ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 617 รัชทายาทเยว่กวง
ที่วัดกลางเมือง ยูไลหม่านำพาหลวงจีนเถระจำนวนมากมองตามฉินมู่และคณะที่กำลังถูกพาตัวไปด้วยแสงพุทธธรรม วรยุทธของพวกเขาแข็งแกร่งจนเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจตามไปด้วยได้ มีก็แต่ฉินมู่ หมิงซิ่น และลิงยักษ์อสูร ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งสามคนนี้ที่วรยุทธไม่ต่ำไม่สูง สามารถเข้าไปในพุทธเกษตรได้โดยง่าย
“ยูไล ให้พวกเขาไปกันตามลำพังจะไม่เป็นอันตรายหรอกหรือ” หลวงจีนจิ่งหมิงถาม
“มันย่อมมีอันตราย แต่ไม่ได้ร้ายแรงนัก สภาสวรรค์จะต้องพยายามเข้ามากำกับควบคุมพุทธเกษตรเป็นแน่ พวกเขาจะซัดศิษย์วัดใหญ่ฟ้าคำรามให้พ่ายแพ้ และไม่ปล่อยให้กลับมาพร้อมกับสิ่งที่ได้เรียนรู้”
ยูไลหม่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงให้จ้าวลัทธิฉินตามพวกเขาไปด้วย มีจ้าวลัทธิฉินอยู่ใกล้ ก็จะไม่มีอันตรายมากมายนัก”
หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็ยังคงไม่เข้าใจความคิดที่อยู่เบื้องหลัง เขายังรู้สึกว่ามีอันตรายอยู่ดี ดังนั้นจึงกล่าว “ยูไลโปรดอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียดได้หรือไม่”
ยูไลหม่ากล่าว “ถึงอย่างไรพุทธเกษตรก็ยังคงเป็นพุทธเกษตร และพวกเขาก็ไปที่นั่นเพื่อร่ำเรียน หากว่าผู้คนแห่งสภาสวรรค์หมายจะยื่นมือมาแตะต้องพวกเขา พวกเขาก็จะไม่รังแกผู้เยาว์ด้วยผู้อาวุโส ไม่อย่างนั้นพุทธเจ้าตนอื่นๆ ก็จะยับยั้งพวกเขา ด้วยพุทธเจ้าตนอื่นๆ แห่งพุทธเกษตรอยู่ด้วย พวกเขาก็ยังต้องรักษาขนบมารยาทประมาณหนึ่ง หากว่าพวกเขาไม่ใช้ผู้แข็งแกร่งมารังแกผู้อ่อนแอกว่า จ้าวลัทธิฉินก็จะรับมือพวกเขาทั้งหมดได้ ในด้านวิชาหมัด มีคำกล่าวอยู่ว่า เริ่มการต่อสู้ด้วยหมัดเดียว ต้านคนนับร้อยมิให้บุกเข้ามา จ้าวลัทธิฉินเป็นผู้ที่จะเริ่มการต่อสู้นั้น”
หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงดูจะจมอยู่ในความคิดอันลึกล้ำ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และหมิงซิ่นก็จะเป็นผู้เจรจาประนีประนอม”
ยูไลหม่าผงกหัว “เจ้าลัทธิฉินทุบตีผู้คน หมิงซิ่นเจรจาประนีประนอม และหากว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการโต้วาทีเพื่อแสวงหาเหตุผลสังหารพวกเขา ก็ให้จ้านคงออกหน้า ในการโต้วาที จ้านคงสามารถหุบปากพวกเขาได้”
หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงเต็มไปด้วยความชื่นชมและกล่าวอย่างนับถือ “ยูไลสมกับฉายานามของผู้ทรงปัญญาและรอบรู้”
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดอมิตาภะ ‘สารีริกธาตุ’ ดวงใหญ่หมุนวนไปจากประตูภูเขาจนถึงจุดสูงสุด หลวงจีนหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าวัดอมิตาภะทั้งประหลาดใจและโกรธเกรี้ยว มือของเขาเคลื่อนที่ขึ้นๆ ลงๆ ขณะที่ขับเคลื่อนวิชาบู๊มังกรคชสารพยัคฆ์สามกำลัง ทักษะเทวะรูปทรงมังกร รูปทรงคชสาร และรูปทรงพยัคฆ์ปรากฏขึ้นมารอบๆ กายของเขา และพวกมันดูท่วงทีเหนือธรรมดาและดุร้าย!
ฉึก
แสงของสารีริกธาตุท่วมท้นเขา และเสื้อผ้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่ปลิวกระจัดกระจายออกไป เหลือไว้เพียงแค่รองเท้า
หลวงจีนหนุ่มนั้นเดิมทียโสโอหัง หมายที่จะให้ฉินมู่และคณะคุกเข่าโขกศีรษะมาบนภูเขา และเตรียมที่จะทุบตีหากว่าพวกเขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง แต่บัดนี้ ความยโสโอหังของเขามลายไปจนสิ้น และเขาอยากที่จะแทรกแผ่นดินหนีเมื่อเห็นสถานการณ์ย่ำแย่ลง ทันใดนั้น ลำแสงสองลำก็ยิงออกมาจาก ‘สารีริกธาตุ’ และขาเขาก็อ่อนยวบ เขาคุกเข่าลงกับพื้น ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
หลวงจีนหนุ่มอับอายขายหน้า และเขารีบกดใบหน้าของตนจมลงไปกับพื้นเพื่อมิให้คนอื่นมองเห็น
บนยอดเขาทองคำ เงาร่างของพุทธเจ้าใหญ่หลายตนปรากฏนั่งอยู่บนเวิ้งฟ้าข้างบน และพวกเขาก็มองลงมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
หนึ่งในบรรดาพุทธเจ้าดีดนิ้วของเขาและหลวงจีนหนุ่มก็พลันพบว่าตนเองขยับขาได้อีกครั้ง เขารีบปิดบังช่วงล่าง และถอยเพื่อหลบหนีไป
ทันใดนั้น เสียงสรรเสริญนามพุทธองค์ก็ดังออกมาเมื่อมีมือทองคำมหึมาลอยออกมาจากวัดอมิตาภะ เพื่อต้านรับ ‘สารีริกธาตุ’ ของฉินมู่ มันน่าจะเป็นเงารูปอันเกิดขึ้นจากทักษะเทวะชนิดหนึ่ง
มือทองใหญ่มหึมาปะทะเข้ากับ ‘สารีริกธาตุ’ ของฉินมู่ และสร้างเสียงเหมือนทองแดงกระทบกันดังสนั่น ก้องสะท้อนไปทั้งขุนเขาทั้งหลาย
ข้างใต้อาสนะของพุทธเจ้าใหญ่ มีเมฆห้อยอยู่เหนือศีรษะของหลวงจีนจีวรขาวผู้หนึ่ง ทักษะเทวะนี้ได้ลอยออกมาจากในก้อนเมฆ เขาสกัดขัดขวางไจกระบี่ของฉินมู่และกล่าว “สารีริกธาตุอะไรกัน นี่มันก็แค่ไจกระบี่!”
หลวงจีนจีวรขาวมองไปยัง ‘สารีริกธาตุ’ เม็ดใหญ่ และหัวเราะในคอ “เล่ห์กลเล็กน้อยพอให้ได้ขบขัน! ดูสิว่าข้าจะแย่งชิงไจกระบี่เจ้าไปอย่างไร!”
ดอกบัวลอยออกมาจากก้อนเมฆเหนือหัวของเขา และพุ่งไปยังไจกระบี่ยักษ์ของฉินมู่ ดอกบัวเป็นชั้นๆ เข้าไปคลี่คลุมและโอบรัดรอบๆ ไจกระบี่
ทันใดนั้น ทั้งตัวภูเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และหลวงจีนจีวรขาวก็พลันรู้สึกถึงแรงสะเทือนเคลื่อนมาจากเท้าของเขา ไม่ทันที่เขาจะได้ยินเสียง ฉินมู่ก็พุ่งขึ้นมาบนภูเขา เพราะว่าความเร็วของเขารวดเร็วเกินไป จึงมีหมอกขาวพวยพุ่งจากสองข้างกายเขา แม้ว่าเขาจะบุกขึ้นไปบนภูเขา แต่ก็ดูดุร้ายราวกับพยัคฆ์กระโจนลงจากภูเขา กำปั้นของเขาแหวกอากาศไปสร้างเสียงอสุนีบาต!
ทั้งวัดอมิตาภะดูราวจะจมลงไปในทะเลสายฟ้า ด้วยหมัดเดียวจากฉินมู่ ฟ้าผ่าและฟ้าแลบก็ปรากฏไปทั่วทุกหนแห่ง!
เมื่อหลวงจีนจีวรขาวยกมือขึ้นเพื่อต้านรับการโจมตี แขนขาทั้งสี่ข้างของเขารู้สึกราวกับว่าจะถูกฉีกกระชากออกจากกัน มันทำให้จิตเขากระเจิดกระเจิง และรู้สึกเหมือนกับว่าก้อนสมองเขาจะหลุดออกไปจากกะโหลกศีรษะ ด้วยเสียงปังดังสนั่น เขาก็ถูกฟาดซัดลงไปในบนพื้นศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ปรานี
หลวงจีนชุดขาวพบว่าตนเองถูกฝังเอาไว้ในผนังของโถงวิหารหลัก จมเข้าไปหนึ่งคืบ รอบตัวเขามีแต่รอยร้าวของผนัง และสายฟ้าก็กระโจนแล่นไปมาข้างในตัวเขา
ฉินมู่ยกมือขึ้น และไจกระบี่ก็โบยบินกลับมาในมือ ส่วนมือทองคำขนาดใหญ่และดอกบัวจากหลวงจีนจีวรขาว ถูกไจกระบี่บดขยี้ไปสิ้น
หลวงจีนจีวรขาวลืมตาขึ้นมา มันแดงซ่านและขุ่นมัว ฉินมู่อยู่ตรงหน้าเขา แต่เขาไม่อาจมองเห็นได้ถนัด
“ศิษย์พี่ผู้นี้ การฝึกธรรมะของเจ้ายังไม่ถึงขั้นเลยนะ”
เสียงของฉินมู่ดังเข้ามาในหูของเขา “ทักษะเทวะไม่ใช่เป้าหมายในการฝึกธรรมะ เป้าหมายของการฝึกธรรมะคือการขจัดบ่วงกิเลส ปลุกปัญญาตน และเข้าใจความเป็นและความตาย ทักษะเทวะเป็นเพียงแค่เรื่องเบ็ดเตล็ดข้างทาง ในเมื่อมันเป็นเพียงเรื่องเบ็ดเตล็ดข้างทาง อย่างนั้นแล้วข้าใช้สารีริกธาตุหรือไจกระบี่ มันจะแตกต่างอะไรกันล่ะ”
หลวงจีนจีวรขาวหมายจะอ้าปากแย้ง แต่เขาก็กระอักเลือดออกมาและกลายเป็นซีดเผือด
ที่กลางอากาศ เสียงหนักหน่วงของพุทธเจ้าตนหนึ่งที่มีศีรษะใหญ่โตและหูยานยาวก็ดังมา “ตรรกะวิบัติและคำสอนร้ายๆ เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของลัทธิพุทธ แล้วกล้ามาเสนอหน้าเล่นกลกับทักษะเทวะต่อหน้าพุทธเจ้าทั้งหลายได้อย่างไร”
ฉินมู่ขับเคลื่อนพระสูตรมหายานยูไล และคารวะทักษะพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมและหนักแน่น “ลัทธิพุทธ? ศิษย์ผู้นี้โง่เขลา พุทธเจ้าทั้งหลายต้องการแบ่งแยกระหว่างสาวกกับส่ำสัตว์ทั้งหลายหรืออย่างไร”
พุทธเจ้านั้นระเบิดหัวเราะออกมา “ปากกะล่อน” เขาไม่ตอบคำถามของฉินมู่
บนท้องฟ้า พุทธเจ้าใหญ่ทั้งหลายนั่งนิ่ง ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่รู้ว่าธรรมราชโม่หลุนคือคนไหน
พุทธเจ้าอีกตนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธเจ้าย่อมไม่จำต้องแบ่งแยกระหว่างสาวกกับส่ำสัตว์ทั้งหลายจริงๆ นั่นแหละ แต่ทว่า เจ้าได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของหลวงจีนทั้งหลายในย่างก้าวแรกที่ขึ้นมาบนภูเขา ทั้งยังทำให้ศิษย์คนเล็กของข้าต้องคุกเข่า นี่เจ้ามาเพื่อแสวงหาความรู้ หรือขึ้นมาก่อเรื่องหาความ พุทธเจ้าเองก็มีโทสะได้เหมือนกัน เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไร”
“คนนี้คือธรรมราชโม่หลุน!”
สายตาของฉินมู่จับจ้องไปยังธรรมราชโม่หลุน และเขาเห็นว่าพุทธเจ้าตนนี้สูงและผ่ายผอม เขามีใบหน้าเมตตาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกอาบไล้ด้วยสายลมวสันต์
“ข้าเรียนถามธรรมราชสักหน่อย พุทธเจ้าจำต้องให้สานุศิษย์คุกเข่ากราบกรานหรือไม่” ฉินมู่ถาม
ธรรมราชโม่หลุนส่ายหัวและกล่าว “ไม่มีความจำเป็นเช่นนั้น”
ฉินมู่ถามต่อ “แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ท่านถึงต้องการให้พวกเราคุกเข่าโขกศีรษะขึ้นภูเขามาด้วยล่ะ”
ธรรมราชโม่หลุนแย้มยิ้ม และดอกไม้สวรรค์ก็เริ่มโปรยปรายลงจากท้องฟ้า ขณะที่น้ำพุทองคำก็ผุดพลุ่งขึ้นมาจากพื้น เขานั้นกำลังจะอรรถาอธิบายหลักเหตุผล แต่ทันใดนั้น หลวงจีนหมิงซิ่นกับลิงยักษ์อสูรจ้านคงก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ หลวงจีนหมิงซิ่นรีบกล่าว “ศิษย์พี่ฉินได้ล่วงเกินพุทธเจ้าเฒ่าแล้ว ศิษย์ขอให้ท่านประทานอภัยด้วยเถิด!”
ธรรมราชขมวดคิ้วเล็กน้อย และเขากำลังจะกล่าววาจา แต่ทันใดนั้น หมิงซิ่นก็รีบโค้งคารวะตรงหน้าพุทธเจ้าใหญ่ตนหนึ่ง “ศิษย์น้อมคารวะยามาเทวราช!”
พุทธเจ้าใหญ่นั้นตอบไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจดจำข้าได้หรือ”
“มีลักษณะธรรมของยามาเทวราชในพระสูตรมหายานยูไล ดังนั้นศิษย์จึงจดจำได้! ศิษย์น้อมคารวะสักรานาคราช!” หมิงซิ่นกล่าว
พุทธเจ้าใหญ่อีกตนแย้มยิ้ม และผงกหัวรับการทักทาย
หมิงซิ่นจึงโค้งคารวะไปยังธรรมราชโม่หลุน และกล่าว “ศิษย์น้อมคารวะจันทรเทวราชโม่หลุน!”
ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าได้คารวะทักทายข้าแล้วเมื่อก่อนหน้า ตอนนี้ได้เวลาที่เราจะเข้าเรื่องกัน…”
“ศิษย์น้อมคารวะสุริยา!”
“ศิษย์น้อมคารวะมาริสี!”
“ศิษย์น้อมคารวะหฤทธิ!”
…
หลวงจีนหมิงซิ่นค้อมศีรษะไปตลอดทางจนถึงท้าวสักกะก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น กระนั้นเขาก็ไม่อาจเห็นพระพรหม เขาจึงได้แต่หยุด เขาคิดในใจ ข้าไม่อาจถ่วงเวลาได้อีกต่อไป
ธรรมราชโม่หลุนกล่าวอย่างใจเย็น “หลวงจีนน้อย เจ้ามาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ ไม่จำเป็นต้องน้อมคารวะพุทธเจ้าทั้งหลาย ศิษย์พี่ของเจ้าได้ทุบตีศิษย์ของข้าในทันทีที่เขาขึ้นมา และพ่นตรรกะวิบัติกับคำสอนร้ายๆ หากว่าข้าไม่ปรับทัศนคติของเขาให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าภูเขาของข้าจะเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชั่วร้ายหรอกหรือ แบบนี้ข้าจะส่งเสริมธรรมะได้อย่างไร”
หลวงจีนหมิงซิ่นเต็มไปด้วยความนอบน้อม และเขาตอบไปอย่างสัตย์ซื่อ “พุทธเจ้า ศิษย์ผู้นี้ไม่เก่งเรื่องถ้อยคำ ดังนั้นทำไมไม่ให้ข้าเชื้อเชิญศิษย์พี่จ้านคงมาถกข้อเหตุผลนี้ล่ะ ศิษย์พี่จ้านคง มาสนทนาธรรมกับพุทธเจ้าหน่อย”
ลิงยักษ์อสูรจ้านคงก้าวออกไปข้างหน้า และปักไม้เท้าขักขระของเขาลงไปข้างๆ เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันตรงหน้าอก และไม่กล่าววาจา
ธรรมราชโม่หลุนขมวดคิ้ว และเขามองไปที่พุทธเจ้าตนอื่นๆ รอบๆ เขาพลันหัวเราะออกมา “ศิษย์น้องเล็กจ้านคง เจ้าไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรหรอก ข้าเข้าใจทุกอย่างล่ะ”
ฉินมู่และหมิงซิ่นหันไปมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างก็ถอนหายใจโล่งอก
ธรรมราชเองก็ถอนหายใจโล่งอก ข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ในพุทธเกษตร ตามคำสั่งจากเบื้องบน แต่ข้าไม่ค่อยได้อ่านธรรมะ ดังนั้นความรู้ของข้าจึงไม่อาจทัดเทียมกับพุทธเจ้าทั้งหลายแห่งพุทธเกษตร จ้านคง หลวงจีนดำผู้นี้ ไม่มีข้อข้องขัดในการโต้วาที กรุยทางตนเองมาตั้งแต่สวรรค์ชั้นยามาจนถึงชั้นพรหมโดยไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้ แม้แต่พุทธเจ้าทั้งหลายก็ต้องเรียกเขาว่าศิษย์น้อง ดังนั้นหากว่าข้าโต้วาทีกับเขา ข้าก็มีแต่จะหาความอับอายให้ตนเอง
ธรรมราชโม่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าไม่ใช่ความผิดของฆราวาสฉินจริงๆ พวกเขามาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรสร้างอุปสรรคขัดขวาง แต่ทว่าการโต้วาทีธรรมนั้นเป็นเพียงการต่อสู้ด้วยคำพูด และเรายังคงต้องทดสอบกันในแง่ปฏิภาณความเข้าใจในการฝึกปรืออยู่ดี ศิษย์น้องดำ–เอ้อ ศิษย์น้องจ้านคงมีความสำเร็จเชิงธรรมะอันไร้ผู้ต่อต้าน ดังนั้นทักษะเทวะของเขาก็จะต้องน่าตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน พุทธบุตรจำนวนมากได้ตรึกตรองเข้าใจความสามารถในการโต้วาทีของศิษย์น้องจ้านคง และพวกเขาก็หมายที่จะตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะของศิษย์น้องด้วย”
หลวงจีนหมิงซิ่นนั้นกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ธรรมราชโม่หลุนก็ชิงพูดต่อ “นี่คือรัชทายาทเยว่กวง เขาเป็นทายาทของข้า เดิมทีข้าคือจันทรา จักรพรรดิแห่งประเทศแสงจันทร์ หลังจากที่ข้าได้บรรลุเป็นพุทธเจ้า ข้าก็ได้ละทิ้งประเทศแสงจันทร์ และพุทธประเทศแสงจันทร์ก็กลายเป็นสวรรค์ชั้นจันทราท่ามกลางสวรรค์ยี่สิบชั้น เขานั้นก็เป็นศิษย์ของข้าด้วยเช่นกัน และธรรมะของเขาก็ลึกล้ำ เมื่อเขาตรึกตรองธรรมะ การตรึกตรองหนึ่งของเขาก็ราวกับคนร้อยคน อันทำให้เขาได้บรรลุเป็นพุทธเจ้าในทันที!”
ฉินมู่ หมิงซิ่น และลิงยักษ์อสูรมองไปยังรัชทายาทเยว่กวง คนผู้นี้ออกบวชโดยไม่โกนหัว และเสื้อผ้าของเขาก็ขาวยิ่งกว่าหิมะ เขามัดผมไว้เป็นมวย สะพายกระบี่วิเศษไว้ที่เอว และยังมีพระจันทร์ส่องแสงอยู่ข้างหลังศีรษะของเขา อันสาดส่องบริเวณโดยรอบให้สว่างไสว
หลวงจีนหมิงซิ่นกล่าวแก่ฉินมู่ “รัชทายาทเยว่กวงผู้นี้ได้โต้วาทีกับศิษย์พี่จ้านคง และสาธยายพระสูตรพุทธมากมาย ศิษย์พี่จ้านคงกล่าวเพียงคำเดียว ทำให้เขาขบคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะออกปากยอมแพ้ แต่ทว่ากำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงนั้นน่าตื่นตระหนก ยูไลกล่าวว่าเขาได้บ่มเพาะกระบี่ของเขาจนกลายเป็นแสง แปรเปลี่ยนมันให้เป็นดวงจันทร์ข้างหลังศีรษะของเขา มันเรียกว่าแสงกระบี่รัศมีจันทร์”
ฉินมู่รู้สึกขอบคุณในใจ เพราะรู้ว่าหลวงจีนหมิงซิ่นกำลังชี้แนะเขาอยู่ เขาพูดถึงกำลังฝีมือของรัชทายาทเยว่กวงให้กระจ่าง เพื่อให้ฉินมู่ได้ระวังป้องกัน
ตึง
หลวงจีนหมิงซิ่นคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก้มหัวคารวะแก่ธรรมราชโม่หลุนและกล่าว “ธรรมราชนั้นเป็นจันทรา และข้าเชื่อว่าท่านจะต้องเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณา ศิษย์พี่จ้านคงของข้าได้โต้วาทีกับสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบชั้น และเขาก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ศิษย์อยากจะขอเชื้อเชิญฆราวาสฉินเพื่อมาแทนเขา ขอบพระคุณธรรมราชที่ได้ละเว้นเขา!”
ธรรมราชโม่หลุนขมวดคิ้วและมองไปที่ฉินมู่
ท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ธรรมราช ถ้าอย่างนั้น ก็ให้ฆราวาสฉินจากแดนต่ำใต้มาแทนที่เขาเถอะ รัชทายาทเยว่กวงได้สืบทอดสุดยอดวิชาของเจ้าจากสภาสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงแทบจะไร้คู่ต่อสู้ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ด้วยการประชันขันแข่งกับฆราวาสฉิน พวกเราก็จะได้เห็นว่าทักษะเทวะของแดนต่ำใต้ได้พัฒนาไปมากแค่ไหนแล้ว”
ธรรมราชโม่หลุนจึงได้แต่พยักหน้า “เยว่กวง อย่าทำให้อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติจากแดนต่ำใต้ได้รับบาดเจ็บ”
รัชทายาทเยว่กวงโค้งคารวะ “ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินไปยังฉินมู่และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ในสวรรค์ชั้นจันทรา ข้านั้นไร้เทียมทานในขั้นวรยุทธเดียวกัน และข้าก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเอกาอย่างถึงที่สุดของสถานที่แห่งนั้น ดังนั้นข้าจึงเข้าไปยังสภาสวรรค์เพื่อแสวงหาความรู้และร่ำเรียนกระบี่ในปราสาทสวรรค์กระบี่เป็นเวลาสามปี” หลังจากนั้น เขาก็ไม่กล่าวอะไรอีก
ฉินมู่ตอบไปอย่างนอบน้อม “ข้าได้เรียนกระบี่ในหมู่บ้านพิการชรา และผู้ที่สอนข้าคือชายเฒ่าเหลาเหย่ที่ไม่มีแขนขาทั้งสี่ข้าง ครั้งหนึ่งข้าเลย…ไม่สิ ข้าไม่เคยได้ไปปราสาทสวรรค์กระบี่ที่ไหนทั้งนั้น ข้าคิดเพลงกระบี่ขึ้นมาด้วยตนเอง เชิญ!”
รัชทายาทเยว่กวงยืนอยู่ไม่ไหวติงและกล่าว “ในกะลาแดนต่ำใต้ย่อมยากที่จะเห็นโลกกว้าง ข้าจะให้เจ้าเริ่มก่อนหนึ่งกระบวนท่า”
ฉินมู่ผนึกมุทราหยางในมือหนึ่งข้างบน และมุทราหยินในมือข้างล่าง เขาโค้งและประสานมุทราทั้งสอง ขับเคลื่อนมือหยินหยางพลิกสวรรค์ รัชทายาทเยว่กวงคิดว่าเขาประสานมือคารวะธรรมดา และรับมันอย่างอย่างนิ่งสงบ ทันใดนั้น เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังออกมา เมื่อรัชทายาทเยว่กวงถูกซัดกระเด็นไปสิบลี้ เขาปะทะเข้าไปในภูเขาใหญ่และสร้างหลุมลึกขึ้นมา
ฉินมู่พลิกมือหยินให้เป็นหยาง และพลิกมือหยางให้เป็นหยิน เขาพลิกมันกว่าสิบครั้ง และซัดถล่มมือหยินหยางพลิกสวรรค์ไปยี่สิบสามสิบครั้งในพริบตา ทำลายทั้งภูเขาให้กลายเป็นหน้าผาขาด และผนังหินสูงชัน!
ฉินมู่รั้งมือของเขากลับมา และรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ธรรมราช ไม่ทราบว่าท่านมีรัชทายาทคนอื่นอีกไหม”