ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 634 สองหมื่นปีแห่งการถ่ายทอดโลหิตในหัวใจ
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 634 สองหมื่นปีแห่งการถ่ายทอดโลหิตในหัวใจ
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอึ้งไปเล็กน้อย ราวกับว่าเขายังคงไม่ฟื้นคืนมาจากการโจมตีเป็นชุดที่ฉินมู่มอบให้ แต่ทว่าบรรพชนสองและคนอื่นๆ รู้ว่าที่เขาเหม่อลอยอยู่เช่นนี้ ก็เพราะว่าฉินมู่ไม่อยากจะเรียนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเขา พูดง่ายๆ ก็คือบรรพชนแรกยังคงฉงนฉงายกับการปฏิเสธของฉินมู่
เจตนาดั้งเดิมของเขาคือการกระตุ้นฉินมู่ และทำให้เขาสามารถค้นพบศักยภาพของตนมากขึ้นอีก ก่อนที่จะสอนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของตนให้แก่เขา
ฉินมู่นั้นถูกกระตุ้นโดยเขาจริงๆ และเสี่ยงชีวิตเพื่อเคลื่อนย้ายตนเองเข้าไปในสวรรค์ไท่หวง เขาผ่านความยากลำบากและหลบหนีจากความตายหลายครั้งหลายหน ในที่สุดวิชาฝึกปรือของฉินมู่ก็ย่างกรายสู่เต๋า และทำให้เขามีฝีมือความสามารถที่จะต่อสู้กับเขาได้ในขั้นวรยุทธเดียวกัน หากว่าเป็นคนอื่นๆ ก็คงยากที่จะกลับออกมาจากสวรรค์ไท่หวงทั้งเป็นๆ ภยันตรายที่อยู่ในนั้นนับว่าเกินจินตนาการของใครๆ
แต่ทว่า หลังจากที่ฉินมู่ได้ทุ่มเทความอุตสาหะไปมากมายขนาดนี้ เขาก็ยังคงใช้แค่วลี ‘ไม่คู่ควรแก่เวลาของข้า’ เพื่อปฏิเสธวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของบรรพชนแรก
หรือเขาจะดูแคลนการเรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเขา หรือว่าเขาจะดูแคลนวิธีการจัดการเรื่องราวของเขา
หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งคู่
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายหันไปมองกันและกัน ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะหันไปมองยังบรรพชนสอง พวกเขาล้วนแต่ยื่นนิ้วออกไปและจี้สะเอว
บรรพชนสองก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ เขากล่าวโดยไม่ยี่หระอะไร “ตาเฒ่า… บ๊ะ! ท่านยังดูหนุ่มแน่นกว่าข้าเสียอีก! อาจารย์ กษัตริย์มนุษย์ฉินมีศักดิ์ศรีของตนเอง หากว่าท่านไม่ทำลาย เลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตาของพวกเรา หากว่าท่านไม่บดขยี้โครงกระดูกและป้ายหลุมศพของข้า เขาก็คงไม่มีท่าทีแบบนี้กับท่าน เลิกจมปลักกับความเศร้าได้แล้ว หากว่าเขาไม่ต้องการจะเรียน ท่านสอนพวกมันให้ข้าก็ได้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกปรายตามองเขา และส่ายหัว “ข้าให้เวลาเจ้าแปดร้อยปี แต่เจ้าก็ไม่สามารถเรียนมันได้ ข้าหมดหวังในตัวเจ้าไปแล้ว ข้ารู้สึกว่ากษัตริย์มนุษย์ฉิน ผู้ซึ่งครอบครองกายาจ้าวแดนดิน คงใช้เวลาร่ำเรียนไม่กี่เดือนเป็นอย่างมาก”
บรรพชนสองหันขวับและเดินกลับไปอย่างขึ้งโกรธ “น่าแค้นใจอะไรอย่างนี้ ข้าจะไม่ไปปลอบเขาอีกต่อไป ใครอยากจะไปยุ่งกับเขาก็ไปเองเลย! ด้วยท่าทีแบบนี้ สมแล้วที่จะโดนกระทืบจนตาย!”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ หันมามองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง
บรรพชนแรกเดินเข้ามา ความฉงนฉงายและความผิดหวังบนใบหน้าของเขาถูกปัดเป่าไปจนหมด “นี่คือวังหยกสว่าง หนึ่งในสามสิบหกวัง แม้ว่าเจ้าทั้งหมดจะล้วนแต่เป็นกษัตริย์มนุษย์ เจ้าก็ได้เข้ามาเพียงบริเวณรอบนอกของมันเท่านั้น ซึ่งก็คือพื้นที่ของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ ให้ข้าพาพวกเจ้าทั้งหมดเข้าไปในวังหยกสว่างที่แท้จริง ตามข้ามา”
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดฉงนฉงาย เมื่อครู่เขายังหดหู่อยู่เลย แต่ตอนนี้เขากลับจะพาพวกเขาเจ้าไปในวังหยกสว่าง พวกเขาไม่รู้ว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังคิดอะไรอยู่เลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างไร ที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวก็ไม่ผิด แม้ว่าพวกเราจะได้มายังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์อยู่บ่อยครั้งในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับมันมาก พวกเขาสัมผัสได้ว่าห้วงมิติของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ มิได้จำกัดอยู่แค่ผืนดินในบริเวณที่พวกเขามองเห็นอยู่ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามจะเดินเข้าไปในหมอกเพื่อสำรวจ พวกเขาก็จะถูกส่งกลับออกมาที่หน้าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ในทุกครา
แม้ว่าพวกเขาเหาะ หรือวิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัด ก็จะเกิดผลลัพธ์เดิมๆ ในทุกครั้ง โถงแห่งกษัตริย์จะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งไปในทิศทางใด มันก็จะวนกลับมาซ้ำจุดเดิม
เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ตระหนักว่ามีใครบางคนใช้พลังวัตรอันยิ่งใหญ่เพื่อม้วนพับห้วงอวกาศรอบๆ โถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ บุคคลผู้นั้นไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบความลับของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ และบุคคลนี้ก็มีแต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเท่านั้น
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกย่อมมีเหตุผลของเขาที่จะพยายามปิดซ่อนวังหยกสว่าง แล้วอย่างนั้นเขามีเหตุผลอะไรที่จะเปิดเผยมันขึ้นมาในตอนนี้
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพาพวกเขามุ่งหน้าต่อไป “วังหยกสว่างไม่ใช่สถานที่ศูนย์รวมอำนาจ แต่ทว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวดในปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ที่นี่คือสถานที่แห่งการศึกษาเล่าเรียน และมีครูบาสวรรค์สี่คนที่รับตำแหน่งอยู่ที่นี่ เมื่อครั้งกระโน้น เมื่อภัยพิบัติเริ่มต้นปะทุขึ้นมา ข้ากำลังศึกษาหาความรู้อยู่ที่นี่”
บรรพชนสองคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าว “หรือว่าหนึ่งในบรรดาครูบาสวรรค์จะมีรูปลักษณ์เหมือนคนตัดไม้ บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์คิดว่าเขาเป็นนักบุญ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผงกหัว “เขาเป็นหนึ่งในพวกนั้น เมื่อครั้งโน้น เมื่อภัยพิบัติเริ่มซัดเข้ามา เขาได้ออกจากวังหยกสว่างเพื่อไปวางแผนการรบที่แนวหน้า หลังจากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่วังหยกสว่าง เขาก็คิดว่าข้าได้ตายไปแล้ว เมื่อเขาตระหนักว่าข้ามิได้เข้าร่วมการต่อสู้และกลับหลบหนีไปแทน เขาก็เมินเฉยข้านับแต่นั้นเป็นต้นมา”
“การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวังหยกสว่าง?”
กษัตริย์มนุษย์ทุกคนสงสัยใคร่รู้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสามถาม “บรรพชนแรก ความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือที่เกิดขึ้น”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่ตอบคำถามของเขา เขายังคงนำพวกเขาเดินต่อไปข้างหน้า ทันใดนั้น หมอกทั้งหลายก็จางหายไป และภาพอันยิ่งใหญ่อลังการก็ปรากฏต่อสายตาของพวกเขา ราชวังสวรรค์มากมายที่เชื่อมต่อกันเป็นหมู่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ทุกๆ ห้าก้าวก็จะมีสิ่งปลูกสร้างสลับซ้อนกันเป็นชั้นๆ และศาลาเป็นทิวแถวในทุกๆ สิบเก้า ทัศนียภาพแห่งฤดูใบไม้ผลิปรากฏไปทั่วทุกหนแห่ง
สิ่งปลูกสร้างอันสดใสและงดงามนี้ราวกับโฉมสะคราญวัยกำดัด และทางเดินอันคดเคี้ยวไปมาแห่งราชวังทั้งหลายก็ราวกับแถบแพรอันอ่อนช้อย พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังได้ยินเสียงบัณฑิตท่องบ่นตำรา
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายงงงวยเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของสงครามเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั่งวี่แววของการทำลายล้างจากทักษะเทวะ
ในราชวัง สิ่งปลูกสร้าง ศาลา และเจดีย์ ล้วนแต่สุดสวยราวกับเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ไม่มีร่องรอยของการบ่อนเซาะโดยกาลเวลา
นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้างไปแล้ว และร่องรอยของสงครามก็มองเห็นอยู่ภายนอกวังหยกสว่าง มีทั้งแผ่นดินที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม และหลุมศพมากมายของเทพเจ้าที่ตกตายในการศึก แล้วทำไมสถานที่นี้จึงไม่ถูกแตะต้องโดยไฟแห่งสงคราม
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่กล่าวอะไร เขานำพวกเขาตรงต่อไปและผ่านโถงวังมหึมาแห่งหนึ่ง ข้างในโถงนั้นมีเสื่ออาสนะอยู่มากมาย และหนุ่มสาวจำนวนมากกำลังนั่งอยู่ข้างใน พวกเขากำลังเงยศีรษะขึ้นมองไปข้างหน้า ราวกับว่ากำลังรับฟังคำสอนบรรยาย
หัวใจของกษัตริย์มนุษย์ทุกคนไหวสะท้านอย่างรุนแรง คนหนุ่มและคนสาวเหล่านี้ดูแจ่มชัดมีชีวิตชีวา แต่พวกเขาก็มองออกได้ว่าพวกเขาตายมานานหลายต่อหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้ว!
ส่วนหน้าของโถงเป็นเทพเจ้าตนหนึ่งที่มีท่วงทีของบัณฑิต เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยรอยยิ้มละไมบนใบหน้า ราวกับว่าเขากำลังสอนบรรยายเกี่ยวกับแง่อัศจรรย์ของทักษะเทวะแก่คนหนุ่มสาวทั้งหลายข้างล่างนั่น
เทพเจ้าตนนี้ก็เป็นซากศพ และไม่มีลมหายใจในตัวเขาเลยสักนิด
“กายเนื้อเหล่านี้ไม่เน่าเปื่อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกล่าวด้วยเสียงอันต่ำและแหบพร่า
ไม่มีใครตอบเขา
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยังก้าวต่อไป และพวกเขาก็รีบตามเขาไป
ระหว่างการเดินทาง พวกเขาเห็นภาพที่แปลกประหลาดกว่านั้นอีก ที่มุมๆ หนึ่ง พวกเขาเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่รวบผมหางม้าสองข้าง และนางถูกตรึงค้างไว้ในสภาวะที่กำลังวิ่ง นางกำลังไล่ตามสุนัขสวรรค์สีดำตัวหนึ่ง มันชักนำเด็กหญิงให้ไล่ตามมันไป และถึงกับมีประกายตาซุกซนอยู่ในดวงตา เด็กหญิงน้อยมีรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่านางกำลังปรบมือและกล่าวอะไรอยู่
แต่ทว่าทั้งเด็กหญิงและสุนัขสวรรค์นี้ถูกแช่แข็งอยู่ในอดีต พวกเขาล้วนแต่ตายโดยฉับพลัน และกิริยาท่าทางสุดท้ายของพวกเขาก็ถูกแช่แข็งเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะตาย
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายมองไปรอบๆ และยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นอึก
ไม่ไกลนั้น มีเทพเจ้าตนหนึ่งที่มีท่วงทีแบบหนอนหนังสือ และตรงหน้าของเขาก็มีดรุณีเยาว์ผู้หนึ่ง ดรุณีนี้กำลังหอบหนังสือหลายเล่มในอ้อมแขนของนางและมองขึ้นไปยังหนอนหนังสือผู้นี้ ราวกับว่านางกำลังถามปัญหายากๆ แก่ครูของตน
และยังมีเด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งที่ฝึกปรือทักษะเทวะในลานเรือน เด็กหนุ่มสองคนในกลุ่มนั้นกำลังประลองกันและกัน พวกเขามีท่วงท่าของการแข่งขันประชัน และในมือของพวกเขาก็กำลังผนึกมุทราอยู่ ราวกับว่าพวกเขากำลังจะช่วงใช้ทักษะเทวะมุทรา ข้างๆ พวกเขา มีเด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งยืนอยู่ พวกเขากำลังแย้มยิ้มและเอียงหัวเข้าหากัน ราวกับกำลังปรึกษาหารือว่าใครที่แข็งแกร่งกว่า
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดถอนสายตากลับมา และสะกดข่มความสะท้านสะเทือนในหัวใจ พวกเขายังคงติดตามบรรพชนแรกต่อไป
ยิ่งพวกเขาเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งแตกตื่นมากเท่านั้น ห้วงเวลาในสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะหยุดนิ่งลงไป ที่นี่ไม่มีสุ้มเสียงเลยแม้แต่น้อย ทุกคนดูจะถูกตรึงค้างในเสี้ยววินาที รักษากริยาท่าทางสุดท้ายของตนเอาไว้ก่อนที่จะตาย
ความเงียบ
ความเงียบอันมิอาจจะบรรยายได้
มันเป็นความเงียบอันสาหัสที่ทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออก!
“พวกที่เข้ามาร่ำเรียนในวังหยกสว่างล้วนเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นท่ามกลางชนรุ่นเยาว์แห่งสภาสวรรค์ เมื่อภัยพิบัติปะทุออกมา รุ่นถัดไปของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็ล้วนแต่ถูกทำลายไปในชั่วพริบตา”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “บุคคลที่โจมตีสถานที่แห่งนี้ได้ใช้ทักษะเทวะแห่งแดนใต้พิภพ เพียงแค่ทักษะเทวะเดียวก็ลบล้างความหวังทั้งหมดของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าได้หลบหนีออกมาโดยโชคช่วย และไม่กล้าจะหันกลับไปมองดูเลยด้วยซ้ำ ข้าหนีเตลิดไปด้วยความแตกตื่น เขาคิดว่าจิตเต๋าของข้าแข็งแกร่งพอและจะไม่มีใครทำให้ข้าสัมผัสความกลัวได้ แต่ทว่า เมื่อข้าเห็นสหายของข้ามากมาย คนหนุ่มสาวและเทพเจ้ามากมาย ตายลงไป ข้าก็พังทลายลงไปที่นั่นในบัดเดี๋ยวนั้น…”
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดเงียบกริบ เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่ยากจะเข้าใจขนาดนี้ ก็ยากที่ใครจะไม่พังทลาย
“ข้าหลบหนี ข้าไร้จุดหมาย ข้ารู้สึกแตกตื่นและหวาดกลัวราวกับสุนัขที่สูญเสียบ้าน”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงอันทารุณ “ข้าได้พบกับกองทัพแห่งสภาสวรรค์ที่มาช่วยเหลือพวกเรา แต่ข้านั้นขวัญหนีดีฝ่อไปหมด ข้าไม่ได้เข้าร่วมกับพวกเขา และยังคงวิ่งหนีต่อไป เมื่อข้าได้สติกลับมา ข้าก็ไม่มีที่ไหนให้หนีอีก ข้าจะไปที่ไหนได้ ดังนั้น ข้าจึงหันหลังกลับ และเสาะเส้นทางมายังที่นี่ จากนั้น…”
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย และความเจ็บปวดในหัวใจของเขาก็ยากจะจินตนาการ เขาสูดลมหายใจลึกเข้าไปหลายครั้ง “จากนั้นข้าก็เห็นศพของพวกเขา ข้านั้นควรที่จะต่อสู้ร่วมกับพวกเขา ข้านั้นควรที่จะตายลงไปที่นี่พร้อมๆ กับพวกเขา แต่ข้าหลบหนี ข้ามีชีวิตต่อไป แต่พวกเขาถูกกลบฝังไว้ที่นี่ชั่วนิรันดร์…”
ไหล่ของเขาสั่นเทิ้มระหว่างที่เขาพยายามสะกดกลั้นน้ำตา “ข้าเตร็ดเตร่ไปที่นั่นที่นี่โดยไร้จุดหมายที่จะมีชีวิตอยู่ ข้าอยากจะตายไปพร้อมกับพวกเขา และในตอนนั้น ข้าก็เห็นเผ่าพันธุ์มากมายที่กำลังหลบหนีเอาชีวิตรอด มีผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนหนึ่งที่กำลังช่วยเหลือผู้คนธรรมดาอพยพหลบหนี ดังนั้นข้าจึงรับพวกเขาเข้ามา และปกป้องพวกเขาจนกว่าข้าจะค้นพบสถานที่ที่จะปักหลักได้”
“ข้าค้นหาเป็นเวลานาน และในท้ายที่สุด ข้าก็เจอสถานที่อันปราสาทสวรรค์ร่วงตกลงมา พวกเขาสำนึกในบุญคุณของข้า และพวกเขาที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงจากการหลบหนี ก็ใช้สมบัติชิ้นสุดท้ายของพวกเขาเพื่อหลอมสร้างลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาให้สัตย์สาบานว่าทุกๆ ชั่วคนจะจดจำสิ่งที่ข้าได้กระทำ และจะไม่บังอาจทรยศเป็นอันขาด พวกเขาไม่รู้ว่าข้าไม่ใช่กษัตริย์มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ข้าเป็นเพียงคนหนีทัพที่หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ!”
เขาหัวเราะเยาะตนเองและส่ายหัวไปมา “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ข้าไม่ได้ต้องการเป็นวีรบุรุษ ข้ามิได้ต้องการเป็นกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาผลักข้าขึ้นมาบนตำแหน่งนี้”
บรรพชนสองกล่าว “ดังนั้นในภายหลัง เมื่อท่านรับข้ามาเป็นศิษย์ และโยนลัญจกรกษัตริย์มนุษย์มาให้ข้า นั่นก็เพราะว่าท่านคิดว่าตัวท่านไม่คู่ควรกับลัญจกรกษัตริย์มนุษย์อย่างนั้นหรือ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผงกหัว
เขามายังตรงหน้าอาคารเก้าชั้นและมองขึ้นไปบนข้างบน “นี่คือศาลาหยกสว่าง และมีวิชาฝึกปรือกับทักษะเทวะแห่งยุคสมัยก่อตั้งที่ดีกว่าสวรรค์ไท่หวง พวกเจ้าทั้งหมดสามารถเข้าไปและร่ำเรียนตามแต่ใจต้องการได้”
จากนั้น เขาก็นั่งลงบนขั้นบันไดหินของศาลาหยกสว่างด้วยสีหน้าเศร้าโศก เขามองไปยังใบหน้าของผู้คนที่คุ้นเคย อันได้เสียชีวิตไปตรงหน้าศาลาหยกสว่าง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสองหมื่นปี เขาก็ยังคงเรียกชื่อคนเหล่านั้นได้ถูกทั้งหมด
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสองและคนอื่นๆ ไม่เดินเข้าไปในศาลาหยกสวรรค์ ในทางตรงข้าม พวกเขามองมายังเขา
ทันใดนั้น บรรพชนสองก็ถามด้วยเสียงอันขมขื่น “อาจารย์ ในเมื่อท่านมีวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ดีกว่า ทำไมท่านถึงไม่ถ่ายทอดพวกมันให้แก่ข้า ทำไมท่านถึงไม่ถ่ายทอดพวกมันให้แก่ผู้คนในโลกหล้า หรือท่านคิดว่าพวกผู้คนที่ท่านช่วยชีวิตมาล้วนแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ คนยากจนที่ไม่ควรค่าแก่วิชาฝึกปรือที่นี่หรือ”
เขาอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามพลางยิ้มหยัน “จริงสิ ท่านเป็นกษัตริย์มนุษย์ที่ได้รับการนับถือจากเผ่าพันธุ์ทั้งหมด พวกเราเป็นเพียงคนจนข้นแค้นที่ท่านช่วยเหลือมา พวกเราไม่อาจเทียบได้กับสายเลือดอันสูงส่งของท่าน ท่านเป็นองค์ชายที่สูงล้ำอยู่เบื้องบน พวกเราจึงไม่คู่ควรแก่วิชาฝึกปรือของท่าน! หากว่าท่านต้องการจะถ่ายทอด ท่านก็คงทำไปแล้วเมื่อสองหมื่นปีก่อน แล้วทำไมท่านถึงไม่ทำ”
เขาระงับความขมขื่นในหัวใจไว้ไม่อยู่ เขาทวีความดังเสียงขึ้น “ท่านรู้หรือเปล่าว่าหลังจากที่ท่านจากไป ข้าได้ต่อสู้กับเหนือฟ้าโดยลำพัง ข้าดิ้นรนต่อสู้และแทบจะทิ้งชีวิตไปก็หลายหนในเงื้อมมือของพวกเขา แต่ทั้งหมดที่ท่านให้กับข้าก็คือลัญจกรขยะนี่ ข้าถือมันเอาไว้ก็เพราะว่าข้ารู้สึกว่าข้าคือกษัตริย์มนุษย์ และข้าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อมวลมนุษย์! ท่านน่าจะได้สอนข้า! ท่านน่าจะได้สอนข้า!”
บรรพชนแรกสีหน้าแข็งทื่อ
บรรพชนสองชี้ไปยังกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายและกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “คนพวกนี้ พวกเขาล้มเลิกความฝันของตนเองเพื่อท่าน เพื่อต่อสู้ตลอดชีวิตของพวกเขา เพื่อทุ่มเทความอุตสาหะลงไป! พวกเขามากมายมิได้แต่งงาน ไม่มีบุตร และไม่มีทายาทสืบทอด…ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าพวกเรากลัวว่าตัวตนฐานะกษัตริย์มนุษย์จะทำให้ลูกหลานของตนเดือดร้อน พวกเขากลัวว่าการมีความรักจะฉุดรั้งพวกเขาจากภาระความรับผิดชอบของกษัตริย์มนุษย์ แต่ท่านล่ะ? ท่านได้ซ่อนตัวกบดานมาตลอดทั้งชีวิต และซ่อนตัวอยู่ถึงสองหมื่นปี ท่านได้ทำให้พวกเราผิดหวัง!”
ร่างของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสั่นเทิ้ม เขาส่ายหัว “ข้าไม่อาจถ่ายทอด มีผู้คนหลงเหลือจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเพียงไม่กี่คน หากว่าข้าถ่ายทอดให้กับเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดก็จะกลายเป็นภัยคุกคามที่ต้องถูกกวาดล้าง”
เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา “หากว่าข้าถ่ายทอดให้เจ้า ข้าก็จะทำร้ายพวกเจ้าทุกคน ข้าไม่สามารถ…”
บรรพชนสองตะลึงงัน สักพักหนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างขมขื่น “บัดนี้พวกเราได้ตายไปแล้ว เหลือก็แต่เพียงจิตวิญญาณดั้งเดิม ท่านถ่ายทอดให้พวกเราตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”
บรรพชนแรกซ่อนหน้าของเขาลงในข้อศอก เขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “มีกายเนื้อมากมายหลงเหลืออยู่ในวังหยกสว่าง พวกเขาได้ตายลงไปอย่างฉับพลันเกินไป ดังนั้นกายเนื้อของพวกเขาจึงไม่เน่าเปื่อย เจ้า…พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าไปสิงในร่างของพวกเขาและฟื้นคืนชีพตนเองขึ้นมา กษัตริย์มนุษย์ฉินต้องการพวกเจ้า มีก็แต่เขาที่ควรคู่กับคำว่ากษัตริย์มนุษย์…ไป! ไป! อย่าให้ข้าต้องเห็นพวกเจ้าอีก!”
บรรพชนสองและอดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ตะลึงงัน ทันใดนั้น บรรพชนสองก็คุกเข่าลงไป “อาจารย์!”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็คุกเข่าลง และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้ปิดหน้าของตนและจากไป
“บรรพชนแรกจะกลับมาไหม” อี้ซานถาม
บรรพชนสองมีอารมณ์อันหนักอึ้งในหัวใจและกล่าว “เขาอาจจะมองเห็นความหวังในตัวกษัตริย์มนุษย์ฉิน แต่เขาไม่ต้องการเห็นพวกเราเข้าสิงสู่ร่างของสหายเก่าของเขา ข้าไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาไหม หากว่าเขากลับมาและเห็นหน้าพวกเรา มันอาจจะกระตุ้นให้เขานึกถึงสหายเก่าที่ล่วงลับ…”