขาไว้ ในเมื่อมันมีเหตุมีผลเป็นอย่างยิ่ง เวทมนตร์ ทักษะเทวะ วิชาบู๊ พวกเจ้าจะต้องขัดเกลาให้มันเรียบง่ายสามัญในอนาคต”
“แต่ทว่า เขาไม่ได้ดิ่งลงไปที่ความหยาบทื่อ ความเรียบง่ายของเขาขัดเกลาออกมาจากความซับซ้อน ดังนั้นเส้นทางไปยังความซับซ้อนก็ยังต้องเดิน หากว่าเจ้าไม่ผ่านประสบการณ์ของความซับซ้อน เจ้าก็จะไม่อาจตรึกตรองเข้าใจความสามัญ ที่ว่ากันว่าเรียบง่ายนั้นก็คือการรวบรวมพละกำลังและมรรคาของเจ้าทั้งหมดให้กลายเป็นเส้นเดียว”
ผู้ฝึกวิชาเทวะมารเหล่านั้นเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ กระนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ผงกหัวตกลง
ฉินมู่ได้ยินที่ฟู่ยื่อลัวกล่าว และก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาเช่นกัน ‘ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของฟู่ยื่อลัวยิ่งใหญ่จริงๆ และเขาก็เป็นปรมาจารย์อันโดดเด่นเหนือธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาจึงบรรลุเป็นมารเที่ยงแท้ เป็นมหาราชาที่เผ่ามารยกย่องนับถือ เมื่อสร้างรังสรรค์กระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติ ข้าก็ก็บรรลุความเรียบง่ายจากความซับซ้อน ความเรียบง่ายที่ว่ากันนั้นไม่เรียบง่ายเลยสักนิด เพลงกระบี่อาจจะดูเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วมันขับเคลื่อนพละกำลังทั้งหมด และร้อยรัดแง่อัศจรรย์ทั้งหมดของมรรคาเอาไว้ด้วยกัน ดังนั้นพลานุภาพจึงเหนือธรรมดา
ทักษะเทวะทั่วไปสามารถช่วงใช้พละกำลังของคนผู้หนึ่งสักสองหรือสามส่วน สาเหตุที่พวกมันดูแข็งแกร่งก็เพราะว่าร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว ยกตัวอย่างเช่น มือซ้ายและมือขวาของแต่ละคนอาจจะมีกำลังข้างละหนึ่งร้อยชั่ง ขาแต่ละข้างก็มีกำลังข้างละหนึ่งร้อยชั่งเช่นกัน แต่เมื่อคนผู้นั้นต่อยออกไปก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังทั้งหนึ่งร้อยชั่งออกไปได้
และพละกำลังของร่างกายผู้ฝึกวิชาเทวะยิ่งซับซ้อนกว่า มันมีพละกำลังกลุ่มหนึ่งจากปราณและโลหิต กลุ่มหนึ่งจากเส้นเอ็น กลุ่มหนึ่งจากจิตวิญญาณดั้งเดิม กลุ่มหนึ่งจากสมบัติเทวะ และยังมีกลุ่มที่มาจากรอยประทับอักษรรูนที่แตกต่างกันออกไป
ก็ต่อเมื่อปลดปล่อยพลังทั้งหมดเหล่านี้ คนผู้นั้นจึงจะสามารถใช้ทักษะเทวะ
ทักษะเทวะที่ยอดเยี่ยมอันสามารถปลดปล่อยพละกำลังได้ห้าถึงหกส่วนก็คือนับว่าไม่ธรรมดาและหายาก มีก็แต่สร้างสรรค์ทักษะที่เหมาะสมกับตนเองเท่านั้น ผู้ใช้จึงจะปลดปล่อยพละกำลังของตนเองได้มากกว่าเดิมเมื่อพวกเขาตรึกตรองทักษะเทวะอันบรรลุสู่เขตขั้นเต๋า ปริมาณพละกำลังที่พวกเขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็จะน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด แน่นอนว่า พละกำลังในทั่วสรรพางค์กายก็จะถูกรีดเร้นช่วงใช้
ความซับซ้อนนั้นเป็นขั้นตอนของการค้นพบพละกำลังทุกชนิดในร่างกายของตน เพื่อให้มันสามารถถูกขับเคลื่อนออกไปได้
“ความเข้าใจของฟู่ยื่อลัวไม่เลวเลย” ฉีเจี่ยวอี๋เอ่ยชม
ฉินมู่มองไปที่เขาและกล่าวชม “ความรู้ของพี่ฉีก็ไม่เลวเช่นกัน”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มน้อยๆ
นักปรุงยาตรวจดูบาดแผลของคนแล่เนื้อ และใช้เข็มเงินเพื่อดึงเอาพิษอัคคีออกมา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอยแผลแค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก มู่เอ๋อ ให้เจ้าอ้วนของเจ้ามาเลียซิ เขาเพียงแต่ต้องการเพิ่มพูนการไหลเวียนโลหิตและฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้งอกกลับมาเท่านั้น”
มังกรอ้วนรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา และกล่าวอย่างพินอบพิเทา “ท่านปู่คนแล่เนื้อ มังกรน้อยจะเริ่มเลียให้ท่านล่ะนะ”
คนแล่เนื้อรีบมองไปทางฉินมู่ “มู่เอ๋อ เจ้ามีเหลือในขวดบ้างไหม”
“น้ำลายมังกรสดใหม่จะดีที่สุด ที่เก็บไว้ในขวดไม่สดใหม่ และแผลของเจ้าก็จะหายช้ากว่ามาก!” นักปรุงยากล่าวอย่างหนักแน่น
คนแล่เนื้อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พี่ฉิน เทพครองดาวตะวันได้สะสางข้อพิพาทของเขาแล้ว และอาการบาดเจ็บของดาบสวรรค์ก็ไม่อันตรายอีกต่อไป ดังนั้นจิตใจของเจ้าน่าจะสงบลงแล้วสินะ?” ฉีเจี่ยวอี๋มองไปที่ฉินมู่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น่าถึงเวลาของพวกเราล่ะ”
ฉินมู่กำลังจะอ้าปาก แต่ทันใดนั้นแสงมีดก็สาดส่อง มันแยกออกจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เป็นแปด และแยกต่อไปอีกเรื่อย!
เจ๋อหัวหลี!
ฉินมู่จิตสะท้านเล็กน้อย และแสงมีดที่เกลื่อนฟ้านั้นก็พลันรวมรวมเข้าด้วยกันใหม่ แปรเปลี่ยนเป็นแสงมีดเส้นเดียวที่ฟันลงมา ไม่ว่ามีดนั้นจะผ่าไปที่ใด อากาศก็ถูกฉีกแยกออกเป็นสองเสี่ยง!
ฟู่ยื่อลัวสะบัดแขนเสื้อของเขา และผลักทุกคนในเส้นทางแสงมีดออกไป แสงมีดพุ่งมาจากระยะสิบลี้ และมันพุ่งตรงมายังฉีเจี่ยวอี๋!
ม่านตาของเด็กหนุ่มหดแคบ แต่เขาก็ผ่อนคลายปล่อยให้แสงมีดตรงมายังเขา
มันพลันเขย่าและแยกออก แปรเปลี่ยนเป็นแสงมีดหลายสิบเส้นที่ฟาดฟันลงมายังฉีเจี่ยวอี๋ราวกับนกยูงรำแพนหาง แต่กระนั้นมันก็รวบรวมกลับเข้ามาด้วยกันมาใหม่ที่ปลายจมูกของฉีเจี่ยวอี๋อย่างพอดิบพอดี
แสงมีดสลายไป จากระยะสิบลี้นั้น เจ๋อหัวหลีเสียบดาบมารกลับเข้าไปข้างหลัง แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและก้าวอาดๆ ด้วยเท้ายาวๆ เห็นได้ชัดว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาลำบากตรากตรำไม่น้อยเพียงเพื่อจะทลายฝ่าขีดจำกัด
คนแล่เนื้อมองไปที่เจ๋อหัวหลีและพลันถอนหายใจขึ้นมา “ศิษย์ของข้าสองคน หนึ่งนั้นไปเดินตามแนวทางเวทมนตร์บู๊ อีกหนึ่งก็ตรึกตรองบรรลุเต๋ากระบี่ ไม่มีใครเลยที่สำเร็จแก่นแท้ของเพลงมีด กระนั้นคนผู้นี้ซึ่งเพียงเห็นเพลงมีดข้าแค่ครั้งเดียวกลับตรึกตรองเข้าใจแก่นแท้ได้”
อธิการบดีป้าซานหน้าแดงสดใส ส่วนฉินมู่กล่าวโดยปราศจากความละอายด้วยเสียงอันเยือกเย็นและมั่นใจ “เพลงกระบี่ของข้าได้บรรลุเขตขั้นเต๋า ข้านั้นมีความหวังกว่าศิษย์พี่ป้าซาน และผู้ใหญ่บ้านจะต้องดีใจมากๆ”
ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เจ๋อหัวหลีและอุทาน “เจ๋อหัวหลี เจ้าสำเร็จการเล่าเรียนกับข้าแล้ว!”
เจ๋อหัวหลีโค้งกายคารวะและกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นเขาก็ยืดตัวจรง และสายตาอันคมกล้าของเขาก็ตกลงบนฉินมู่ ก่อนจะเลื่อนไปยังใบหน้าของฉีเจี่ยวอี๋ แสงมีดในดาวตาของเขาเต้นระริก “ฉินมู่เป็นของข้า หากว่าเจ้าต้องการสังหารเขาก่อนข้า ข้าก็จะสังหารเจ้าก่อน”
เฒ่าเป๋แตกตื่น “มู่เอ๋อ เจ้านี่เนื้อหอมจริงๆ”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำทันที
“เจ๋อหัวหลี เจ้าเป็นศิษย์ของแม่ทัพสูงส่งลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วงั้นหรือ ข้าเห็นร่องรอยของลั่วอู๋ชวงในเพลงมีดของเจ้า เขานั้นรับหน้าที่สั่งสอนชนรุ่นเยาว์แห่งทัพหลิงซิ่วในสภาสวรรค์ ก็ดีอยู่ที่เจ้าได้รับการสั่งสอนอันเที่ยงแท้จากเขา แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
เจ๋อหัวหลีส่ายหน้า “ข้าไม่ว่างไปไต่ถามเจ้าหรอกว่าเจ้าคือใคร หากว่าเจ้าหมายจะสังหารเขา เจ้าก็จะต้องตายก่อน”
ฉีเจี่ยวอี๋ส่ายหัวเช่นกัน “ศิษย์ของลั่วอู๋ชวง ไม่ใช่ว่าเจ้ามองกำลังฝีมือของตนเองสูงล้ำเกินจริงไปหน่อยหรือ เจ้าเพิ่งตรึกตรองเจ้าใจแค่กระบวนท่าเดียวที่ทำให้เจ้าเดินออกมาจากเงาของลั่วอู๋ชวงได้ และเจ้าก็ถึงกับคิดว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเชียว? พี่ฉิน เจ้ายังอยากเห็นข้าต่อสู้กับยอดฝีมือฝ่ายมารอยู่หรือไม่ ให้ข้าประทานโอกาสนั้นแก่เจ้าหน่อยละกัน”
ฉินมู่หรี่ตา เขารู้สึกถึงบรรยากาศอันตรายแผ่ออกมาจากเด็กหนุ่มใกล้ๆ เขา!
ราวกับว่ามีสัตว์ร้ายบรรพกาลที่กำลังค่อยๆ ลืมตาตื่นในร่างกายของฉีเจี่ยวอี๋!
ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายกับเมื่อมังกรแท้เป็นผู้ขับเคลื่อนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา แต่ฉีเจี่ยวอี๋มิใช่มังกรอย่างแน่นอน เขานั้นน่าจะเป็นนกหงส์เพลิงเสียมากกว่า!
แย่ล่ะ! ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง ฉีเจี่ยวอี๋ฝึกวิชาที่สามารถไปถึงบัลลังก์จักรพรรดิได้!
โดยที่เขาไม่รู้ตัว เฒ่าเป๋ปรากฏข้างหลังเขา และแนะนำอย่างใส่จิตใส่ใจ “มู่เอ๋อ เจ้าควรจะเป็นคนขลาดบ้างเมื่อถึงเวลาที่ควรขลาด และหนีเมื่อถึงเวลาที่ควรหนี เชื่อคำสอนของปู่เป๋คนนี้สิ รับรองว่าไม่มีผิดพลาด”
ฉินมู่พลันตื่นเต้นขึ้นมา และกำหมัดแน่น เสียงของเขาแหบพร่าลงไปเล็กน้อย “ท่านปู่เป๋ เข้ายังไม่เคยได้กระทืบใครที่ฝึกวิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิมาก่อนเลย!”