ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 636 วงแหวนเทวะเสกสรร
ฉินมู่จิตกระเจิดกระเจิงเมื่อเขามองไปยังปลายักษ์อันมีสามหัวหกครีบนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า เขาร้องออกมา “เจ้าหมายถึง ปลาพวกนี้คือทวยเทพแห่งยุคสมัยแสงฉาน?”
“ไม่เพียงแค่ปลา สัตว์ทะเลอื่นๆ ก็เช่นกัน!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังสัตว์ทะเลขนาดใหญ่อื่นๆ ที่กำลังแหวกว่ายไปมารอบๆ พวกมันก็มีสามหัวหกแขนเช่นกัน พวกมันมีพังผืดขนาดใหญ่อยู่ระหว่างแขนทั้งหก ดังนั้นเมื่อพวกมันว่ายน้ำไป พังผืดของพวกมันก็จะกระพือขึ้นและลงเพื่อผลักมวลน้ำ พวกมันว่ายน้ำอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วในทะเลอย่างสุดๆ
นอกจากสัตว์ทะเลพวกนี้แล้ว ยังมีปีศาจงูทะเลที่มีสามหัวหกแขน พวกมันมีศีรษะของบุรุษไม่ก็สตรี พวกมันยังมีแขนและหางแบนๆ ในตอนนั้น พวกมันกำลังแหวกว่ายไปยังวิหาร
ฉินมู่ถึงกับเห็นพืชประหลาดที่เดินได้ อันดูเหมือนปะการังและพืชน้ำอื่นๆ ในทะเล พวกมันมีสามยอดคาคบ และกิ่งก้านของมันก็มีหกกิ่งอย่างพอดิบพอดี
ยังมีสัตว์แปลกๆ อย่างเช่นดอกไม้ทะเลและแมงกะพรุน และพวกมันก็มีสามหัวหกแขน แมงกะพรุนบางตัวถึงกับงอกเงยใบหน้าอยู่ด้วย!
หนวดรากของพวกมันส่ายแกว่งไปมา และพวกมันดูเหมือนจะได้ยินเสียงเพรียกขานอันยากจะเงี่ยหูฟัง ในเมื่อพวกมันล้วนแต่แหวกว่ายไปยังซากโบราณ
“พวกมันไม่อาจรักษาสติปัญญาเอาไว้หรือ” ฉินมู่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
สัตว์ทะเลพวกนี้ไม่สนใจพวกเขา และเพียงแต่แหวกว่ายไปยังซากโบราณโดยไม่มีระบบระเบียบใดๆ เปล่งเสียงร้องอันต่ำทุ้มและเสนาะไพเราะ ไม่ก็กระชั้นสั้นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
พวกมันไม่มองว่าฉินมู่กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเป็นผู้รุกรานเข้ามา ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าสติปัญญาของพวกมันมิได้ถูกปลุกให้ตื่น พวกมันเพียงแค่มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงเพรียกขานโดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
“พวกมันไม่มีสติปัญญา”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนำเขาไปตรงหน้าปลายักษ์ตัวหนึ่งที่ดูงุนงงสับสน ดวงตามหึมาของมันกวาดมองมนุษย์ทั้งสองตรงหน้า แต่ไม่นานมันก็หมดความสนใจและว่ายน้ำจากไป
“มีก็แต่ทำเช่นนี้ พวกเขาถึงจะหลบหนีจากการไล่ล่าของสภาสวรรค์ได้”
บรรพชนแรกถอนหายใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ประสบความพินาศย่อยยับและความอัปราชัยโดยไร้พลังต่อสู้กลับ ดังนั้น พวกเขาก็เลยแปลงร่างเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีจิตคิดเป็นของตนเอง เพื่อแสดงให้สภาสวรรค์เห็นว่าพวกเขามิใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป มีก็แต่แบบนี้ถึงสามารถรอดชีวิตมาได้”
เทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉานได้แปลงร่างเนื้อของตนและจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็ถูกปิดผนึกเอาไว้ ในเมื่อพวกเขาแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งท้องทะเล โดยปราศจากเทวานุภาพและทักษะเทวะ พวกเขาก็ย่อมไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป
พวกเขาโชคดีมีชีวิตรอดต่อ
ในขณะเดียวกันนั้น เทพเจ้าอีกกลุ่มจากยุคสมัยแสงฉานก็ได้เดินทางไปยังสถานที่อันไกลลิบลับเพื่อค้นหาแห่งหนอันพวกเขาจะตั้งรกรากได้
“บุคคลที่กำลังเรียกพวกมันคือชื่อซี เขาอยู่ที่นี่แล้ว! หรือว่าเขาจะมีวิธีการที่ทำให้สัตว์พิสดารแห่งยุคสมัยแสงฉานฟื้นร่างกายเดิมกลับมา และปลุกสำนึกรู้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
ฉินมู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ “มิน่าล่ะ เขาถึงเอาแต่พูดว่าจะต้องกลับมายังดินแดนบรรพชนให้ได้ หากว่าสัตว์ยักษ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเทพเจ้า เทพชื่อซีก็จะสามารถปลุกระดมกองทัพของเทพเจ้านับหมื่น! ถ้าอย่างนั้น สันตินิรันดร์…”
เขาตัวสั่นเทาจากความคิดนั้น
สัตว์พิสดารเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นทุกที และพวกมันก็มีชนิดประเภทอันหลากหลาย หากว่าสัตว์ยักษ์พวกนี้ทั้งหมดแปลงร่างกลับมาเป็นเทพเจ้าสามเศียรหกกร สถานที่แรกที่พวกเขาจะเข้ายึดครองหลังจากขึ้นไปบนฝั่ง ก็คือสันตินิรันดร์!
ในสันตินิรันดร์มีเทพเจ้าอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เพราะว่าระยะเวลาที่พวกเขามีเพื่อพัฒนานั้นน้อยนิดเหลือเกิน จำนวนเทพเจ้าที่มีก็เพิ่งเหยียบหลักยี่สิบ ตอนนี้เทพเจ้าส่วนใหญ่ก็ไปต่อสู้กับเผ่ามารในสวรรค์ไท่หวง เขาสามารถจินตนาการได้ว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจะร่ำไห้ครวญครางขนาดไหนหากว่าเทพเจ้าทั้งหลายแห่งยุคสมัยแสงฉานขึ้นฝั่งมา
ทันใดนั้น ลำแสงรัศมีมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากใจกลางซากโบราณ
ชิ้ง
ลูกกลมแสงแผ่ขยายออกและนำเอาน้ำทะเลถล่มซัดใส่ฉินมู่และบรรพชนแรก ฉินมู่รู้สึกได้รางๆ ราวกับว่าลำแสงเหล่านี้ยิงทะลวงร่างของเขา แรงสั่นสะเทือนละเอียดเล็กอย่างยิ่ง แต่พวกมันทะลวงเข้าไปอย่างลึกล้ำ ราวกับว่าอนุภาคที่เล็กที่สุดในกายเนื้อของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดยั้ง นี่ทำให้กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขารู้สึกถึงความชา
เหวิ่ง เหวิ่ง เหวิ่ง!
วงแหวนแสงมากมายแผ่ขยายออกมาจากใจกลางซากโบราณ และกวาดซัดผ่านร่างของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก น้ำทะเลโถมซัดเข้ามา และวงแสงเหล่านั้นถึงกับผลักมวลน้ำเค็มให้ถอยออกไป ลูกกลมแสงจัดตั้งม่านคุ้มกันขนาดมหึมา และในซากโบราณแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลือรอยน้ำเลยแม้แต่น้อย กระทั่งพื้นก็แห้งสนิท!
ปัง ปัง ปัง
สัตว์ยักษ์ที่ลอยอยู่ข้างบนก็ร่วงลงมาในซากโบราณ บ้างก็ตกลงไปถล่มใส่ราชวัง และบ้างก็ร่วงลงใส่ถนน สถานการณ์ดูสับสนวุ่นวายไปพักใหญ่
ข้างในลูกกลมแสง มันดูเหมือนจะไม่มีอากาศ เมื่อสัตว์ยักษ์ทั้งหลายอ้าปากพะงาบๆ เพื่อพยายามดูดกลืนน้ำเข้าไป แต่พวกมันก็ดูดกลืนอะไรไม่ได้สักสิ่ง ปลายักษ์สามหัวหกแขนบางตัวก็ตีหางและครีบพราดๆ พยายามที่จะคลานออกไป พืชทะเลทั้งหลายก็หมายที่จะหนีออกจากซากโบราณด้วยการยกรากของพวกมันเพื่อวิ่งหนี แต่ทว่าสัตว์ทะเลอื่นๆ ก็วิ่งเร็วกว่าพวกมันอยู่ดี
ในตอนนั้นเอง เสาแสงต้นหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น และทะลวงขึ้นไปบนท้องฟ้า มันแทงทะเลเบื้องบนและเปิดช่องทางผ่าน ลมแรงพัดเข้ามา และถ่ายเทเข้าสู่เมืองเทพยดาแห่งนี้
สัตว์ยักษ์ทั้งหลายดูจะหายใจได้โดยพลัน แต่ทว่าปลายักษ์เหล่านี้ยังคงไม่สามารถ และยังคงคลานออกไปข้างนอกต่อ
จู่ๆ พื้นดินที่เสาแสงต้นแรกยิงออกมาก็ระเบิดออกและเริ่มจะสั่นสะเทือน วงแหวนกลมขนาดมหึมาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากในนั้น และมันสร้างเสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะเมื่อมีวงแหวนที่สองปรากฏ ตามด้วยวงแหวนที่สามและสี่…
อักษรรูนอันเพริศแพร้วประณีตอย่างถึงที่สุดปรากฏบนวงแหวนเหล่านั้น และเทพชื่อซีก็กำลังยืนอยู่ที่ใจกลางด้วยแขนทั้งหกของเขาที่ยื่นเหยียดออกไปในทุกทิศทาง
วงแหวนกลมเริ่มจะหมุนไป ด้วยเทพชื่อซีที่อยู่ตรงกลาง อักษรรูนรอบๆ ตัวเขาก็พลันจุดแสงขึ้น อักษรรูนสว่างไสวลอยออกมา และส่องแสงไปทั่วทิศทาง
ฉินมู่พลันเห็นอักษรรูนตกลงไปบนสัตว์ทะเล และก็มีอักษรรูนที่ปรากฏบนตัวพวกมัน รอยประทับอักษรรูนเหล่านั้นดูสลับซับซ้อนราวกับว่ามันเป็นแม่กุญแจมากมายที่คล้องเชื่อมเอาไว้ด้วยกัน ก่อขึ้นมาเป็นเวทปิดผนึกแบบหนึ่ง เมื่ออักษรรูนของวงแหวนกลมนั้นสาดส่องลงมาบนผนึกเหล่านี้ แม่กุญแจก็เริ่มคลายออกไปทีละชั้นๆ!
“นี่แย่แล้ว! เขากำลังจะคลายผนึกเทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉานและฟื้นคืนร่างเดิมกลับมา!”
ฉินมู่ตัดสินใจทันทีและตบถุงเต๋าตี้ของเขา กระจกจำนวนหนึ่งลอยออกมา และกระจกพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เขามักใช้แต่งเนื้อแต่งตัว เขามีไม่มากนัก มีแต่ห้าหกชิ้น
ฉินมู่จึงนำเอาไจกระบี่ออกมา อันขยายตัวออกก่อขึ้นมาเป็นกระจกขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากกระบี่แปดพันเล่ม กระจกนี้สะท้อนแสงกระจ่างจ้า
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรีบหยุดเขาเอาไว้ และถาม “เจ้ากำลังจะทำอะไร”
“ทำลายเวทมนตร์นี้!”
ฉินมู่อธิบายอย่างรวดเร็ว “เทพชื่อซีพยายามที่จะใช้อักษรรูนบนวงแหวนเพื่อส่องไปรอบๆ และคลายเวทปิดผนึกบนร่างของพวกสัตว์พิสดาร ทำให้มันย้อนกลับคืนสู่ร่างเดิม ข้าเพียงแต่จะต้องสะท้อนอักษรรูนและกลับทิศทางของพวกมัน ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะไม่สามารถคลายผนึกเทพเจ้าทั้งหลายได้!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเบิกตากว้างจ้องเขา ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เขาก็ชมเปาะ “เทพศาสตราของเทพชื่อซีเป็นเทพศาสตราแห่งการเสกสรร อักษรรูนบนนั้นซับซ้อนเกินจะหยั่งคะเน และแม้แต่ข้าก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไขมันออก แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถคิดวิธีการเรียบง่ายเช่นนี้มาเพื่อทำให้มันล้มเหลว เจ้าไม่เพียงแต่เป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่ก็ยังมีมันสมองอันเฉียบแหลมเกินใครของจ้าวแดนดินอีกด้วย แต่ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องยุ่งยากขนาดนั้น ปล่อยให้เขาคลายผนึกไปเถอะ”
ฉินมู่ส่ายหัว เขากระวนกระวายอย่างถึงที่สุด “ข้าปล่อยเขาทำไม่ได้! เทพเจ้าแห่งยุคแสงฉานเก่งกาจในการสู้รบ และจากพฤติการณ์ของเทพชื่อซี คนผู้นี้สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย หากว่าเทพเจ้าแห่งยุคแสงฉานถูกคลายผนึกออกมาและฟื้นฟูร่างที่แท้จริงกลับคืน นี่ก็จะกลายเป็นหายนะที่แท้จริงของสันตินิรันดร์! ศัตรูของศัตรูไม่จำเป็นจะต้องเป็นสหายของพวกเรา พวกเขาก็สามาถเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน! เขาจะไม่มีวันร่วมมือกับพวกเรา ดังนั้นข้าจึงต้องทำลาย…”
“ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว เจ้ามองจากมุมมองของเผ่าพันธุ์ แต่อีกด้านหนึ่ง ข้ามองจากมุมมองของมรรคา วิชา และทักษะเทวะ”
ใบหน้าของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเผยวี่แววของความเวทนา พลางส่ายหัวไปมา “สามหมื่นห้าพันปี…ชื่อซีคงจะไม่คาดคิดว่าเทพเจ้าของยุคสมัยเขาจะต้องผ่านวันเวลาถึงสามหมื่นห้าพันปี จิตวิญญาณดั้งเดิมในร่างของพวกเขามิได้เป็นแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นดวงวิญญาณของพวกเขาก็ไม่ใช่ดวงเดิมกับในอดีตอีกต่อไป”
ฉินมู่ตกตะลึง และเก็บกระจกเล็กของเขากลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังเก็บกระจกใหญ่อันก่อขึ้นมาจากไจกระบี่เอาไว้ “ที่เจ้าหมายถึงคือ จิตวิญญาณดั้งเดิมของสัตว์ทะเลและปลาเหล่านี้ไม่สามารถคืนกลับสู่สภาพเดิมได้อีกต่อไปอย่างงั้นหรือ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผงกหัว “เวลาลากยาวขนาดนี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาได้กลายเป็นบิดเบี้ยวไปแล้ว ยุคสมัยแสงฉานไม่มีความสำเร็จด้านดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมสูงส่งนัก พวกเขาด้อยกว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขาฝืนใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อแปรเปลี่ยนโครงสร้างกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม หากว่าพวกเขาคืนร่างกลับมาได้ทันเวลา พวกเขาก็ยังคงฟื้นสติขึ้นมาได้ แต่ทว่า ในเมื่อมันลากยาวนานถึงสามหมื่นห้าพันปี ดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ถูกกักเอาไว้ในรูปทรงอันแตกต่างเนิ่นนานเกินไป ก็มีพวกเขาไม่มากที่จะฟื้นคืนทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณกลับมาได้ ผู้ที่เสนอแนะแนวคิดนี้ น่าจะมีเจตนาไม่ดี”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรงและถามด้วยความไม่เชื่อหู “เจ้าหมายถึงว่า ผู้ที่เสนอแนะความคิดนี้เมื่อครั้งนั้นได้จงใจหมายให้เทพเจ้าทั้งหลายแห่งยุคสมัยแสงฉาน มิอาจมีวันฟื้นคืนกลับมาจากการเป็นสัตว์ทะเลได้อย่างนั้นหรือ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผงกหัวน้อยๆ “บุคคลผู้นี้น่าจะสวามิภักดิ์ต่อสภาสวรรค์มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงวางกับดักเอาไว้แก่ทวยเทพแห่งยุคสมัยแสงฉาน”
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มอยู่สามสี่หน “มิน่าล่ะ ผู้ใหญ่บ้านและท่านปู่บอดถึงบอกว่าข้าใสซื่อและไม่เจ้าเล่ห์มากพอ ข้านั้นไร้เดียงสาจนเกินไปจริงๆ”
วงแหวนเหล่านั้นหมุนวนไปอย่างต่อเนื่อง และอักษรรูนนับไม่ถ้วนก็ฉายส่องมาอย่างรวดเร็ว เวทปิดผนึกยิ่งปรากฏบนร่างของสัตว์ทะเลพวกนี้มากขึ้นทุกทีๆ และเวทปิดผนึกเหล่านี้ก็ค่อยๆ ถูกคลายไปทีละเปลาะๆ ร่างกายของพวกเขาก็กำลังแปรเปลี่ยนไป
เมื่อวงแหวนหยุดหมุน ร่างเปลือยของเทพเจ้ามากมายก็ก่ายกองอยู่ทุกหนแห่งในเมืองใต้น้ำอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ เทพเจ้าทั้งหลายอันมีสามเศียรและหกกร สักรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์แห่งยุคสมัยแสงฉาน
กายเนื้อของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือร่างกายกำยำที่ใช้เพื่อการต่อสู้!
แต่ทว่าเทพเจ้าเหล่านี้ยังคงนอนอยู่กับพื้นและบิดตัวไปมาราวกับว่าพวกเขายังเป็นปลาหรือสัตว์ประหลาดทะเล บางก็ลุกขึ้นยืนและกางแขนออก ราวกับว่าพวกเขาคือต้นไม้ใต้ทะเล
ฉินมู่ถึงกับเห็นเทพเจ้าแห่งยุคแสงฉานบางตนที่เขี่ยหัวแม่ตีนของตนลงไปกับพื้น เขาน่าจะเพิ่งแปลงร่างมาจากแมงกะพรุนและยังคงนึกว่าตนเองยังมีหนวดรากอยู่ เขากะพริบตาไปมาอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับว่าพยายามจะส่องแสงออกมาเหมือนแมงกะพรุน
“ตื่นขึ้นมา! สหายร่วมเผ่าของข้า ข้ากลับมาแล้ว!”
เสียงของเทพชื่อซีก้องสะท้อนไปทั่วเมืองเทพยดาแห่งนี้ เสียงสามเสียงของเขาเปล่งออกมาพร้อมกันด้วยความเร่งร้อน “ยุคสมัยแสงฉานของพวกเรากลับมาแล้ว! การต่อสู้ของพวกเรายังไม่จบสิ้น โอรสเทพจากยุคแสงฉานยังคงรอข่าวของพวกเจ้าอยู่! ตื่นขึ้นมา!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสลายวิชามุทราของเขา และพวกเขาก็ลงเหยียบกับพื้น เขาเดินตรงไปยังที่มาของเสียงเทพชื่อซีและกล่าว “พวกเราไปตรงนั้นกันเถอะ”
ฉินมู่ติดตามเขา และเสียงของเทพชื่อซีก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของเขามีความงงงวยและหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าทุกคน ทำไมไม่มีใครฟื้นขึ้นมาเลย ตื่นขึ้นมา! เจ้าลืมความเกรียงไกรของพวกเราจากเมื่อสามหมื่นห้าพันปีไปแล้วหรือ”
เสียงของเขาว้าวุ่นขึ้นทุกขณะ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉานเหล่านี้ถึงไม่ตื่นขึ้นมาอย่างที่เขาได้คาดคะเนเอาไว้ เขาขับเคลื่อนวงแหวนซ้ำแล้วซ้ำอีก และอักษรรูนก็สาดส่องออกไปทั่วทิศทาง แต่ทว่ามันก็ไม่มีประโยชน์กับเทพเจ้าเหล่านั้น
ไม่นานนัก ฉินมู่และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็มายังข้างใต้วงแหวนที่ลอยอยู่ และเทพชื่อซีก็สังเกตเห็นพวกเขา วงแหวนหยุดหมุน และเพชฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉานผู้นี้ก็หันศีรษะทั้งสามมองไป เขาจ้องไปที่พวกเขาด้วยสายตาอันเยียบเย็น
“จ้าวลัทธิฉิน!”
ทันใดนั้น เสียงอันคุ้นเคยก็ดังออกมา และฉินมู่ก็มองไปยังทิศทางเสียง เขาเห็นผานกงสั่วยืนอยู่บนหอคอยสูง มองมาที่เขาด้วยความตื่นเต้น
ฉินมู่ประหลาดใจและโบกมือให้แก่เขา “ผู้สูงศักดิ์! ทำไมเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยล่ะ”
ผานกงสั่วหัวเราะ และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้มแปลงร่างเป็นสามเศียรหกกร เขาวิ่งตะบึงลงมาจากหอคอยขณะที่หัวทั้งสามของเขาตะโกนไป “ข้าตามหาเจ้ามาตั้งนาน และตอนนี้ข้าก็จะได้ล้างแค้นแล้ว! คอยดูวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลของข้า!”
ฝีเท้าของเขาเหยียบไปบนหอคอยสูง และวิ่งตั้งฉากลงมา แขนทั้งสองของเขายกขึ้นๆ ลงๆ เมื่อมุทราบนฝ่ามือทั้งหกของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างคาดเดาไม่ถูก เสียงฟ้าลั่นดังมาเมื่อมวลอากาศระเบิดออก และประกายสายฟ้าก็พุ่งซิกแซกไปมาในอากาศ ฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วทิศทาง!
วิชามุทราของวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน และในเมื่อเขามีแขนมากขึ้น เขาก็ไม่มีจุดอ่อนเลยรอบกายความเร็วการโจมตีของเขาเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด และวิชานี้ก็นับได้ว่าไร้ช่องโหว่รั่วไหล มันถึงกับสามารถดูดกลืนปราณและโลหิตของผู้อื่นเพื่อทำให้ตนเองอยู่ในสภาวะเปี่ยมกำลังวังชาตลอดเวลา
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองดู ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะมาถึงตัว หอบลมก็กดอัดลงมาราวกับภูเขาโถมลงทับ และพื้นดินรอบๆ ฉินมู่ก็จมลงไปอย่างต่อเนื่อง แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาต้านทานอยู่นั้น ไม่อาจจะนึกฝันได้
ผานกงสั่นระเบิดหัวเราะอย่างสาแก่ใจเมื่อเขาพุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้า พลานุภาพของวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มพิกัด!
ตูม
ร่างของผานกงสั่วสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงและกระเด็นถอยไปปะทะกับโถงวัง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังไม่ทันจางหายไป
“ซ้อนมือ!”
ฉินมู่ประกบมือขวาข้างหน้า ซ้อนมือซ้ายไว้ข้างหลัง ด้วยฝ่ามือของเขาที่ประกบกัน เขาก็พุ่งเข้าไปใส่ผานกงสั่วข้ามพื้นที่ และพลังอันซ้อนทับกันของมือหยินหยางพลิกสวรรค์ก็พวยพุ่งออกไป เสียงระเบิดดังสนั่นมาอีกครา ก้อนหินปลิวกระจุยกระจายไปทั่วทิศ และผนังก็พังทลาย ผานกงสั่วและผนังโถงวังยุบเข้าไปในโถง
ฉินมู่ผลักออกไปอีกหลายสิบครั้ง และเสียงระเบิดหลายสิบครั้งก็ดังมาจากในโถง ก่อนที่จะยุติในที่สุด
“เขาหนีเร็วจริงๆ”
ฉินมู่ส่ายหัวพลางเอ่ยชม “สมแล้วกับที่เป็นผู้สูงศักดิ์ วรยุทธของเขาเพิ่มพูนขึ้นเร็วจนน่าแตกตื่นอีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเขตขั้นเป็นตาย ผู้สูงศักดิ์ยังคงทนมือทนตีนข้าเหมือนเคย และก็ยังคงว่องไวเรื่องหนี”
ข้างหลังเทพชื่อซี ร่างของผานกงสั่วพลันปรากฎ และเขาโซมไปด้วยเลือด แขนของเขาหักไปห้าจากหก และคอก็หักไปสองจากสาม หัวสองหัวของเขาห้อยตกลงมาอย่างอ่อนเปลี้ย ส่วนร่างของเขาก็ส่ายโงนเงนก่อนจะล้มคว่ำลงกับพื้น และบิดกระตุกไปมา
“ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้า…” ผานกงสั่วกระอักเลือดออกมากองใหญ่
ฉินมู่หันกลับไปราวกับว่าไม่มีอะไรสลักสำคัญเกิดขึ้น เขาคารวะทักทายชื่อซี “ผู้อาวุโสชื่อซี พวกเราพบกันอีกแล้ว ยุคสมัยแสงฉานนับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ อักษรรูนบนวงแหวนเหล่านี้คืออักษรรูนจากทักษะเทวะเสกสรร ใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยได้ไหม”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และสีหน้าก็รอด้วยความหวัง หมายที่จะแสวงหาความรู้อย่างบริสุทธิ์ใจ
สีหน้าของเขานี้ ไม่แตกต่างกับกวางโรโง่เซ่อเลยสักนิด…
เส้นเลือดผุดขึ้นปุดๆ ที่หน้าผากของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขณะที่เขาคิดอยู่ในใจ