ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 603 ลากให้ตาย
เข็มเงินที่ออกมาจากบาดแผลของมูถูลัวกลับเข้าไปในรองเท้าปักลาย หายวับไปโดยไร้ร่องรอย มองไม่ออกเลยว่ามันเข้าไปซ่อนอยู่ตรงไหน รองเท้าปักลายคู่นั้นก็หลุดออกมาจากขาสองข้างที่ถูกตัด บินกลับเข้าไปในตะกร้าของยายเฒ่าซี
ยายเฒ่าซีนำเอาผ้าและส้นรองเท้าผ้าจำนวนหนึ่งออกมา จากนั้นก็ตัดเย็บรองเท้าปักลายคู่ใหม่ให้แก่นางเอง นางสวมใส่มันที่เท้าพลางส่ายหน้า “เจ้าทำให้รองเท้าข้าสกปรก แต่ก็ยังมีหน้ามาร้องครวญครางดังลั่น เผ่ามารนี่มีแต่พวกไร้เหตุผล เจ้าไม่ต้องการขาของเจ้าแล้วใช่ไหม ผิวหนังบนน่องของเจ้ายังคงดีๆ อยู่ รอยประทับบนนั้นเป็นลวดลายประดับธรรมชาติ ข้าสามารถใช้มันทำรองเท้าบูตได้หนึ่งคู่ เจ้าให้ข้าได้ไหม เจ้านี่ช่างแสนดีเสียจริง”
มารเทวะมูถูลัวร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด มือของเขาสั่นเทิ้มขณะที่พยายามปิดผนึกบาดแผลบนขาขาด เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น โทสะก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอัดอก “สตรีที่มีหัวใจร้ายกาจดุจอสรพิษและแมงป่อง! เจ้า อ๊ากกก–”
เขากระอักเลือดออกมากำหนึ่ง
ฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มพลางกล่าว “ความใคร่ขึ้นหัวก็เหมือนเอามีดแขวนไว้ข้างบนศีรษะ ที่มูถูลัวโดนสับนั้นเป็นความพลาดพลั้งของเขาเอง เจ๋อหัวหลี ลงไปข้างล่างกับพวกเขาและออกจากที่นี่ให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อเขาลงนามสัตยาบันภูติบดีแล้ว ข้าก็อยากจะมาสนทนาวิสาสะดีๆ กับครูสวรรค์กันสักตั้ง”
นักบุญคนตัดไม้ก็ยิ้มเช่นเดียวกัน “ฉินมู่ เจ้าควรลงไปเช่นเดียวกัน นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรอยู่”
ทุกคนตกตะลึง พวกเขารู้ว่าหลังจากที่ทั้งสองลงนามสัตยาบันภูติบดี พวกเขาก็จะไม่มีภาระหนักอกอีก และจะต้องท้าสู้ซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน!
ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี ฉีเจี่ยวอี๋ และคนอื่นๆ เดินลงไปจากแท่นสังเวย เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างเยือกเย็น “ครั้งก่อนนั้น ข้าพ่ายแพ้ให้แก่การร่วมมือกันของพี่ฉินและพี่ฉี ข้าไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนั้นได้ ดังนั้นข้าหมายที่จะท้าสู้พวกเจ้าทั้งสองอีกครั้ง”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา”
ฉินมู่เดินลงจากแท่นสังเวยด้วยก้าวอันว่องไว มุมปากเขายกขึ้น “เอาชนะเจ้าในครั้งนั้นเป็นโชคล้วนๆ ครั้งนี้ข้าคงไม่โชคดีแบบนั้น”
ฉีเจี่ยวอี๋สายตาวูบไหวและกล่าว “พี่ฉินนั้นเจ้าเล่ห์และมีกลเม็ดอันดี ข้าเห็นว่าเจ้าคุ้นเคยกับภูติบดีเป็นอย่างยิ่ง สนทนากันเรื่องเวทปิดผนึกบางอย่าง เจ้าสามารถเล่าข้าโดยละเอียดได้หรือไม่”
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นคว้าจับ ‘จี้หยก’ ที่ตรงหน้าอกของเขา เขาลดมือลงอย่างไม่ให้มีพิรุธ จากนั้นก็หัวเราะ “เวทปิดผนึกอะไร ข้าไม่เห็นจะได้พูดเรื่องนั้นเลยสักนิด”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มหยัน
ทั้งสามคนยังคงเดินลงจากแท่นสังเวย ก้าวลงไปพร้อมๆ กัน พวกเขาก็เหยียบย่างแต่ละขั้นบันไดในเวลาเดียวกัน เกรงว่าจะเผยแผ่นหลังและปล่อยปละการป้องกันต่ออีกฝ่าย
ฉินมู่รู้สึกยุ่งยากใจจนสีหน้าเขาเปลี่ยนไปมา สองคนนี้เรียนรู้จากความผิดพลาด ดังนั้นคงยากที่จะแทงพวกเขาจากข้างหลัง ทั้งคู่ถูกข้าหลอกมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว…
เสือเทพยดาขนดำปรายตามองสีหน้าของเขา เขาแค่นเสียงเฮอะ “ศิษย์น้อง สีหน้าเจ้าเปลี่ยนไปมาอีกแล้ว ระวังเถอะมันจะกระทบจิตเต๋าของเจ้า! นายท่านของข้าและฟู่ยื่อลัวกำลังจะต่อสู้กัน ดังนั้นพวกเราจึงควรไปให้ห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้ ไปกันเถอะ มูถูลัว อวี้ลัวชา พวกเจ้าจะไปด้วยกันกับพวกข้าหรือไม่”
เหงื่อเม็ดเป้งร่วงลงจากหน้าผากของมูถูลัวขณะที่เขาลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก “สตรีหัวใจงูร้ายและแมงป่องได้ทำลายขาข้าไปเสียแล้ว หากว่าข้าไม่ล้างแค้น ข้าจะมีหน้ากลับไปพบกับผู้คนของข้าได้อย่างไร”
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ผู้อาวุโส วิชาแพทย์ของข้านั้นล้ำเลิศ หากว่าผู้อาวุโสไม่ว่าอะไร ข้าสามารถช่วยท่านต่อขากลับเข้าไปใหม่ได้ แพทย์ย่อมปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความอาทรดุจบิดรมารดา ข้าไม่อยากเห็นใครได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหากว่าท่านสามารถหาขาที่เหมาะสมจากที่นี่ได้ ท่านสามารถสับมันออกและข้าจะช่วยท่านต่อให้ ข้ารับรองว่าท่านจะลุกขึ้นวิ่งปร๋อได้เลยทันที!”
สีหน้าของคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงเมื่อพวกเขาก้าวถอยหลังออกไปเพื่อมิให้มูถูลัวสับขาของพวกเขาออก
มูถูลัวสะกดกลั้นความเจ็บและหัวเราะในคอ “ไอ้เด็กผี เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้างั้นรึ ต่อให้ข้าสับขาของพวกเขาออกและให้เจ้าต่อให้ใหม่ เจ้าก็จะวางยาพิษข้า!”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ “แพทย์อาทรผู้ป่วยดุจบิดรมารดา–”
“เพ่ย! หุบปาก!”
ฉินมู่ถอนหายใจ สีหน้าของเขาดูชืดชา “ท่านไม่รู้ว่าหัวใจของข้าเมตตาขนาดไหน…ข้ารู้ว่าท่านมีจิตใจอันดีงามและไม่อยากสะบั้นขาผู้คนของท่าน แต่ฉีเจี่ยวอี๋ไม่ใช่สหายร่วมเผ่า ท่านสามารถสับขาเขาออกมาได้ พี่ฉี นี่ไม่ใช่ว่าข้ามุ่งโจมตีท่านหรอกนะ เพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น”
ฉีเจี่ยวอี๋สีหน้าแปรเปลี่ยนขณะที่ขาเขาเกร็งแน่น เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “พี่ฉิน ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก ข้าเข้าใจ”
เทพเสือขนดำและยายเฒ่าซีออกเดินทางไปเป็นพวกแรกและเดินไปยังที่ไกลๆ ฉินมู่รีบติดตาม ผ่านไปพักหนึ่ง มูถูลัวก็ปรายตามองขาของฉีเจี่ยวอี๋ ขาของฉีเจี่ยวอี๋เกร็งแน่นอีกครั้งขณะที่เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “มูถูลัว ข้ามาจากแดนเบื้องบน ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจล่วงเกินข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเขาเชี่ยวชาญในยารักษา เขาก็ย่อมเชี่ยวชาญในยาพิษด้วยเช่นกัน หากว่าเจ้าเชื่อเขา เจ้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน!”
มูถูลัวควบคุมเมฆมารติดตามอวี้ลัวชาไป เขายิ้มหยัน “หญิงอสรพิษนั่น มหาราชาและครูบาสวรรค์ต่อสู้กันแล้ว งั้นพวกเราก็มาจัดกันอีกคู่เถอะ เจ้าอย่าได้คิดว่าจะได้ออกไปจากที่นี่!”
ยายเฒ่าซีหันมาและส่งยิ้มแจ่มจ้าไปให้เขา มูถูลัวเหมือนถูกศรรักปักอก เขาหัวเราะคิกคักและกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะสวยงามแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะต้องชิงตัวเจ้ามาและทำให้เจ้ายอมตกเป็นเมียของข้า!”
ข้างๆ เขา อวี้ลัวชารู้สึกหงุดหงิดและลดเสียงของนาง “มูถูลัว เจ้าอ่อนข้อเกินไปแล้ว เจ้าหักใจสังหารนางไม่ลง แต่นางจะต้องไม่ลังเลที่จะสังหารเจ้าแน่”
มูถูลัวส่ายหัว “นางไม่ฆ่าข้าหรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่านางยิ้มให้ข้า ข้าเห็นร่องรอยของความยกย่องชื่นชมในรอยยิ้มของนาง…”
อวี้ลัวชากล่าวอย่างเย็นชา “จิตเต๋าของเจ้าถูกนางปีศาจนี่ทำลายไปเสียแล้ว! ดึงสติหน่อย! เจ้าจงไปจัดการกับเสือดำนั่น ส่วนนางให้ข้าเป็นคนลงมือสังหาร”
มูถูลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงได้แต่ผงกหัว เขาก็รู้สึกว่าสภาวะของเขามีอะไรผิดปกติเหมือนกัน เขารู้ว่าเขาสูญเสียขาไปก็เพราะหญิงนางนี้ แต่ก็ไม่อาจทำใจเกลียดนางได้ลง
ไม่เพียงแต่เกลียดนางไม่ลง ทุกขมวดคิ้วและทุกแย้มยิ้มของนางก็ได้สะกิดเขี่ยหัวใจและกระทบวิจารณญาณของเขา มันเหมือนกับว่านางอาศัยอยู่ในหัวใจของเขา ทำให้เขายิ่งตกหลุมเสน่ห์นางลึกขึ้นไปทุกที
นี่เป็นสถานการณ์อันตรายสุดๆ!
บางที ปล่อยให้อวี้ลัวชารับมือกับนางน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“อวี้ลัวชา อย่าฆ่านาง”
มูถูลัวกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าก็รู้ว่ายากนักที่หัวใจของข้าจะหวั่นไหว และเมื่อใดที่หวั่นไหว ความรักของข้าก็ไม่มีวันตาย เจ้ากำราบนางได้ แต่ต้องไว้ชีวิตนาง”
อวี้ลัวชากัดฟันกรอดและแค่นเสียง
ฉินมู่กะพริบตาพลางครุ่นคิดในใจ หรือว่านี่จะเป็นการเพาะปลูกมารจิตในจิตเต๋าของเขาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ท่านยายเพาะมารจิตไว้ในจิตเต๋าของมูถูลัวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
หลังจากวิ่งตะบึงไปหนึ่งพันลี้ เสือเทพยดาขนดำก็พลันหยุด เขามองไปรอบๆ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหายนะล้างโลก มันมีดิน น้ำ ลม และไฟ ไหลเวียนไปอย่างต่อเนื่อง ยังทิศไกลๆ ดาวตกขนาดใหญ่ร่วงตั้งอยู่ตรงนั้น มันกลม ดำ และขัดจังหวะสนามแม่เหล็กของผืนแผ่นดิน ทำให้มันบิดเบี้ยวขึ้นๆ ลงๆ
“ตรงนี้ก็แล้วกัน”
เทพเสือหัวดำหัวเราะ “สหายเต๋าแห่งเผ่ามาร ข้ารู้สึกว่าสถานที่นี้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะใช้ฝังศพพวกเจ้าหรือฝังศพพวกข้า นี่ก็เป็นฮวงจุ้ยอันเหมาะสม! ศิษย์น้อง ไปตรงลูกกลมดำตรงนั้น พวกเจ้าจะได้ไม่ถูกลูกหลง”
อวี้ลัวชาและมูถูลัวก้าวมาข้างหน้า อวี้ลัวชายิ้มหยันและกล่าว “แผ่นดินนี้ได้กลบฝังเผ่ามารมากมายเกินไปแล้ว แต่วันนี้จะมีแต่ศพของพวกเจ้าที่จะฝังไว้ที่นี่”
ยายเฒ่าซีสั่งความฉินมู่ “ดวงตาที่สามของเจ้ายังไม่ได้ปิดเอาไว้เลย รีบปิดมันไว้เร็วเข้าด้วยใบหลิวทองคำ อย่าบุ่มบ่ามใช้มัน”
นางคิดอยู่นิดหนึ่งจากนั้นก็กล่าวเสริม “หากว่าเจ้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ ก็ปลดใบหลิวลงมา ใช้ดวงตาที่สามก็ไม่เป็นไร”
ฉินมู่ยิ้ม “ข้าเพียงแต่ไปทางโน้นเพื่อสนทนากับศิษย์พี่ทั้งสองเท่านั้น ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
ยายเฒ่าซียังคงไม่คลายใจ “แค่เจ๋อหัวหลีคงไม่มีปัญหา แต่ระวังฉีเจี่ยวอี๋ให้ดีๆ วิชาฝึกปรือของเขาทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนมัน คนผู้นี้มีจุดประสงค์แฝงเร้นที่มิอาจหยั่ง และคอยแต่จ้องมองหน้าอกเจ้า โจมตีเขาเป็นอันดับแรกเมื่อเจ้ามีโอกาสและเมื่อเขาไม่ทันระวังป้องกัน หลังจากนั้นจะจัดการกับอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ฉินมู่ผงกหัวอย่างเคร่งขรึมและโบกมือของเขา จากนั้นเขาจึงเดินไปยังก้อนอุกกาบาต
ฉีเจี่ยวอี๋เดินมาข้างหลังเขาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พี่ฉิน ข้าได้ยินทั้งหมดนั่น เจ้าคิดจะลอบโจมตีข้าโดยไม่ทันระวัง แต่นั่นคงไม่ง่ายหรอกนะ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเที่ยงธรรม “พี่ฉีพูดถึงอะไรหรือ ตั้งแต่เล็กๆ ข้าเรียนหนังสือมา และคุ้นเคยกับคำสั่งสอนของนักปราชญ์ ข้าจะไปลอบโจมตีเจ้าโดยไม่ทันระวังได้อย่างไร เมื่อกี้ พวกข้าเพียงแต่สนทนากันเรื่องสายลม แสงแดด ดอกไม้และหิมะ…ไม่มีเกี่ยวกับเรื่องรบพุ่งฆ่าฟันอะไรทั้งสิ้น”
เจ๋อหัวหลีแบกดาบมารของเขาและเดินไปทางฝั่งซ้าย แต่ละก้าวของเขาวัดกะไว้อย่างไร้ที่ติ เขากล่าวอย่างสงบนิ่ง “ครั้งก่อนนั้น พวกเจ้าทั้งสองได้ร่วมมือกันเพื่อเอาชนะข้า ข้าไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนั้นได้ ยากนักที่พวกเราจะได้มารวมตัวกันอีก ดังนั้นพวกเราก็ย่อมต้องควรทดสอบฝีมือซึ่งกันและกัน”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะมัวแต่มาสู้กันได้อย่างไร ศิษย์พี่ทางนั้น มากับพวกเราสิ เมื่อพวกเทพเจ้าเริ่มต่อสู้กัน พวกเราก็มีแต่จะต้องรับเคราะห์”
ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารอีกสองคนข้างหลังพวกเขา ทันทีที่ทั้งสองคนนั้นได้ยิน พวกเขาก็เดินเข้ามา ทุกคนเริ่มเดินตรงไปยังหินดาวตกที่ฝังจมอยู่ในดินครึ่งหนึ่ง
ผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองเข้ามาใกล้ ถึงเพิ่งตระหนักความผิดปกติ ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋กำลังคัดง้างกันด้วยจังหวะปราณ ลากพวกเขาเข้าไปด้วย!
ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋–วิชาท่าร่างและท่าเท้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องขณะที่รัศมีของพวกเขาปรับเปลี่ยนสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง แต่ละการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ซุกซ่อนทฤษฎีอันลึกล้ำและวิธีการโจมตีเอาไว้ในการเดินของพวกเขา อันรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของทักษะเทวะและการเปลี่ยนแปลงของจังหวะปราณ แม้ว่าจะมองไม่เห็นจิตสังหารจากภายนอก แต่มันมีซุกซ่อนอยู่ข้างใน!
คนทั้งห้าเดินไปข้างหน้า ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋มีฝีเท้าอันมั่นคง และพวกเขาไม่ปัดเป๋เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน ฝีเท้าของผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองข้างหลังพวกเขากลับเป็นปัดเป๋เวียนวน พวกเขาเซไปซ้ายและขวาราวกับคนเมา
หลังจากเดินไปได้สี่ห้าลี้ ผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองก็เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างจนเหือดแห้ง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ
ผ่านไปอีกสามสี่ลี้ ผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองก็กระอักเลือดออกมากำใหญ่ พวกเขาวิ่งไปโซเซไป ตามสามคนข้างหน้า
และอีกสี่ห้าลี้ถัดไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองก็ได้อาเจียนโลหิตออกมาหมดทั้งร่างกาย ทันใดนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของหนึ่งในนั้นก็จุดสันดาป และร่างของเขาก็ลุกไหมไปด้วยเปลวไฟ เขาสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนที่ซากร่างจะล้มลงไปกับพื้น เขากลายเป็นถ่านดำรูปทรงมนุษย์
ผ่านไปอีกหลายสิบวา ขาของผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนก็แตกหัก และเข้าล้มคว่ำลงไปกับพื้น ศีรษะของเขาระเบิดออกมาเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาปริแยก
ฉินมู่เลิกคิ้วพลางยิ้มนิดๆ “ตอนนี้ ไม่มีพวกเขารบกวนพวกเรา พวกเราก็เดินกันช้าๆ ได้”
เหงื่อเย็นเยียบร่วงลงจากหน้าผากของเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ ขณะที่หางตาของพวกเขาก็กระตุก
ขณะที่พวกเขาคัดง้างจังหวะปราณกัน ทั้งหมดก็ไม่อาจชะงักกลางคันได้ ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีไม่ได้ร่วมมือกัน และพวกเขาต่างก็ต่อสู้ซึ่งกันและกันด้วย เพราะอย่างนี้ ฉินมู่จึงสามารถลากผู้ฝึกวิชาเทวะมารทั้งสองจนหมดลมหายใจได้
หากว่าพวกเขาร่วมมือกันจัดการฉินมู่ ฉินมู่ก็คงทำไม่สำเร็จ
แต่ถึงอย่างไร ทั้งสองคนนี้ไม่อาจร่วมมือกัน
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มหยัน “พี่ฉินบอกว่าพวกเรากำลังสนทนากัน แล้วทำไมเจ้าถึงวางกับดักและลากศิษย์พี่เผ่ามารทั้งสองให้มาตายล่ะ แต่ถึงอย่างไร ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของพวกเราใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากว่าเจ้าหมายจะเดินลากพวกเราให้ตายไปด้วย ก็ต้องเดินไปสักสองปี!”
พวกเขาเดินไปยังข้างหินอุกกาบาตและสนามแม่เหล็กที่นั่นก็เปลี่ยนแปลงไปจากที่อื่น พวกเขายกเท้าขึ้นและเหยียบขึ้นไปบนลูกกลมนี้ พวกเขาสามารถเดินไปบนนั้นได้อย่างง่ายดายราวกับเดินบนพื้นราบ
บนลูกกลมใหญ่ สวรรค์หลัวฝูดูเหมือนกับกำแพงสูงตระหง่าน แน่ล่ะ กำแพงนี้ทั้งกว้าง ยาว และหนามากจนสุดจะประมาณ!
ภาพอันแปลกประหลาดนี้เกินจินตนาการของพวกเขา