ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 604 พายุหมุนแม่เหล็ก
ตอนที่ 604 พายุหมุนแม่เหล็ก
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองไปยังสวรรค์หลัวฝู แท่นสังเวยรูปทรงพีระมิดมากมายตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล เมื่อมองผ่านหมอกบางๆ พวกเขาก็มองเห็นแท่นสังเวยที่นักบุญคนตัดไม้และฟู่ยื่อลัวยืนอยู่
ฟ้าและดินของสวรรค์หลัวฝูราวกับภาพวาดที่ตั้งขึ้น มันมีหลายสถานที่ที่เป็นสีขาวดำโดยไร้สีสันอื่นๆ เมื่อภูเขาไฟระเบิดขึ้นมา มันก็เหมือนกับพลุดอกไม้ไฟที่เขาจุดกันในงานเทศกาล ให้แสงสว่างแก่ภาพวาดทิวทัศน์นี้เพื่อมิให้มันดูชืดชาแห้งแล้งจนเกินไปนัก
พวกเขายังมองเห็นชิ้นส่วนสะเก็ดดาวร่วงลงมาจากฟากฟ้า ถัดมานั้น งูอัคคีก็เลื้อยพุ่งลงมาจากนภากาศ แม้ว่าความเร็วที่พวกเขามองเห็นตรงนี้จะดูช้า แต่จริงๆ แล้วมันตกลงมาด้วยความเร็วอันน่าตระหนก
แท่นสังเวยที่นักบุญคนตัดไม้และฟู่ยื่อลัวอยู่นั้น อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นมัน แต่มันก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ
มาตรว่าแท่นสังเวยจะดูเล็ก แต่เขาก็สามารถมองเห็นแสงเจิดจ้าและหมอกที่นั่นได้ แสงนั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แสงของมันยิ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน และเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแสงอันทิ่มแทงมาตลอดทางจนถึงที่นี่
ในขณะเดียวกันนั้น การต่อสู้ของเทพเสือขนดำกับท่านยายซีเองก็อลังการไม่แพ้กัน แต่ละกิริยาของเทพเจ้าทั้งสี่สามารถมองเห็นได้อย่างถนัดถนี่
ฉินมู่หยุดเดิน เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋ก็หยุดเดินในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มทั้งสามยืนอยู่บนอุกกาบาตขนาดยักษ์พลางมองไปรอบๆ ท้องฟ้าที่นี่สูงลิ่วและมีหมอกอยู่ลางๆ ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายไร้กังวล ช่างเป็นสถานที่อันหาได้ยาก
ทันใดนั้น ดาวเคราะห์ใหญ่ก็โคจรมาทางฝั่งพวกเขา มันปรากฏให้เห็นใหญ่โตมโหฬาร และดูเหมือนว่าสามารถร่วงหล่นลงมาได้ทุกขณะ
ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวและแผ่นดินก็แตกหักอย่างต่อเนื่อง ภูเขาและหุบเหวนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อันเป็นภาพที่ชวนขนหัวลุก!
ในที่ไกลๆ เทพเสือขนดำ ยายเฒ่าซี มูถูลัว และอวี้ลัวชา พลันเคลื่อนที่ไปตามแผ่นดินที่ปูดโปนขึ้น พวกเขาต่อสู้กันไปมาอย่างดุร้าย
“เจ๋อหัวหลีเจ้ารู้ไหมว่าทำไมสวรรค์หลัวฝูถึงตกมาเป็นสภาพนี้” ฉินมู่ถามด้วยความอยากรู้
เจ๋อหัวหลีลังเลก่อนที่จะกล่าว “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินอาจารย์ฟู่ยื่อลัวกล่าวถึง อาจารย์ฟู่ยื่อลัวกล่าวว่า จู่ๆ ก็มีดวงดาวผิดประหลาดปรากฏขึ้นมาและหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือสวรรค์หลัวฝู ทำให้ห้วงอวกาศบิดเบี้ยวและก่อกำเนิดภัยธรรมชาติ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สวรรค์หลัวฝูก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป”
ดวงดาวผิดประหลาดที่เขากล่าวถึงก็คือดาวเคราะห์แตกหักบนท้องฟ้า มันดูใหญ่โตอย่างผิดปกติจากมุมมองของพวกเขา พวกเขาถึงกับสามารถมองเห็นภูเขามากมายบนดาวเคราะห์นั้น
“แม้ว่าอาจารย์และข้าจะมาจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง แต่ข้าก็สามารถหยั่งลึกเข้าใจว่าเขาก็คะนึงถึงมาตุภูมิ”
เขาเสริมอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินอาจารย์ฟู่ยื่อลัวกล่าวว่า เดิมทีเขาไม่ใช่มหาราชาแห่งเผ่ามาร ในครั้งกระโน้น มหาราชาแห่งเผ่ามารได้พามารเทวะจำนวนมากขึ้นไปพยายามทำลายดวงดาวผิดประหลาดหรือไม่ก็ผลักมันไปให้พ้นจากสวรรค์หลัวฝู แต่ทว่า บนดาวผิดประหลาดนี้มีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอยู่มากมาย หลังจากที่มหาราชาและมารเทวะทั้งหลายไปยังดาวผิดประหลาด พวกเขาก็ไม่กลับมาอีก อาจารย์ฟู่ยื่อลัวกล่าวว่า หลังจากที่เขาไปยังดาวผิดประหลาด เขาก็พบว่าพวกเขาได้ตายไปในการรบพุ่ง”
ฉินมู่พิศวง “งั้นทำไมฟู่ยื่อลัวไม่พยายามทำลายดาวผิดประหลาดนี้ ในทางกลับกัน เขากลับทุ่มเทเวลาสองหมื่นปีเพื่อโจมตีสวรรค์ไท่หวงและทำให้มารและมนุษย์มากมายต้องล้มตาย”
เจ๋อหัวหลีส่ายหัวและกล่าว “มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้โดยละเอียด”
ฉินมู่มองไปที่ฉีเจี่ยวอี๋และถาม “พี่ฉี ในเมื่อเจ้าเป็นอาคันตุกะจากสภาสวรรค์ เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับดาวผิดประหลาดนี่หรือไม่”
ฉีเจี่ยวอี๋กำลังจะอ้าปากพูด แต่ทันใดนั้น ดาวเคราะห์ใหญ่ก็ลอยมาเหนือหัวพวกเขาแล้ว ทั้งสามคนพลันรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาเบาหวิว และได้แต่สบถอุทานในใจ
ฉินมู่รีบขับเคลื่อนไจกระบี่ของเขา แสงกระบี่นั้นหนาใหญ่เท่าต้นเสา เขาปักมันลงไปในหินอุกกาบาตใต้เท้าขณะที่พยายามยืนปักหลักให้มั่น
ในเวลาเดียวกันนั้น ดาบมารของเจ๋อหัวหลีก็ปักลงไปในหินดาวตก ขณะที่รองเท้าของฉีเจี่ยวอี๋ปริแตกเมื่อมันแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บนกที่จิกลงไปในดาวตกเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกดูดไปด้วยสนามแม่เหล็กของดาวผิดประหลาด
ในจังหวะถัดมา พวกเขาก็เหงื่อแตกพลั่ก
แสงกระบี่จากไจกระบี่ของฉินมู่กระเด้งออกมาจากหินดาวตก ดาบมารของเจ๋อหัวหลีก็ปักลงไปในหินดาวตกไม่ได้เช่นกัน แม้ว่ากรงเล็บนกของฉีเจี่ยวอี๋จะทรงพลังอย่างยิ่ง แต่หินดาวตกนั้นแข็งจนเกินไป และแทบจะทำให้กรงเล็บของเขาแตกหัก!
หวือ–
สนามแม่เหล็กนี้สร้างประกายไฟฟ้าและพายุหมุนราวกับแสงเหนือในที่ราบหิมะทางทิศเหนือของสันตินิรันดร์ ด้วยการกวาดมาอย่างแผ่วเบา พวกเขาทั้งสามก็ลอยขึ้นไปบนอากาศโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ
เด็กหนุ่มทั้งสามเผชิญกับอันตรายนี้อย่างไม่ลนลาน พวกเขาขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของตนและหมายจะหลบหนีจากพายุหมุนอันก่อขึ้นมาจากสายฟ้าแม่เหล็ก ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวอังคารที่มีศีรษะวัวและร่างกายมนุษย์ ขณะที่เขาเหยียบไปบนมังกรอัคคีสองตัว มังกรอัคคีทั้งสองก็พาเขาโลดทะยานออกไป
เจ๋อหัวหลียกดาบของเขาขึ้น และแสงมีดนับหมื่นก็กะพริบวูบวาบ พยายามที่จะทะลวงฝ่าพายุหมุน
อีกฟากหนึ่ง ร่างกายของฉีเจี่ยวอี๋แปลงร่างเป็นนกหงส์เพลิงเก้าหัว กระพือปีกบินจากไป ความเร็วของเขาไวอย่างยิ่งยวด แซงหน้าฉินมู่และเจ๋อหัวหลี!
แต่ทว่าแม้พวกเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิในรุ่นเยาว์ ก็ไม่อาจเป็นอิสระหนีไปจากพายุหมุนได้ พวกเขาถูกพายุซัดขึ้นไปบนท้องฟ้า และลอยสูงขึ้นไปทุกทีๆ
มาที่หินอุกกาบาตก้อนนี้เป็นความคิดดีๆ ของพี่เสือ! พวกเราอยู่สูงเกินไปและถูกพลังแม่เหล็กของดาวผิดประหลาดจับตัวได้…
เหงื่อเย็นเยียบแตกออกจากหน้าผากของฉินมู่ เขาพลันสูดลมหายใจลึกยาว สูดเอาอากาศทั้งหมดในบริเวณรอบๆ และกักมันเอาไว้ในช่องอก
ในเมื่อเขาไม่อาจหลบหนีไปจากพายุแม่เหล็กนี้ได้ เขาก็ได้แต่รอดูว่าพายุหมุนนี้จะโรยราลงเมื่อใด ในอวกาศนอกโลกไม่มีอากาศ ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บอากาศเอาไว้ในช่องอกอย่างเต็มที่เสียก่อน โชคดีว่า กำลังฝีมือของเขาไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถอัดอากาศไว้ในอกได้ค่อนข้างมาก
มวลอากาศจำนวนนี้สามารถรับประกันว่าเขาไม่จำเป็นต้องหายใจเพิ่มเข้าไปอีกเป็นวัน แม้ว่าเขาจะถูกส่งไปยังอวกาศนอกโลก ก็ยังคงสามารถปกป้องชีวิตของตน
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็สูดลมหายใจด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนล้วนเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงนึกถึงประเด็นสำคัญได้เหมือนที่ฉินมู่นึกคิด
พายุหมุนแม่เหล็กซัดพวกเขาสูงขึ้นและสูงขึ้น ขณะที่หินอุกกาบาตแห่งสวรรค์หลัวฝูอยู่ห่างไกลไปทุกทีๆ
เหงื่อเย็นเยียบตกจากหน้าผากของฉินมู่เมื่อเขามองขึ้นไป ฟ้าแลบจำนวนมากพลันปรากฏเหนือหัวพวกเขา!
เปรี๊ยะ–
ทันใดนั้น เปลวสายฟ้าสวรรค์ก็เคลื่อนและฟาดลงมายังพวกเขา ราวกับว่าได้เข้าไปตอแยรังแตนเมื่อสายฟ้าจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อขึ้นมาเป็นทะเลสายฟ้าสวรรค์
ฉินมู่เขวี้ยงไจกระบี่ออกไป และกระบี่บินมากมายก็เต้นระบำอยู่รอบตัวเขา พวกมันแปรเปลี่ยนไปในพริบตา กลายเป็นลูกกลมโลหะขนาดวาครึ่ง ครอบฉินมู่เอาไว้จากรอบทิศและป้องกันสายฟ้า
เปลวฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่ไจกระบี่ ไจกระบี่ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อมันถูกเผาจนแดงฉ่า ราวกับว่าจะหลอมละลายลงไปได้ทุกเมื่อ
อีกฟากหนึ่ง ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย สายฟ้าสวรรค์โถมถล่มพวกเขาทั้งสามคน!
ผ่านไปสักพัก สายฟ้าเหล่านี้ถึงกระจัดกระจายหายไป ฉินมู่รีบเก็บไจกระบี่ของเขา เขาเห็นว่าพายุหมุนแม่เหล็กยังคงมีอยู่ และมันก็ดูดซัดพวกเขาไปราวกับงูตัวยาวเลื้อยคดเคี้ยว ทั้งยังมีรังสีแสงอันวิจิตรตระการที่แผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง แปรเปลี่ยนเป็นสีสันนับร้อยในทุกๆ เสี้ยววินาที
แต่ถึงอย่างไร เมื่อฉินมู่เงยหน้าขึ้น หัวใจของเขาก็ตกวูบเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาได้หลุดเข้ามาในชั้นบรรยากาศชองดาวผิดประหลาดนี้แล้ว สวรรค์หลัวฝูกลายเป็นสถานที่อันแสนห่างไกล
แย่แล้ว…
ฉินมู่รู้สึกหนังหัวชาดิก เขาพลันเห็นเทือกเขาอันเขียวชอุ่มบนดาวผิดประหลาด ทำให้เขารู้สึกค่อยเบาใจลงบ้าง ในเมื่อมีพืชพรรณอยู่ที่นี่ ก็ย่อมแปลว่ามีอากาศ เขาเพียงแต่ไม่แน่ใจว่าอากาศที่นี่จะเหมาะแก่การหายใจของมนุษย์หรือไม่
ฟิ้ววว
พวกเขาถูกโยนออกไปจากพายุหมุนแม่เหล็ก และหันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง หัวทั้งเก้าของฉีเจี่ยวอี๋โยกคลอนไปมาเมื่อพวกมันค่อยๆ หดกลับลงไปในหน้าอกของเขา เหลือเพียงหัวเดียวที่แปรเปลี่ยนกลับเป็นศีรษะมนุษย์
“พวกเราจะกลับไปสวรรค์หลัวฝูได้อย่างไร”
ทั้งสามคนมองไปยังทิศทางของสวรรค์หลัวฝู ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง สวรรค์หลัวฝูได้หายไปแล้ว!
สวรรค์หลัวฝูหายวับไป เหลือแต่อวกาศอันมืดมิด!
พวกเขาหันไปมองกันไปมา เห็นความกลัวและกังวลในสายตาของอีกฝ่าย
ดาวผิดประหลาดนั้นโคจรอยู่ในอวกาศนอกโลกสวรรค์หลัวฝู และไม่มีใครรู้ว่าดาวนี้จะโคจรกลับไปยังท้องฟ้าเหนือสวรรค์หลัวฝูอีกเมื่อใด!
ฉินมู่รีบนำอาวุธวิญญาณสำหรับคำนวณออกมาและเตรียมที่จะคำนวณวงโคจรดาว เมื่อเขาได้คำนวณพบเวลาที่ดาวผิดประหลาดนี้จะโคจรกลับไปยังสวรรค์หลัวฝูอีกครั้ง เขาก็ตกตะลึง
เขาเงยศีรษะมองขึ้นไปยังอวกาศ ดวงดาวบนอวกาศนั้นแตกต่างจากที่สันตินิรันดร์ นี่ก็หมายความว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากสำนักเต๋านั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
เขาได้แต่อาศัยการสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวโคจรของเทหวัตถุเพื่อคำนวณเส้นทางของดาวผิดประหลาดนี้ แต่ทว่า มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อคิดคำนวณ
ฉินมู่หัวใจเย็นเฉียบ “หนึ่งปีในดาวผิดประหลาดนี้ยาวนานแค่ไหน มันจะเป็นหลายเดือนในสันตินิรันดร์ หรือหลายปี หรือแม้แต่หลายพันปี”
ฉีเจี่ยวอี๋มองไปรอบๆ และดวงตาของเขาก็พลันลุกวาบ เขาเดินไปยังทิศไกลๆ และกล่าว “ที่นี่มีร่องรอยการต่อสู้! พวกเรามุ่งหน้าไปดูจะดีกว่า บางทีอาจจะเสาะพบหนทางออกไปจากที่นี่!”
ฉินมู่และเจ๋อหัวหลีรีบตามเขาไป และพวกเขาก็เห็นซากทำลายล้างจากากรต่อสู้ พวกมันเกิดจากการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า ยอดเขานั้นถูกไถจนราบเลี่ยน และทะลสาบก็เป็นรูปฝ่ามือ มันยังมีซากศพของมารเทวะขนาดมหึมาที่กระจัดกระจายไปทั้งซ้ายและขวา เลือดเนื้อของพวกเขาได้เน่าเปื่อยไปหมด เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลน
ไกลออกไปนั้น มีวิหารใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง มันเป็นภาพอันตระการตา ดูราวกับว่ามันจะไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิด
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาพลันหยุดเดินและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋เห็นสถานการณ์ดังกล่าว และพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา พวกเขาทะยานขึ้นไปยังท้องฟ้าเช่นกันและมองไปรอบๆ
“พี่ฉินพบอันตรายอะไรหรือ” ฉีเจี่ยวอี๋หรี่ตา
ฉินมู่ไม่ตอบ จากข้างบนนี้ เขามองลงไปยังภูมิประเทศข้างล่าง หัวใจเขาสะท้านเล็กน้อย
ภูมิประเทศของดาวผิดประหลาดนี้คุ้นตาจริงๆ!
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงโถงวังในช่องเขานอกมหานาวาปารมิตา ทรายเหลืองที่ไหลออกมาจากกระถางบรรพจารย์ก่อตั้งได้แปรเปลี่ยนเป็นแผนที่ภูมิประเทศมากมาย และภูมิประเทศของดาวผิดประหลาดนี้ก็เป็นหนึ่งในแผนที่เหล่านั้น!
มันมีสัญลักษณ์ของวิหารบนแผนที่ ดังนั้นก็น่าจะเป็นวิหารบนขุนเขาเทวะแห่งนี้!
ศิษย์พี่ใหญ่เคยมาที่นี่มาก่อน! หรือว่าเขาจะอยู่ที่นี่
ฉินมู่ตั้งสติตนเอง บรรพจารย์ก่อตั้งได้ใช้ทรายดาวในกระถางเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นแผนที่ภูมิประเทศมากมาย แผนที่แรกทำให้ฉินมู่ได้พบกับผู้เฒ่าชิงหวงอันซุ่มซ่อนอยู่ในแดนโบราณวินาศ และได้แก้ปัญหาในนิพนธ์เผ่ามังกรของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วเขาจะได้พบกับอะไรนะในแผนที่ภูมิประเทศแห่งนี้
“เหมือนข้าจะเข้าใจผิด”
ฉินมู่หน้าแดงด้วยความอาย “ข้าคิดว่ามันเป็นเศษซากทักษะเทวะของเทพเจ้า แต่ไม่เป็นไร พวกเราไปกันต่อเถอะ”
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขณะที่ฝ่ายแรกกระแอมไอ “สถานที่นี้คือดาวผิดประหลาด ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากว่าพี่ฉินค้นพบอะไรขึ้นมา ก็คงจะดีที่สุดหากว่าจะบอกพวกเราตามตรง หากว่าพวกเราร่วมมือกัน ก็คงจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ ใช่ไหมล่ะ”
ฉีเจี่ยวอี๋มองไปยังขุนเขาเทวะที่ใกล้เข้ามาทุกที และเขาอดจะสงสัยไม่ได้ เจ๋อหัวหลีสายตาวูบวาบ “พี่ฉีค้นพบอะไรหรือ”
“ภูเขานี้ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันดูคุ้นๆ หรอกหรือ” ฉีเจี่ยวอี๋ถามด้วยเสียงเบา
เจ๋อหัวหลีมองไปที่ขุนเขาเทวะ และหัวใจเขาก็พลันเคลื่อนขยับ เขาผงกหัว “นี่มันคล้ายกับขุนเขาเทวะนั้นในสภาสวรรค์ แต่ทว่า ขุนเขานี้ไม่น่าจะเป็นของจริง”
ฉีเจี่ยวอี๋มองไปที่ฉินมู่ ผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา จากนั้นก็เผยยิ้มออกมา “อย่าไปบอกเขาเรื่องนี้ ชัยชนะอยู่ในกำมือพวกเราแน่นอน!”