ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 650 ความลับของจักรพรรดิสูงส่ง
บรรพชนแรกยังคงอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าลูกตาสองลูกจะไว้วางไม่ได้อย่างสุดๆ แต่พวกมันก็สามารถประสบความสำเร็จในการกระตุ้นฤทธิ์พลังยาทั้งหมดในรวดเดียว อาการบาดเจ็บในจิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกบรรเทาลง และเขาก็สามารถหลบหนีออกจากมีดประหารเทพบนแท่นประหารเทพได้
แน่นอนว่า ฉินมู่ไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้ หากว่าเขารู้ เขาจะต้องสั่งสอนลูกตาทั้งสองให้หลาบจำเป็นแน่
บรรพชนแรกลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง ร่างของเขาส่ายโงนเงน อาการบาดเจ็บบนกายเนื้อของเขาหายดีแล้ว แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมและปราสาทสวรรค์ของเขายังคงมีอาการบาดเจ็บรุนแรง โชคยังดีว่า ชีวิตของเขาไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป
“อาการบาดเจ็บของชื่อซีเบาบางกว่าข้า และตอนนี้กำลังฝีมือของเขาก็สูงกว่าข้า”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยเสียงอ่อนระโหย “ข้าเกรงว่าจะปกป้องเจ้าไม่ได้”
ฉินมู่ไม่กังวลอะไร “แม้เขาจะรู้ว่าเจ้ามีกำลังฝีมือไม่มาก แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรอก เขาไม่กล้าเสี่ยง เมื่ออาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีเต็มที่ เขาก็จะยิ่งไม่กล้าเสียงเข้าไปใหญ่”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกส่ายหัว “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเขา แต่เป็นโลกลอยเลื่อน เจ้ามั่นใจหรือเปล่าที่จะเยียวยาข้าจนหายดีก่อนที่พวกเราจะเข้าไปยังโลกลอยเลื่อน”
ฉินมู่ลังเล เขาไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถรักษาบรรพชนแรกให้หายดีได้ภายในไม่กี่เดือน บาดแผลในจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และเขายิ่งไม่มีประสบการณ์เมื่อมาถึงอาการบาดเจ็บของปราสาทสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น บนเรือหักพังลำนี้ก็มีสมุนไพรวิญญาณอยู่ไม่มาก แม้ว่าในถุงเต๋าตี้เขาจะมีสมุนไพรหลากหลายชนิด แต่เขาก็ยังคงขาดตัวยาสำคัญ
หากว่าเขาต้องการจะเยียวยาบรรพชนแรก เขาก็จะต้องไปยังโลกลอยเลื่อนเพื่อดูว่าเขาจะสามารถซื้อหาสมุนไพรวิญญาณได้เพียงพอหรือไม่
“สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินนั้นสร้างความเสียหายให้กับเจ้ามากเกินไป ต่อไปนี้เจ้าอย่าใช้มันอีก” ฉินมู่แนะนำ
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกส่ายหัว “ข้าไม่อยากให้ครูบาสวรรค์คิดว่าข้าเป็นคนหนีทัพอีกต่อไป”
ฉินมู่อึ้ง เพียงเพราะว่าเขาเคยหนีทัพครั้งหนึ่ง เขาก็ต้องแบกรับความเสื่อมเสียของการเป็นคนหนีทัพไปชั่วนิรันดร์ นี่มันค่อนข้างโหดร้ายเกินไป
“เหตุผลที่ครูบาสวรรค์กล่าวว่าเจ้าเป็นคนหนีทัพ นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะว่าเจ้าวิ่งหนีจากศึกในครั้งนั้น”
ฉินมู่ครุ่นคิด และอนุมานจิตเจตนาของนักบุญคนตัดไม้ “หลังจากที่เจ้ากลายเป็นคนหนีทัพ เจ้าก็ยังคงหนีต่อไปเป็นเวลาสองหมื่นปี โดยไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับความจริงเลยสักครั้ง เจ้ากบดานและปลีกตัวจากเรื่องราวทั้งหลายในโลกหล้า เจ้าเสียเวลาของตนเองไปและไม่ขวนขวายเพื่ออะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง เจ้าถึงกับไม่สอนศิษย์ของเจ้าให้ดีๆ เขาไม่ได้คิดแค้นฝังใจที่เจ้าวิ่งหนีไปครั้งหนึ่งหรอก แต่เป็นเพราะว่าเจ้าวิ่งหนีมาตลอดสองหมื่นปีนั่นแหละที่เขาให้อภัยไม่ได้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจมลงในภวังค์เหม่อลอย
ฉินมู่ไม่กล่าวต่ออีก เขามองไปยังสวนสมุนไพรที่ถูกกระทืบเละ สมุนไพรเหล่านี้ยังคงงอกงามขึ้นมาได้ใหม่ด้วยวิชาดินอสงไขยเสกสรร แต่เขาก็ยังคงขาดสมุนไพรอีกหลายชนิด
ถุงเต๋าตี้ของเขาปูดทางโน้น โปนทางนี้ เมื่อเนตรหยกสองดวงวิ่งไปมา ฉินมู่ปล่อยเนตรหยกทั้งสองออกมา และพวกมันก็กระโดดลงกับพื้น พวกมันยื่นมือผอมแห้งของมันออกไปข้างๆ และเดินไปรอบๆ เพื่อสำรวจบริเวณ
“พี่น้อง พี่น้อง! มีสาวๆ มีสาวๆ!”
เนตรหยกจันทรามองไปยังหลิงอวี้จิวและกล่าวอย่างตื่นเต้น “นี่คือหนึ่งในสาวๆ ที่ค้นเจอพวกเรา!”
ลูกตาสองลูกเป็นประกาย เมื่อพวกมันจ้องมองหลิงอวี้จิวอย่างไม่ลดละ เมื่อพวกมันมองจนพอใจ ถึงค่อยไปเดินเล่นที่อื่นต่อ
หลิงอวี้จิวสำรวจตรวจตราลูกตาสองลูกด้วยความตื่นตระหนก นางเดินไปรอบๆ พวกมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยุดอยู่ข้างๆ ฉินมู่ “วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ?”
ฉินมู่ผงกหัว
“ทำไมเจ้าถึงปลุกพรายวิญญาณของพวกมันขึ้นมาล่ะ”
หลิงอวี้จิวกล่าวด้วยเสียงเบา “ลูกตาสองลูกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เทพเจ้าทั่วไปก็ไม่อาจป้องกันลำแสงเนตรของพวกมันได้ หากว่าพวกมันกระด้างกระเดื่องขึ้นมา พวกเราจะปราบปรามไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้ว พวกมันรู้ตัวไหมว่าพวกมันแข็งแกร่งสุดๆ”
ฉินมู่ส่ายหัวและกระซิบ “พวกมันไม่รู้หรอก พวกมันยังกังวลอยู่เลยว่าข้าจะฟาดพวกมันให้กลับไปเป็นร่างเดิม”
หลิงอวี้จิวระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นก็ระลึกบางอย่างได้และกล่าว “พวกมันรู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นดวงตาของเต๋าตี้ หลังจากที่เจ้าปลุกพรายวิญญาณหีบขึ้นมา มันก็เหมือนกับเต๋าตี้ที่ชอบกินไปหมดทุกอย่าง เขาถึงกับติ๊ต่างว่ากิเลนมังกรเป็นศพและกินเขาเข้าไปตั้งหลายครั้ง”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกมันไร้เดียงสาสุดๆ”
เนตรหยกทั้งสองกลิ้งไปทางนั้นที ทางนี้ที พลางพูดจาหัวเราะกันไปมา พวกมันไม่รู้ว่ามนุษย์สองคนนี้กำลังนินทาอะไรกัน
หลิงอวี้จิวเข้าใกล้พวกมันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะชื่อว่าเสี่ยวหยาง และเจ้าก็จะเป็นเสี่ยวหยิน”
“ได้เลย!”
ทั้งสองเนตรหยกกล่าวเป็นเสียงเดียว “สาวอึ๋ม!”
หลิงอวี้จิวกลับไปที่ข้างกายฉินมู่ และนางกระซิบ “สัตว์ประหลาดลูกตาทั้งสองไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น พวกมันเพิ่งเรียกข้าว่า ‘สาวอึ๋ม’ เมื่อครู่”
ลูกตาทั้งสองวิ่งเข้าไปในป่า ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีไฟลุกในป่า หลิงอวี้จิวรีบยัดกล่องเล็กคืนให้ฉินมู่อย่างร้อนรนและวิ่งตรงไปยังต้นไม้ที่ติดไฟ ปราณชีวิตของนางแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวารี ดับไฟเหล่านั้นในพริบตา
สัตว์ประหลาดลูกตาทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้น มองด้วยความพึงพอใจ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพวกเราสามารถล่อสาวอึ๋มมาที่นี่ด้วยวิธีนี้ได้ ใช่ไหมล่ะ”
“พี่น้องฉลาดจริงๆ!”
หลิงอวี้จิวชักสีหน้า นางไม่เสียเวลาใดๆ และลากขาผอมๆ ของสัตว์ประหลาดลูกตาสองตัวไปโยนไว้ตรงหน้าฉินมู่ “ไอ้สองแสบนี่เกือบจะเผาป่าไหม้ไปหมด พวกเราเกือบจะตายอย่างน่าอนาถ! เจ้าฟาดพวกมันให้กลับร่างเดิมเลยดีกว่า จะได้ป้องกันไม่ให้พวกเราต้องเจอเรื่องยุ่งยากอีก!”
“น้าหญิงใหญ่ ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย–” สัตว์ประหลาดลูกตาทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาของมันทาบลงกับพื้น
ฉินมู่สีหน้าลำบากใจ “ข้ายังต้องใช้พวกมันเพื่อส่งยาเข้าไปในปราสาทสวรรค์ของบรรพชนแรก ดังนั้นยังคงฆ่ามันไม่ได้–”
“ข้าจะจดหนี้นี้เอาไว้ก่อน หากว่าพวกเจ้าทั้งสองก่อเรื่องอีก ตัดหัวเจ้า!” หลิงอวี้จิวคำราม
ลูกตาประหลาดทั้งสองกอดกันกลมและดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว
“แต่เหมือนพวกเราจะไม่มีหัวนะ–”
“หุบปาก! นางยังไม่รู้ตัวว่าพวกเราไม่มีหัว หากว่าพวกเราเตือนให้นางรู้ นางก็จะจิ้มตาพวกเราให้บอดแทน!”
ฉินมู่ปล่อยพวกมันไป และหลอมปรุงยาต่อ เมื่อฤทธิ์พลังยาในร่างกายของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหมดสิ้นไป เขาก็ให้ลูกตาประหลาดทั้งสองเข้าไปใหม่อีกรอบ ส่วนตัวเขาไปที่ท้ายเรือ เขาศึกษาตรวจตราดูโลหิตที่เทพครองดาวมหาตะวันทิ้งเอาไว้อย่างละเอียด
เทพครองดาวมหาตะวันได้รับบาดเจ็บสาหัส และโลหิตเทวะที่ร่วงลงมาจากเขาก็ลุกไหม้เป็นไฟเพลิงทันทีที่หยดลงไปบนเรือ ปราณกระบี่ของบรรพชนแรกได้ดับไฟนั้นไป แต่เทวานุภาพในโลหิตเทวะยังคงอยู่ที่นั่น มันมีอักษรรูนอัคคีที่ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ และพวกมันดูมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่ไม่กล้าแตะมัน ในตอนนั้นเอง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็เดินโผเผมาทางเขา เขาดึงเอากระบี่ของเขาออกมา ยื่นให้แก่ฉินมู่ “ลองใช้กระบี่นี้ดู…”
ฉินมู่รับกระบี่หยกสว่างมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้สำรวจสมบัติชิ้นนี้อย่างใกล้ชิด กระบี่หยกสว่างนั้นเป็นสมบัติขององค์ชายอันใช้พิทักษ์ปกป้องวังสวรรค์หยกสว่าง พลานุภาพของมันน่าสะพรึงกลัวอย่างเหนือธรรมดา และทั้งลำตัวกระบี่นั้นเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ามันเป็นกระบี่ที่สร้างขึ้นมาจากแสง แสงนั้นส่งเสียงหึ่งฮัมราวกับว่ามันไม่มีความยาวที่แน่นอนตายตัว เห็นได้ชัดว่าฝีมือในการหลอมสร้างกระบี่เล่มนี้สูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง
มาตรฐานงานฝีมือนี้บรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งที่แม้แต่เฒ่าใบ้ก็ยังเอื้อมไปไม่ถึง!
ทันใดนั้น ฉินมู่นำกระบี่ไร้กังวลของเขาออกมา เปรียบเทียบกับกระบี่หยกสว่าง กระบี่ไร้กังวลดูเรียบง่ายธรรมดากว่ามาก มันไม่แสดงเทวานุภาพออกมาให้เห็น และไม่เปล่งแสงเจิดจ้าเหมือนกับกระบี่หยกสว่าง กระบี่ไร้กังวลนั้นเหมือนกับเทพศาสตราธรรมดาๆ ที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมาจากโลหะเทวะ มันไม่มีความประณีตในการรังสรรค์ที่โดดเด่นสะดุดตา
“กระบี่นี้ของเจ้า…”
กษัตริย์มนุษย์บรรพขนแรกห้วงจิตสั่นสะเทือน “ให้ข้าดูสักหน่อย!”
ฉินมู่ยื่นกระบี่ไร้กังวลให้แก่เขา กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสำรวจตรวจตรากระบี่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็ทั้งเหม่อลอยและขมุกขมัว เขาถามด้วยเสียงแหบพร่า “ใครให้มันกับเจ้า”
“พ่อของข้า”
ฉินมู่ใช้ปลายกระบี่หยกสว่างจุ่มและช้อนโลหิตเทวะก้อนใหญ่ของเทพครองดาวมหาตะวันขึ้นมา ชั้นของวงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของเขา ขณะที่เขาสำรวจเลือดก้อนนั้นด้วยเนตรสวรรค์อาภา “เขาได้ลงนามในสัตยาบันภูติบดีกับเทพครองดาวเสาร์ว่าเขาจะไม่สามารถพบเจอข้าได้ เขามอบกระบี่นี้ให้กับข้าเป็นของแทนตัว”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถาม “เจ้ารู้นามของกระบี่นี่หรือไม่”
“กระบี่ไร้กังวล เมื่อข้าได้รับกระบี่นี้มา ข้าเห็นคำว่าไร้กังวลปรากฏบนกระบี่”
ฉินมู่แตะลงไปบนโลหิตเทวะของเทพครองดาวมหาตะวันอย่างระมัดระวัง กระบี่หยกสว่างได้สะกดข่มเทวานุภาพของโลหิตเทวะ แต่ทว่าด้วยการแตะของเขา ก้อนเลือดนี้ก็พลันขยายตัวออก และแปรเปลี่ยนเป็นลูกบอลโลหิตที่มีรัศมีวาครึ่ง
นิ้วทั้งห้าของฉินมู่แตะลงไปอย่างนุ่มนวลบนลูกบอลโลหิตทีละนิ้ว ลูกบอลโลหิตนี้ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นใหญ่ขึ้นทุกทีๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นลูกบอลโลหิตใหญ่ถึงห้าสิบวาที่หมุนปั่นไปอย่างต่อเนื่อง!
“กระบี่ไร้กังวล…”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเผยยิ้มบางและกล่าวอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้มันเรียกว่ากระบี่ไร้กังวล จริงสิ นี่มันก็ไร้กังวลแล้วจริงๆ…”
ฉินมู่เพ่งสายตา และพยุหะในดวงตาของเขาก็หมุนไปอย่างเชี่ยวกรากเพื่อมองดูแม้กระทั่งปรมาณูที่เล็กที่สุดในลูกบอลโลหิต
“บรรพชนแรก เทพครองดาวมหาตะวันผู้นี้มิใช่เทพครองดาวมหาตะวันตัวจริง เขานั้นเหมือนกับเจ้า เป็นมนุษย์ที่ฝึกปรือจนบรรลุเป็นเทพเจ้า”
ฉินมู่กล่าวโดยพลัน “ลองมาดูสิ โลหิตของเขาจริงๆ แล้วเป็นเลือดมนุษย์ เทพเจ้าที่ถือกำเนิดจากดวงตะวันไม่ควรที่จะมีเลือดมนุษย์อยู่ในกาย อักษรรูนแปลกประหลาดถูกประทับฝังเอาไว้ในเลือดของเขา และทุกๆ อณูโลหิตที่เล็กที่สุดของเขาถูกประทับฝังไว้ด้วยอักษรรูนอัคคีอันเพริศแพร้วพิสดาร อักษรรูนเช่นนี้น่าจะเป็นอักษรรูนอัคคี หรือไม่ก็อักษรรูนหยางพิสุทธิ์”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าอ่อนแอ และข้าไม่อาจขับเคลื่อนเนตรเทวะได้ บรรยายอักษรรูนนี้ให้ข้าได้เห็นหน่อย”
ฉินมู่สลายลูกบอลโลหิต และมันก็หดเข้าไปอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นก้อนเลือด จากนั้นเขาก็พลิกกระบี่ และก้อนเลือดนี้ก็ร่วงลงกับพื้น
ด้วยปราณชีวิตของเขาต่างพู่กัน เขาก็วาดภาพของอักษรรูนที่เขาเห็นไว้บนอากาศ อักษรรูนนี้มีรอยประทับอันแปลกประหลาดที่ดูซับซ้อน มันดูเหมือนจะบรรจุไว้ด้วยรอยประทับของสัตว์เทพธาตุไฟทุกชนิด แต่ทว่า มันดูเหมือนกันไปหมด และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ฉินมู่มองไม่ออกว่ามันคืออักษรรูนอัคคี หรืออักษรรูนหยางพิสุทธิ์
“นี่เป็นอักษรรูนของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง มันแตกต่างไปจากอักษรรูนอัคคีและอักษรรูนหยางพิสุทธิ์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเพ่งพิศมันโดยละเอียดและกล่าว “ครูบาสวรรค์มีการศึกษาค้นคว้าในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง แต่ข้าไม่ได้เรียนมาจากเขามานัก อย่างน้อยข้าก็สามารถยืนยันได้ว่าเทพครองดาวมหาตะวันผู้นี้คือมนุษย์ที่ฝึกปรือจนบรรลุเป็นเทพเจ้าจริงๆ เขานั้นไม่ใช่เทพครองดาวมหาตะวันตัวจริง!”
ทั้งสองหันไปมองตากันด้วยสีหน้าเครียดขรึม
ฉินมู่พึมพำ “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเทพเจ้าจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถึงได้กลายมาเป็นเทพครองดาวมหาตะวัน ชื่อซีกล่าวว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งได้ดำรงอยู่ถึงสามสิบหมื่นปี ยาวนานยิ่งกว่ายุคสมัยใดๆ ทำไมยุคสมัยนี้ถึงยาวนานได้ขนาดนั้น”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคืนกระบี่ไร้กังวลให้กับเขา และยังคงอ่อนแออยู่เล็กน้อย เขากล่าวพลางหอบหายใจ “ระหว่างช่วงต้นๆ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ก็มีซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งอยู่เหมือนกัน แต่ความพินาศของอารยธรรมนี้รุนแรงจนเกินไป และแม้กระทั่งจักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง หากว่าใครต้องการจะล่วงรู้ความลับของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ก็คงมีแต่ต้องเดินทางย้อนอดีตไป ยุคสมัยดังกล่าวนี้น่าจะสลับซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”
ฉินมู่ตกตะลึง เขายังจดจำได้ถึงการเดินทางข้ามเวลาอันเหลือเชื่อที่เขาได้ประสบร่วมกับผานกงสั่ว เขายังคงจดจำป๋ายฉวีเอ๋อได้เช่นกัน และครุ่นคิดในใจ เดินทางย้อนอดีต? ข้าเคยกลับไปครั้งหนึ่ง
“กระบี่ไร้กังวลนี้ เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าทำมันหายเด็ดขาด”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวเสริม “ปกป้องมันไว้แม้จะต้องเสี่ยงชีวิต มันมีค่ามากอย่างเหลือแสน”
ฉินมู่ลูบกระบี่ไร้กังวล และเขาผงกหัว “ข้าจะทำ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พ่อของข้ามอบเอาไว้ ข้าจะไม่ทำมันหายไปเด็ดขาด! จะว่าไปเรื่องนี้ก็น่าประหลาด บรรพชนแรก ข้าสามารถปลดปล่อยเทวานุภาพจำนวนหนึ่งออกจากกระบี่หยกสว่างของเจ้าได้ แต่ข้าไม่เคยกระตุ้นเทวานุภาพในกระบี่เล่มนี้ได้มาก่อนเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
บรรพชนแรกหมายที่จะกล่าวบางสิ่ง แต่เขาก็หยุดตัวเองเอาไว้ เขาไม่บอกเหตุผลและเพียงแต่บอกว่า “เจ้าจะรู้เองในอนาคต”