ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 602 รองเท้าปักลายคู่หนึ่ง
“พวกเขาเหมือนกับข้า คนที่น่าจะตายไปตั้งนานแล้ว พวกเราน่าจะตายไปในสนามรบเมื่อสองหมื่นปีก่อน พวกเราเพียงแต่ดิ้นรนมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้เพราะสถานการณ์บีบบังคับ”
นักบุญคนตัดไม้วางขวานเอาไว้ข้างๆ และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ฟู่ยื่อลัว เจ้ารู้หรือไม่ หากว่าเป็นยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง มารเทวะตัวเล็กตัวน้อยอย่างเจ้ากระโดดขึ้นมาแบบนี้ ก็คงจะถูกส่งไปยังแท่นประหารเทพเพื่อตัดหัวนานแล้ว แต่ทว่า ปัจจุบันนั้นแตกต่างไปจากอดีต ข้านับถือเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และข้าก็รู้ดีถึงฝีมือความสามารถและแผนการของเจ้า เมื่อเจ้ามิได้ใช้ผู้คนจากสภาสวรรค์มาผสมโรงด้วย และใช้เพียงกำลังตนเองเท่านั้นบุกโจมตีสวรรค์ไท่หวง ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ต้องการอยู่ใต้การปกครองของใคร เจ้ามีความทะเยอะทะยานและปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตนเอง เจ้าหมายที่จะใช้สวรรค์ไท่หวงเป็นกระดานดีดเพื่อกระโดดไปยังสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้านั้นมิใช่น้อยเลยจริงๆ”
ฟู่ยื่อลัวยิ้มนิดๆ “ในโลกนี้ ชายชาตรีจะไม่มีความทะเยอทะยานได้อย่างไร หากว่าใครไม่มี เขาจะแตกต่างอะไรกับปลาแห้งที่ตากเอาไว้”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เจ้าไปยังยึดครองสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เจ้าจะถูกกวาดล้างไหม นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตายหมาล่าเนื้อถูกฆ่า เจ้าควรจะเข้าใจเรื่องนี้ ใช่ไหม เมื่อเจ้าบุกโจมตีไปจนถึงแดนโบราณวินาศ ในวินาทีที่เจ้าทำลายล้างสันตินิรันดร์ก็จะเป็นจุดจบของเจ้าและสหายร่วมเผ่าพันธุ์ด้วยเช่นกัน ภัยพิบัติล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้าอยู่ห่างไปแค่องคุลี ด้วยฉายานามของเจ้าฟู่ยื่อลัว ปราชญ์ทรงปัญญาแห่งเผ่ามาร เจ้าคงไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจมันหรอก ข้าพูดถูกไหม”
ฟู่ยื่อลัวหันคอของตนเมื่อเขาเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่อยู่ทางขวา “นักบุญช่างเชี่ยวชาญในการโจมตีหัวใจ เจ้าดูเหมือนกังวลห่วงใยแทนข้า แต่จริงๆ แล้วเจ้ากำลังละเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ข้าเข้าใจเหตุผลของเจ้า แต่ข้าก็รู้ว่าข้าจำเป็นจะต้องแสวงหาหนทางอยู่รอดให้แก่ผู้คนของข้า ส่วนสำหรับว่าสภาสวรรค์จะกวาดล้างพวกข้าหรือไม่นั้น ก็ยังเป็นแค่ความเป็นไปได้ อย่างมากข้าก็คงยอมก้มหัวกลายเป็นสุนัขรับใช้ สภาสวรรค์คงไม่ลดตัวลงมาฆ่าสุนัขหรอก จริงไหม”
ใบหน้าซ้ายของเขาแย้มยิ้มและกล่าว “ผู้คนมีชีวิตอยู่ในโลกย่อมต้องยืดได้หดได้ พี่ทางเต๋า หากว่าเจ้ายังคงยืนกรานที่จะใช้สวรรค์หลัวฝูข่มขู่ข้า ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องสังหารเจ้า เดี๋ยวก็ย่อมจะมีผู้ที่จะมาสังหารเจ้าแทน พี่ทางเต๋า หากว่าเจ้าจะยืดหดบ้างสักหน่อย มันจะเป็นอะไรไป”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “หากว่าข้าอยากจะไปเป็นสุนัข ข้าก็คงทำอย่างนั้นไปตั้งแต่เมื่อสองหมื่นปีก่อนแล้ว หากว่าข้าสามารถยืนตรงและมีชีวิตอยู่ได้ ข้าก็คงไม่ลงไปหมอบคลาน”
สายตาของฟู่ยื่อลัววูบไหว “แต่หลังจากที่ผู้คนตายไปมากกว่านั้น เจ้าก็จะยังลงเอยด้วยการนอนแผ่เหมือนกับหมาตายอยู่ดี”
นักบุญคนตัดไม้ยิ้มกล่าว “ข้าไม่กลัวที่จะแหลกสลายพ่ายแพ้ ข้ายินดีที่จะตายอย่างน่าสังเวชยิ่งกว่านั้น ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายแผ่อยู่กับพื้นหรอก ในก่อนหน้านั้น เจ้าได้เสนอให้ข้าปล่อยบางส่วนของสันตินิรันดร์ให้แก่เผ่ามารของเจ้า บัดนี้เมื่อฉินมู่อยู่ที่นี่ ข้าสามารถตอบเจ้าได้…”
สีหน้าของเขาพลันเย็นเยียบ “ตราบเท่าที่พวกเรามีชีวิตอยู่ พวกเราก็จะไม่ยอมถอยให้แม้แต่ตารางนิ้วหนึ่งของดินแดนจักรพรรดิก่อตั้ง!”
สีหน้าทั้งสามของฟู่ยื่อลัวพลันกลายเป็นเคร่งขรึม เขากล่าวตอบไปด้วยเสียงเย็นชา “งั้นพวกเราก็คงตกลงกันไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น มาลงนามสัตยาบันภูติบดีเถอะ!”
เขายกพู่กันขึ้นและเขียนถ้อยคำลงในสัตยาบัน เขายกมือขึ้นอย่างแผ่วเบา และกระดาษก็ลอยไปทางนักบุญคนตัดไม้ นักบุญคนตัดไม้ก็เขียนสัตยาบันของตนเองเช่นกันและแลกเปลี่ยนกระดาษกับเขา
ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบสัตยาบันซึ่งกันและกัน ดูว่ามีช่องโหว่อะไรหรือไม่ จากนั้นพวกเขาก็ใช้พู่กันเพื่อเปลี่ยนแปลงบางวรรค แล้วจึงแลกกันดูอีกครั้ง พวกเขาตรวจทานอย่างระมัดระวังและปรับแก้จุดที่พวกเขายอมรับไม่ได้
พวกเขาทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายยอมรับเนื้อหาของสัตยาบัน
ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนและกล่าวสัตยาบัน ฟู่ยื่อลัวใช้ภาษามารขณะที่นักบุญคนตัดไม้ใช้ภาษาเทพ ทั้งสองภาษาดังก้องออกมาในเวลาเดียวกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยทฤษฎีและแง่อัศจรรย์อันลึกล้ำ ทั้งสองเสียงถึงกับโจมตีซึ่งกันและกัน!
ฉินมู่เชี่ยวชาญทั้งสองภาษา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นภาษามารหรือภาษาเทพ เขาก็เข้าใจทั้งคู่ และพลันตกอยู่ในภวังค์
ห้วงมิติพลันสั่นสะเทือน และภูเขาใต้เท้าของพวกเขาก็สั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ คนบนแท่นสังเวยรีบยืนตั้งหลักให้มั่น ข้างล่างแท่นสังเวย ยายเฒ่าซีและเสือเทพยดาขนดำกำลังประจันหน้ากับมารเทวะอีกสองตน พื้นดินใต้เท้าพวกเขาก็ลอยขึ้นมาเอง เทพทั้งสี่ตั้งหลักตนเพื่อมิให้ถูกฉวยโอกาสโจมตี
ยายเฒ่าซีโงนเงนไปซ้ายและขวา วรยุทธของนางเหมือนจะยังขาดพร่องอยู่เมื่อนางเซถอยไปหลายก้าว หนึ่งในรองเท้าปักลายของนางร่วงลงโดยบังเอิญ ดังนั้นนางจึงได้แต่พยายามยืนให้มั่นด้วยเท้าเปลือยหนึ่งข้าง
สายตาของมารเทวะตนหนึ่งเบื้องหน้านางเป็นประกาย ไม่ทันที่นางจะได้ตั้งตัว เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อหยิบเอารองเท้าปักลายที่ตกอยู่ขึ้นมา มารเทวะถือมันไว้ในมือพลางมองไปที่เท้าขาวๆ ของยายเฒ่าซี เขาหัวเราะในคอและยกรองเท้ามาใต้จมูกเพื่อสูดดมกลิ่น
ยายเฒ่าซีสะดุ้ง นางยื่นมือออกไปพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “คืนมันมาให้ข้า!”
มารเทวะนี้หัวเราะอีกครา และเก็บรองเท้านั้นไว้ในอกเสื้อของตน “ข้าเอ็นดูโฉมสะคราญน้อย ข้าจะเก็บนี่เอาไว้”
ยายเฒ่าซียิ่งเดือดดาล นางนำรองเท้าอีกข้างออกมาแล้วเขวี้ยงใส่เขา “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นมารเทวะ ตัวตนอันสูงส่งเหนือผู้คน เจ้าจะมาก้อร่อก้อติกแบบนี้ได้อย่างไร”
มารเทวะยกมืออีกข้างเพื่อคว้าจับรองเท้า เขาจ้องไปที่เท้าเปลือยขาวผ่องทั้งคู่ของนาง เขาหัวเราะและกล่าว “ยอดเยี่ยม! ตอนนี้ข้าก็มีครบคู่! โฉมสะคราญน้อยช่างบอบบางน่าถนอมนัก ข้าเองก็มีเมียน้อยจากเผ่ามนุษย์ หากว่าเจ้าเชื่อฟังข้า ข้าจะให้เจ้าได้เป็นเมียหลวง ข้าจะกลับไปที่บ้านและกินนังแก่หนังเหี่ยวของข้าเสีย!”
ยายเฒ่าซีหัวเราะรื่นและตอบไป “หากว่าเจ้ากินนังแก่หนังเหี่ยวของเจ้า ข้าก็ยังต้องกังวลว่าเมื่อข้ากลายเป็นนังแก่หนังเหี่ยวบ้าง ก็คงมีแต่จะโดนเจ้ากิน! เจ้าสวมรองเท้าเล็กๆ นี่ของข้าไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าเอามันไปเถอะ”
เสือเทพยดาขนดำขมวดคิ้วและคิดในใจ หญิงผู้นี้มาจากไหน คำพูดของนางชวนให้สับสนปั่นป่วน และนางถึงกับเกี้ยวพาราสีกับมารเทวะตนนี้ นางนี่ก็เป็นคนที่ไว้วางใจไม่ได้เหมือนกับศิษย์น้องฉิน!
รอบข้างถูกครอบงำไปด้วยความมืดอันเข้มข้น ทันใดนั้น แสงจากเพลิงไฟก็สาดส่องมาจากความมืด ขณะที่เขาคมกริบคู่หนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากความมืดข้างใต้แท่นสังเวย
บริเวณโดยรอบแท่นสังเวยมืดดำราวกับรัตติกาล เขาคู่เก้าบิดสิบแปดโค้งนั้นสูงเยี่ยมถึงชั้นเมฆ สูงเสียยิ่งกว่าแท่นสังเวย
หัวใจของเทพเสือขนดำแตกตื่นอย่างหนัก ค้อนในมือของเขาหลุดร่วงลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ เขารีบหยิบมันขึ้นมาและเงยศีรษะมองดูเขาคมคู่นี้ที่ยังคงผุดขึ้นจากความมืดอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปครู่หนึ่ง รูปเงาของภูติบดีก็เผยศีรษะของตน เขาคมกริบคู่นี้ได้ชี้ไปสูงถึงระดับเดียวกับดาวเคราะห์ที่ลอยอยู่ในอวกาศข้างนอก
ใบหน้าพยัคฆ์ร้ายของภูติบดีซ่อนอยู่ในความมืดขณะที่เพลิงไฟในดวงตาของเขาทำให้ใบหน้ามีแสงวาบเป็นระยะ แท่นสังเวยอันใหญ่อลังการก็ถูกส่องแสงให้สว่างเป็นพักๆ จากสายตาของเขา
ภูติบดีรออยู่อย่างเงียบงันให้พวกเขาอ่านสัตยาบัน
นี่เป็นเพียงรูปเงา มิใช่ภูติบดีตัวจริง มันเป็นเพียงพลังอำนาจของเขาที่ฉายส่องมาในโลกแห่งนี้เพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อการทำสัตยาบันของสองยอดฝีมือ
ภูติบดีมิได้จุติลงมาด้วยตนเอง ก็เพราะว่ากายเนื้อของเขากว้างใหญ่ไพศาลจนเกินไป หากว่าเขาจุติลงมาจริงๆ โลกอันเปราะบางนี้ก็จะไม่อาจรองรับได้
ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมา และโบกไม้โบกมืออย่างคึกคักให้แก่รูปเงาของภูติบดี
แต่ทว่า รูปเงาของภูติบดีนั้นเคร่งขรึม ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ยังคงโบกมือไปมาอย่างตื่นเต้นพลางตะโกนไป “ข้าเอง! นี่ข้าเอง! ภูติบดี พวกเราเคยพบกันมาก่อน! ข้าคือฉินเฟิงชิง! ท่านยังปิดผนึกข้าอีกต่างหาก!”
ภูติบดีไม่สนใจเขาต่อไป
แต่กระนั้น ฉินมู่ก็ยังโบกมืออย่างคึกคัก
หางตาของภูติบดีกระตุก “สำรวมหน่อย! อย่าพูดกับข้า ข้ากำลังทำธุระ!”
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีหันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง หัวใจของพวกเขาสะท้านสะเทือนอย่างแรง
ฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้อ่านสัตยาบันเสร็จ จากนั้นก็ลงนามในสัตยาบันภูติบดี ศีรษะอันน่าเกรงขามของภูติบดีปรายตามองฉินมู่ ผู้ซึ่งรอที่จะสนทนากับเขาอย่างตื่นเต้น
ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเขาเดินเข้าไปเพื่อคารวะทักทายภูติบดี
ภูติบดีไม่สนใจเขา เขากล่าวแก่ฉินมู่ “อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็ค่อยๆ จมหายลงไปในความมืดและหายลับไปในที่สุด ทิ้งฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋ไว้บนแท่นสังเวย
เมื่อเขาคมกริบของเขาหายลงไปในพื้นอย่างสิ้นเชิง ความมืดก็กระจัดกระจายออกไป และบริเวณโดยรอบก็กลับมาสว่างไสว
นักบุญคนตัดไม้จ้องไปที่ฉินมู่ ฟู่ยื่อลัวก็จ้องไปที่ฉินมู่ ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็จ้องที่ฉินมู่เขม็ง
ภูติบดีนั้นมีภาพลักษณ์ที่เคร่งขรึมสูงศักดิ์ของผู้ถือครองอำนาจเหนือความเป็นและความตาย เขาไม่เคยสนทนาสัพเพเหระกับใคร ทุกๆ ครั้งที่ยอดฝีมือกระทำสัตยาบัน พลังอำนาจของเขาก็จะฉายส่องมาเป็นประจักษ์พยาน รัศมีเช่นนี้ทั้งมืดมิดและน่าสะพรึงกลัว ทำให้ผู้คนไม่อาจหายใจ
คราวนี้ ไม่เพียงแต่รูปเงาของภูติบดีจะสนทนา เขายังดูคุ้นเคยกับฉินมู่อีกต่างหาก เพราะอย่างนั้น ผู้คนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าหากไปทำสัตยาบันภูติบดีกับฉินมู่ ภูติบดีจะลำเอียงหรือไม่
สาเหตุที่ภูติบดีเป็นตัวตนอันผู้คนใช้สบถสาบาน ก็เพราะว่าเขาไม่มีความเห็นแก่ตัวและความลำเอียง หากว่าเขามี นั่นคงจะน่าสะพรึงกลัว
“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหายน้อยฉินกับภูติบดีจะไม่เลวเลยทีเดียว”
ฉินมู่ปิดดวงตาทั้งสามและไม่มองไปที่เขา เขาแค่นเสียง “หากว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อันดี ทำไมเขาถึงต้องปิดผนึกข้าด้วย”
ฟู่ยื่อลัวคลายใจลง เขาพลันนึกถึงจี้หยกของฉินมู่ ลึกๆ ในใจ เขารู้สึกหวาดผวา จี้หยกนั่นคือเวทปิดผนึกของภูติบดีงั้นหรือ ข้าได้สะกดข่มเวทปิดผนึกในวันนั้น ก็เลยทำให้ราชามารหลุดออกมางั้นหรือ
เขาพลันกระจ่างใจขึ้นมาและก้อนหินในหัวใจของเขาก็วางลงไปกับพื้น ภูติบดีปิดผนึกเขาด้วยตนเอง ดังนั้นดูเหมือนว่าเขาคงไม่มีทางหลุดออกมาจากผนึกได้ ตอนนี้ข้าก็คงสบายใจได้แล้วเวลาจัดการกับเขา เพียงแต่ว่าไอ้เด็กนี่มันไม่กล้ามองมาที่ข้าอีกต่อไป
ในจังหวะนั้นเอง เสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากข้างล่าง และทุกคนบนแท่นสังเวยก็ประหลาดใจ พวกเขารีบมาที่ขอบและมองลงไป
พวกเขาเห็นมารเทวะตนหนึ่งกอดขาของตนเองและกลิ้งเกลือกไปรอบๆ ด้วยความเจ็บปวด บนเท้าของมารเทวะตนนั้นคือรองเท้าปักลายอันเล็กและบอบบางคู่หนึ่ง รองเท้านี้มีขนาดเพียงแค่สามนิ้วและมันเต็มไปด้วยเข็ม อันทิ่มแทงเข้าไปในเท้าของมารเทวะและทำให้เลือดโซมไปหมด
ร่างกายของมารเทวะบางครั้งก็เล็ก บางครั้งก็ใหญ่ เมื่อเขาพยายามที่จะดิ้นให้หลุดออกจากรองเท้า แต่โชคร้ายที่ว่า มันมีแต่จะหดเล็กลงและไม่ขยายใหญ่ขึ้น ในตอนนี้ กระดูกที่เท้าของเขาแหลกละเอียดไปหมดแล้ว ความเจ็บปวดนั้นเกินจะบรรยาย
ตรงข้างๆ เทพเสือขนดำและมารเทวะอีกตนมองไปที่ยายเฒ่าซีด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้
“กระดูกในเท้าทั้งสองของเจ้าแหลกละเอียดหมดแล้ว”
ยายเฒ่าซีกล่าวอย่างร่าเริงและแนะนำเขาด้วยเสียงอันนุ่มนวลและอ่อนโยน “ตัดพวกมันทิ้งเสีย เมื่อเข็มพวกนี้แล่นไปถึงหัวใจหรือปอด หรือแม้กระทั่งสมอง มันก็จะสายเกินไปนะ”
มารเทวะตัวสั่นเทิ้มจากความเจ็บปวดและกัดฟันแน่น เขาร้องเสียงลอดไรฟัน “เจ้าหลอกข้าให้สวมใส่รองเท้าคับของเจ้า…”
ยายเฒ่าซีกล่าวด้วยความตกอกตกใจ “เจ้าอยากจะใส่พวกมันเอง ข้าไปหลอกเจ้าตั้งแต่ตอนไหนกัน”
บนแท่นสังเวย ฟู่ยื่อลัวเลิกคิ้วของเขาและยิ้มหยันแก่นักบุญคนตัดไม้ “นี่คือศิษย์ของเจ้าอีกคนงั้นรึ นางก็ไม่ต่างอะไรกับพี่ทางเต๋าท่าน ทำร้ายผู้คนด้วยการลอบแทงข้างหลัง!”
นักบุญคนตัดไม้ก็แตกตื่นนิดๆ และส่ายหัวไปมา “ข้าไม่นับว่านางเป็นศิษย์ของข้า แต่ปฏิภาณไหวพริบของนางนั้นเทียบเท่ากับข้า”
ฟู่ยื่อลัวแค่นเสียง เสียงของเขาดังไปถึงตีนแท่นสังเวย “มูถูลัว ทักษะเทวะของเจ้าไม่เพริศแพร้วประณีตพอ เจ้าไม่อาจสยบเข็มของนางเอาไว้ได้ ยิ่งเจ้าปล่อยไว้เนิ่นช้ามากเท่าไร ชีวิตเจ้าก็ยิ่งตกอยู่ในอันตราย ตัดขาทั้งสองของเจ้าออกเสีย”
มูถูลัวนั้นกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสะกดข่มเข็มเย็บผ้าที่ไหลอยู่ในเส้นโลหิตของเขา พวกมันเล็กบางเสียจนยากที่จะตรวจจับได้ กระนั้นก็ยังว่องไวราวกับกระบี่ละเอียด มุดเข้าไปในเส้นเลือดต่างๆ ของเขา เขาใช้ปราณชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นทักษะเทวะมากมายเพื่อขัดขวางเข็มพวกนี้ แต่ถึงอย่างไร เพราะสนามรบคือร่างกายของเขาเอง เขาจึงไม่อาจช่วงใช้ทักษะเทวะที่ทรงพลังเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถขัดขวางเข็มเอาไว้
เขาได้ยินคำพูดของฟู่ยื่อลัวและกู่ร้องออกมา ด้วยน้ำตาที่เนืองนองเต็มหน้า เขาปาดน้ำตาออกก่อนที่จะสับลงไป สะบั้นน่องทั้งสองข้างของเขา
บนส่วนที่ขาของเขาถูกตัด เข็มเล็กละเอียดยิบมากมายหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ
“วิชาหลอมสร้างของเผ่าเทพวิศวกรรม!”
ฟู่ยื่อลัวเห็นวิธีการหลอมสร้างของเผ่าเทพวิศวกรรมแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และหัวใจของเขาก็ตื่นตระหนก เขาพลันจดจำได้ถึงช่างตีเหล็กเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ฉินมู่ เข็มเงินของยายเฒ่าซีจะต้องมาจากช่างตีเหล็กเฒ่าผู้นั้น!
“ช่างตีเหล็ก ช่างตัดเย็บ จิตรกร นักปรุงยา…ผู้คนแบบไหนกันนะที่ติดสอยห้อยตามอยู่รอบๆ ฉินมู่ผู้นี้” ฟู่ยื่อลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า