ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 652 อวดเบ่งอำนาจ
ฉินมู่รับฟังจนลุ่มหลง และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทันที เขากล่าวกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก “เด็กพวกนี้กำลังท่องประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัย! สามสวรรค์แห่งหลงฮั่น หมายความว่าในยุคสมัยหลงฮั่นแยกออกเป็นสามสภาสวรรค์ ใช่ไหม ดังนั้นเมื่อ ‘แสงฉานแยกเป็นสอง’ ก็ย่อมชี้ถึงยุคสมัยแสงฉานอันมีแสงฉานตะวันตกและแสงฉานตะวันออก?”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็จิตสั่นสะท้านเช่นกัน เขากล่าวด้วยเสียงเบา “เหนือและใต้ก่อเกิดจักรพรรดิสูงส่ง ก็น่าจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ทำให้เกิดยุคสมัยที่แยกแตกออกจากกันระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งเหนือ และยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งใต้! ส่วนสำหรับ หนึ่งรุ่นในจักรพรรดิก่อตั้ง นั้น…”
เขากล่าวอย่างขมขื่น “มันน่าจะเป็นคำกล่าวว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของข้ามีจักรพรรดิก่อตั้งเพียงรุ่นเดียว…โอรสสวรรค์แสงฉานคงจะต้องส่งกลุ่มเทพเจ้าออกไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ เพื่อสืบข่าวคราว นั่นจึงทำให้เขาสามารถล่วงรู้เรื่องใหญ่ๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในทุกๆ ยุคสมัย เขาจึงเขียนเหตุการณ์เหล่านี้มาเป็นบทอาขยานสำหรับเด็ก สอนให้กับเด็กพวกนี้”
ฉินมู่ผงกหัว “แม้ว่าโอรสเทพแสงฉานจะซุ่มตัวกบดาน แต่ดูจากเพียงเรื่องนี้ เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมล้าหลังผู้อื่น เขามีสายตาอยู่กับโลกภายนอก และเขาก็กำลังวางแผนใหญ่บางประการ”
เด็กๆ ในโรงเรียนส่วนบุคคลเหล่านี้ยังคงโคลงหัวไปมาและท่องบทอาขยาน “…เพียงเจ็ดวันอยู่ในถ้ำ ส่วนสี่สิบเก้า…”
พวกเขายังคงอยากที่จะแอบฟังต่อ แต่ก็ถูกครูข้างในโรงเรียนส่วนบุคคลจับได้ ครูผู้นั้นให้เด็กทั้งหลายหยุดท่องและออกมาดู เมื่อเขาเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ไม่ได้มีสามหัวหกแขน เขาก็ไต่ถามอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขับไล่พวกเขาออกไป
ฉินมู่ครุ่นคิดและกล่าว “เพียงเจ็ดวันอยู่ในถ้ำ หมายความว่าอย่างไร”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “ความหมายของถ้ำคือสวรรค์ลับ เมื่อพวกเขามายังโลกลอยเลื่อนแสงฉานนี้ พวกเราได้เข้ามาผ่านรูในความว่างเปล่าจริงๆ และสถานที่เช่นนี้นับได้ว่าเป็นสวรรค์ลับแห่งหนึ่ง ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินครูบาสวรรค์เล่าเรื่องราวนี้ มันเกี่ยวกับว่าคนตัดไม้ผู้นี้ซึ่งได้ยินคนเล่นหมากล้อมกันในห้องหิน ดังนั้นเขาจึงเข้าไป ที่นั่นมีชายหนุ่มสองคนที่กำลังแข่งขันกัน และเขาก็เลยยืนอยู่ที่นั่นชมดูจนทั้งคู่เล่นหมากล้อมจบ เมื่อเขากำลังจะจากไป เขาก็พบว่าขวานของเขาได้ผุพังไปแล้ว คนตัดไม้จึงรีบลงจากภูเขา และพบว่าสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปในห้วงเวลาอันผ่านผัน เวลาที่โลกภายนอกได้ผ่านไปหลายร้อยปี สถานที่เช่นนี้เรียกว่าสวรรค์ลับน้อย”
“คนตัดไม้ยืนดูเกมหมากล้อม?”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “หรือว่าคนตัดไม้นี้จะเป็นครูบาสวรรค์เอง นี่ทำให้ข้านึกขึ้นได้ บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ก็เคยได้ไปยืนดูตอนที่เขาได้ยินเสียงขวานจามต้นไม้ฟืน ระหว่างที่เขากำลังยืนดูอยู่นั้น เวลาหนึ่งร้อยปีก็ได้ผ่านไป เรื่องเล่าของคนตัดไม้ดูจะคล้ายกับเรื่องนี้”
บรรพชนแรกหวนระลึกอย่างละเอียด “คนตัดไม้ในเรื่องเล่าของครูบาสวรรค์อาจจะเป็นเขาเองจริงๆ ข้าไม่ได้คิดอะไรมากมายในตอนนั้น โลกลอยเลื่อนเป็นโลกสวรรค์ลับ เวลาของที่นี่อาจจะเดินไปแตกต่างจากโลกภายนอก”
“แล้วหมู่บ้านไร้กังวลล่ะ? หรือว่าหมู่บ้านไร้กังวลก็เป็นโลกสวรรค์ลับด้วยเช่นกัน” ฉินมู่ถาม
บรรพชนแรกกล่าว “ข้าไม่เคยไปที่นั่น เมื่อกาลครั้งนั้น จักรพรรดิก่อตั้งได้บัญชาให้เผ่าเทพวิศวกรรมก่อสร้างหมู่บ้านไร้กังวลขึ้น และไม่มีข่าวใดๆ รั่วไหลออกมา ในภายหลังผู้คนรู้แต่ว่ามีสถานที่ทำนองนั้นอยู่ ในเมื่อหมู่บ้านไร้กังวลเป็นสิ่งที่ถูกหลอมสร้าง ดังนั้นมันไม่น่าจะเป็นสวรรค์ลับ”
พวกเขาไปพักที่โถงวังถัดไป และพวกเขาก็สังเกตเห็นว่าแม้แต่คนรับใช้ที่นี่ก็มีสามหัวหกแขน เมื่อถึงเรื่องการประกอบอาหาร คนครัวก็จะผัดกระทะหกกระทะในเวลาเดียวกัน เมื่อหญิงรับใช้มาส่งอาหาร พวกนางก็จะถือหกจานมาในมือ ทำให้สามารถตระเตรียมโต๊ะอาหารได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาทำงานว่องไวยิ่งนัก
“หากว่าวิชาฝึกปรือของยุคสมัยแสงฉานถ่ายทอดไปยังสันตินิรันดร์ เศรษฐกิจของสันตินิรันดร์จะต้องขยายตัวไปราวเหินบินอีกรอบเป็นแน่!”
สายตาของฉินมู่รุ่มร้อนขณะที่กล่าวกับบรรพชนแรก “พวกเขาจะอิ่มโดยง่ายดายด้วยการกินจากสามปาก และหลังจากนั้นก็จะมีเวลาทำงานมากขึ้น! ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนไปอย่างมาก และคนคนเดียวสามารถทำงานได้เท่ากับแรงของสามคน!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวเตือนอย่างจริงใจ “เจ้ากำลังพูดจาเหมือนครูบาสวรรค์ ระวังอย่าไปเดินตามรอยเท้าของเขา ครูบาสวรรค์เสียกำลังและเวลากับผู้คนในด้านอื่นๆ มากเกินไป ทำให้ขั้นวรยุทธของเขาไม่เคยขึ้นสูง”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เดินตามรอยเท้าไม่ว่าจะของเขาหรือของเจ้า อยู่ที่นี่และอย่าขยับ ข้าจะออกไปข้างนอกเพื่อซื้อหาสมุนไพรจำนวนหนึ่ง และดูว่าจะสามารถรักษาเจ้าให้หายดีได้หรือไม่!”
“รอยเท้าของเขาหรือของข้า…” หัวใจของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถูกบดขยี้ และเขาก็ซึมเศร้าอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ก็มีเทพตนหนึ่งขอเข้าพบ และเขาก็โค้งคารวะ “โอรสเทพได้ยินว่าทูตคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เขาจึงสั่งให้ข้ามาส่งยา” หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยื่นถาดหยกอันเต็มไปด้วยขวดหยกเล็กๆ มากมาย
“ขอบคุณมาก”
ฉินมู่รับขวดหยกเหล่านั้น และเขาก็เปิดจุกพวกมันออกเพื่อดมดู เขารู้ทันทีถึงรายการสมุนไพรที่ใช้หลอมปรุงยาเหล่านี้ แม้กระทั่งวิธีในการหลอมปรุงก็กระจ่างชัดราวกับกลางวันในจิตคิดของเขา ยาวิญญาณพวกนั้นหลอมปรุงขึ้นมาจากยาสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บของบรรพชนแรกอย่างแท้จริง
“โอรสเทพแสงฉานไม่อวดเบ่งอำนาจแก่พวกเราในทันที ในทางตรงข้าม เขามอบยาพวกนี้ให้แก่พวกเรา นี่มันเหนือความคาดหมายของข้า”
ฉินมู่พึมพำ “เพื่อที่จะได้เปรียบในการเจรจา โอรสเทพแสงฉานจะต้องอัดซ้อมพวกเราอย่างแน่นอน แต่ทว่า การวางตัวของเขาเหนือธรรมดา เขาชิงเริ่มที่จะส่งยามาให้ก่อน และยังเป็นตัวยาที่ถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย โอรสเทพแสงฉานนับว่าสมคำร่ำลือ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชื่อซีถึงจงรักภักดีเขา…”
หลิงอวี้จิวถามอย่างระมัดระวัง “ยาวิญญาณพวกนี้ไม่มีผิด ใช่ไหม”
ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่ามันมีพิษ ข้าจะต้องรู้อย่างแน่นอน ต่อให้ข้าไปหาสมุนไพรและหลอมปรุงด้วยตนเอง ผลลัพธ์ก็คงแทบไม่ต่างกัน บรรพชนแรก กินยาพวกนี้อย่างวางใจได้ คนผู้นี้มีจิตใจอันกว้างขวาง และเขาจะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ เขาไม่มีทางเล่นสกปรกที่นี่หรอก”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมั่นใจในวิจารณญาณของฉินมู่ และกลืนกินยาวิญญาณเหล่านี้เข้าไปโดยทันทีที่ฉินมู่ส่งมาให้เขา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “นี่มันยารักษาถูกอาการจริงๆ!”
ฉินมู่กล่าวพลางถอนหายใจ “ก็เพราะว่าเป็นยารักษาถูกอาการนี่แหละที่ชี้ว่าโอรสเทพไม่ใช่ตัวตนที่ดูเบาได้เลย หากว่าเขาทุบตีใช้อำนาจกับพวกเราตรงๆ นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีจิตใจกว้างขวางพอ และจะกลายเป็นรับมือได้ง่ายแทน”
…
ในเมืองจักรพรรดิ ชายหน้าตาอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งยืนอยู่บนสะพานด้วยมือที่ไพล่หลัง เขามองลงไปยังปลาทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ใต้สะพาน ปลาเหล่านั้นก็มีสามหัวกับหกครีบ ชายผู้นี้แตกต่างจากคนแสงฉานโดยทั่วไป เขามีแค่หนึ่งหัวกับสองแขน และไม่ใช่สามเศียรหกกรอย่างชื่อซี
เสื้อของเขานั้นเข้ารูปทรงกับร่าง มันหรูหราแต่ก็ไม่ประดับประดาจนเกินพอดี เสื้อสีเขียวอ่อนนั้นมีเพียงการปักลายเล็กน้อยที่ขอบปก
ดวงตาของเขาใหญ่และกระจ่างใสเป็นอย่างยิ่ง มันมีจุดแสงทองอยู่ที่ใจกลางหว่างคิ้วอันดูเหมือนกำลังเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างดวงตาทั้งสองของเขามีที่ว่างอยู่ประมาณสามถึงสี่องคุลี ใบหูของเขายานยาวกว่าคนผู้อื่น และใบหน้าของเขาก็ขาวสะอาดไร้หนวดเครา
“การตกลงเป็นพันธมิตรกับสันตินิรันดร์ของเจ้านั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยพวกเราก็จะมีสถานที่ปักหลัก ที่ดีกว่าการอาศัยอยู่ในสวรรค์ลับไปชั่วนิรันดร์”
โอรสเทพแสงฉานกล่าวอย่างเยือกเย็น “โดยปราศจากศัตรูคุกคามภายนอก ประเทศก็จะตาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกลอยเลื่อน พวกเราอยู่ที่นี่มานานกว่าห้าหมื่นปี และพวกเราไม่มีศัตรูใดๆ นับตั้งแต่มายังสถานที่แห่งนี้ เทพสงครามทั้งหลายเมื่อครั้งกระโน้น ตอนนี้ได้กลายเป็นแพะแกะเชื่องๆ ที่ไร้จิตหาญสู้ และจิตใจอันทะยานอยากจะรุดหน้า ข้ากังวลแทนลูกหลานในอนาคต ข้ากังวลว่าพวกเขาจะกลายเป็นสามัญธรรมดามากขึ้นไปทุกที คนผู้หนึ่งขาดแรงขับเมื่อไร้แรงกดดัน ข้าเกรงว่าหากชนรุ่นหลังของพวกเรายังคงอยู่ที่โลกลอยเลื่อนต่อ พวกเราก็จะสูญเสียโอกาสที่จะโจมตีโต้กลับโดยสิ้นเชิง นี่จึงเป็นเหตุให้ข้าออกคำสั่งแก่เจ้าเมื่อสามหมื่นปีก่อน ให้ตามหาจักรพรรดิก่อตั้งให้จงได้ ในตอนนั้น ข้าเตรียมพร้อมที่จะอพยพไปยังยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งแล้ว ต่อให้ข้าต้องสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิก่อตั้งก็ตาม! ไม่เคยคิดเลยว่าจักรพรรดิก่อตั้งจะพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้”
ชื่อซีกล่าว “เมื่อข้าออกไป ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าจักรพรรดิก่อตั้งถูกกวาดล้างไปแล้ว และตอนนี้ก็เป็นยุคสมัยสันตินิรันดร์ การปฏิรูปของสันตินิรันดร์มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์หลายอย่าง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอนุญาตให้ข้าเปิดโรงเรียน และสอนทักษะเทวะของพวกเขาแก่ศิษย์จากแสงฉาน”
โอรสเทพแสงฉานประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจะมีจิตวิญญาณของจ้าวผู้ปกครองทรงเดชานุภาพ”
ชื่อซีผงกหัว
โอรสเทพแสงฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น่าเสียดาย ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งตายไป แต่ก็ยังไม่สิ้นซาก สภาสวรรค์ยังคงจับตาดูพวกเขาอยู่ ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา เจ้าหาวงแหวนเทวะเสกสรรเจอไหมตอนที่ไปที่นั่น เจ้าได้นำเทพศาสตราชิ้นนี้กลับมาไหม”
ชื่อซีหัวใจเต้นโครมคราม และเขาส่ายหัว “มีไอ้เด็กเจ้าเล่ห์แซ่ฉิน ที่เอาวงแหวนเทวะนั้นไป”
โอรสเทพแสงฉานจ้องเขาอย่างหนัก เขาถามอย่างแช่มช้า เน้นทุกคำพูด “เจ้าไม่รู้ถึงพลานุภาพที่แท้จริงของสมบัตินี้หรือ”
ชื่อซีละอายใจอย่างถึงที่สุด และก้มหน้าลงไป “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิด แต่เมื่อข้าเห็นไอ้เด็กนั่นใช้งานมัน ข้าก็นึกย้อนเสียใจ”
โอรสเทพแสงฉานถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ความคิดจิตใจของเจ้าเถรตรงเกินไป และเจ้าก็ไม่รู้การลดเลี้ยวสับหลอก ไอ้เด็กแซ่ฉินนั่นจะต้องเป็นผู้เปี่ยมความสามารถ เขาเป็นหนึ่งในคณะทูตสันตินิรันดร์ใช่หรือไม่”
ชื่อซีรีบกล่าว “โอรสเทพมีสายตาแจ่มจ้าเหนือธรรมดา!”
“นี่ไม่ใช่สายตาแจ่มจ้าเหนือธรรมดา เพียงแต่ว่าถ้าข้าเป็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ข้าก็จะส่งคนฉลาดเฉลียวเช่นนั้นมาเหมือนกัน”
โอรสเทพแสงฉานโปรยอาหารปลาออกไป “หากว่าเจ้าสู้กับเขา ก็มีแต่จะเสียเปรียบ”
ชื่อซีละอาย และเขากล่าวด้วยใบหน้าแดงฉาน “ข้าโง่เขลา…”
“เจ้าไม่ได้โง่เขลา เพียงแต่ฉลาดไม่พอ”
โอรสเทพแสงฉานกล่าว “เจ้าบอกว่าเจ้ารับศิษย์มาจากสันตินิรันดร์ อันมีกำลังฝีมือสูง แล้วตอนนี้เขามีวรยุทธขั้นใด”
ชื่อซีกล่าว “เขาเพิ่งเข้าสู่ขั้นเป็นตาย”
โอรสเทพแสงฉานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “นำตัวเขามา พวกเจ้าถ่ายทอดคำสั่งของข้า ไปรวบรวมผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเป็นตายทั้งหมดในโลกนี้มา ให้พวกเขามายังราชวัง!”
ชื่อซีไม่เข้าใจเจตนาของเขา โอรสเทพแสงฉานอธิบาย “ข้าต้องการมีดเล่มหนึ่ง มีดที่สามารถปลุกจิตฮึดสู้ของผู้คนพวกเราได้ แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนเกินไป ข้าจะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ข้าได้แสดงพระคุณแก่คณะทูตแห่งสันตินิรันดร์แล้ว และข้ายังต้องสำแดงอำนาจของพวกเราแก่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาหินลับมีดให้แก่ผู้คนของข้า!”
เขาเทอาหารปลาทั้งหมดลงไปในน้ำ และเขาก็โยนถาดทิ้งไปเช่นกัน เขาปัดมือไปมาและกล่าว “หากว่าพวกเขาพ่ายแพ้ย่อยยับจนเกินไป พวกเขาก็จะสูญเสียความมั่นใจ สุนัขที่พ่ายแพ้ก็มีแต่จะเอาหางจุกตูด และนั่นจึงเป็นเหตุที่ข้าจะใช้ศิษย์ของเจ้าเป็นหินลับมีดก้อนแรกที่จะใช้ขัดลับพวกเขาขึ้นมา เมื่อพวกเขาคมกริบและกระจ่างจ้าเพียงพอ พวกเราค่อยใช้มีดของพวกเรากับคณะทูตสันตินิรันดร์ ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถตัดสะบั้นสิทธิอำนาจอันน่ายำเกรงของคณะทูตสันตินิรันดร์ และยังทำให้ผู้คนของพวกเรารู้ตัวว่าพวกเรามิได้ไร้เทียมทาน นี่ก็จะจุดจิตวิญญาณหาญสู้ของพวกเขาขึ้นมา! ข้าต้องการให้พวกเขาเปลี่ยนจากแพะแกะเป็นมังกร!”
ชื่อซีลังเล “ข้าติดค้างหนี้บุญคุณศิษย์ของข้า…”
โอรสเทพแสงฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เขาไม่ตายหรอก ส่วนสำหรับคณะทูตสันตินิรันดร์ ก่อนที่จะข้าจะลับมีดเสร็จ ข้าจะยังไม่พบกับพวกเขา”
ชื่อซีรีบรุดจากไป
ผ่านไปสักพัก ผานกงสั่วก็ติดตามชื่อซี และเขาเงยหน้ามองลานจัตุรัสกว้างใหญ่ตรงหน้าประตูราชวัง เทพเจ้าสามเศียรหกกรมากมายยืนอยู่ที่นั่น ที่ตรงใจกลาง บุรุษอันมีเครื่องหน้าละเอียดงามกำลังยืนมองพวกเขาอยู่ เขารู้ว่านั่นคือโอรสเทพแสงฉาน และรีบโค้งกายคารวะทันที
โอรสเทพแสงฉานอยู่บนที่สูงเบื้องบน และเขายกมือขึ้นกล่าว “ลุกขึ้น พวกเจ้าเริ่มได้”
ผานกงสั่วไม่เข้าใจความหมายของเขา เขาพลันเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเป็นตายหลายร้อยคนเดินเข้ามาในลานจัตุรัส หนึ่งในผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นโค้งคารวะและกล่าว “ข้าคือหูคัง ขอศิษย์พี่โปรดชี้แนะ!”
ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นยอดฝีมือนามหูคังพุ่งเข้ามาใส่เขา!
ผานกงสั่วแตกตื่น และเขาขับเคลื่อนวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลโดยไม่ทันคิด แต่ทว่า ที่เขาช่วงใช้ออกไปไม่ใช่ทักษะเทวะวิชาบู๊ แต่กลับเป็นทักษะเทวะเวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ระหว่างวิชาบู๊!
เขาได้เรียนรู้หลายอย่างจากการผสมผสานทักษะวิชาในการต่อสู้ฝึกฝีมือกับหลิงอวี้จิว!
ตูม!
ทักษะเทวะของเขาระเบิดออกมาด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัว และบีบหูคังให้ล่าถอย หูคังหัวเราะในคอ เขาควงมีดหกเล่มปั่นไปราวกับพายุหมุน เขาเฉือนตัดทักษะเทวะของผานกงสั่วขาดออกจากกัน และแสงมีดก็พุ่งเข้าใส่ผานกงสั่วราวกับคลื่นคลั่ง
ผานกงสั่วดวงตาเป็นประกาย แขนทั้งสองของเขาที่ถือกระบี่อยู่ร่ายรำกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า ระเบิดออกไปด้วยท่วงท่ากระบี่หกท่า!
กระบี่เต๋าของเขาได้ผสมผสานท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามท่าของราชครู และกลายเป็นซับซ้อนขึ้นอย่างมาก ท่ามกลางแสงวูบวาบของมีดและเงาพร่าพรายของกระบี่ หูคังก็ได้รับบาดแผลจากกระบี่บนร่างและล้มลงไปกับพื้น
ผานกงสั่วแย้มยิ้ม “เจ้าออมมือให้ข้าแล้ว องค์ชายโอรสเทพท่าน…”
โอรสเทพแสงฉานเลิกคิ้วข้างหนึ่ง และยอดฝีมืออีกคนก็ก้าวออกมาจากแถว เขาโค้งคารวะและกล่าว “ข้าคือลัวจื่อหยาง ขอศิษย์พี่โปรดชี้แนะ!”
ผานกงสั่วขมวดคิ้ว เขาพิศวง พวกเขาน่าจะอวดเบ่งอำนาจกับไอ้วายร้ายแซ่ฉินซะมากกว่า ทำไมโอรสเทพแสงฉานถึงมาอวดเบ่งอำนาจกับข้าแทน
ลัวจื่อหยางพุ่งเข้ามา ทำให้เขาไม่มีเวลาจะคิดมากความ เขาได้แต่ต่อสู้
ดวงตาทองคำบนใจกลางหว่างคิ้วของโอรสเทพแสงฉานค่อยๆ เปิดขึ้นมา และดวงตาของเขาสะท้อนทุกกระบวนและท่วงท่าของผานกงสั่ว เขานั้นกำลังวิเคราะห์แยกย่อยกระบวนท่าและทักษะเทวะ จนกระทั่งพวกมันไม่หลงเหลือความลี้ลับอีกต่อไป
ไม่นานนัก ลัวจื่อหยางก็พ่ายแพ้ ยอดฝีมืออกีคนก้าวออกไปท้าสู้ผานกงสั่ว และเขาก็ได้ปลุกปลอบตนเองเพื่อต่อสู้ต่อไป
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผานกงสั่วก็อาเจียนเป็นเลือดจากความเหน็ดเหนื่อย เมื่อนั้นแหละโอรสเทพแสงฉานจึงให้สัญญาณหยุด เขาสั่งความแก่ชื่อซี “พาเขากลับไป ให้เขารักษาอาการบาดเจ็บเป็นอย่างดี จากนั้นค่อยพาเขากลับมาในอีกสิบวัน”
ชื่อซีพาผานกงสั่วลงไป และทำตามคำสั่ง
โอรสเทพแสงฉานเดินลงมา และฝึกฝนผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ด้วยตนเอง เขาร่ายรำทักษะเทวะและเพลิงกระบี่ แสดงทุกกระบวนและท่วงท่าอย่างกระจ่างชัด เขาแสดงทุกสิ่งที่ผานกงสั่วเรียนมาชั่วชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
เขาอธิบายทักษะเทวะเหล่านี้โดยไร้ที่ติ และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเจ้ามีเวลาสิบวันเพื่อฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น หลังจากสิบวัน จงกลับมาและท้าสู้กับเขาใหม่อีกครั้ง!”
…
ในระหว่างนั้น ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเดินเที่ยวไปในเมือง ขณะที่บรรพชนแรกพาสัตว์ประหลาดลูกตาสองตัวตามไปข้างหลังพวกเขา
ฉินมู่ตระเวนไปรอบๆ เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นรูปสลักเทพเจ้าในโลกลอยเลื่อน เขาก็จะหยุดและชมดูมันเป็นเวลานาน หลิงอวี้จิวสงสัยใคร่รู้และถามเขาด้วยรอยยิ้ม “รูปสลักหินพวกนี้มีอะไรน่าชมดูนักอย่างนั้นหรือ”
“รูปสลักพวกนี้น่าชมดูจนเกินไป”
ดวงตาของฉินมู่เป็นประกายกระจ่างขณะที่กล่าว “รูปสลักหินพวกนี้ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาตอนที่พวกเขาก่อสร้างโลกลอยเลื่อน ช่างฝีมือที่ได้แกะสลักรูปสลักเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวตนระดับสุดยอดในช่วงเวลานั้น พวกเขาได้ทุ่มเทความอุตสาหะทั้งหมดลงไปในการแกะสลัก นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมจึงมีจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยแสงฉานอยู่ในรูปสลักหิน ข้ายังสามารถอนุมานวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะจากร่องรอยเส้นละเอียดของการสลักเสลา หลังจากอยู่ที่นี่มาหลายวัน ข้าได้พบกับผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้ามากมายจากโลกลอยเลื่อน แต่พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณเช่นนี้ไปหมดแล้ว”
เขาชะงักไปครู่ และกล่าว “ข้ากำลังมองหาสิ่งที่พวกเขาทำหายไป”
หลิงอวี้จิวมองไปที่รูปสลักหินอย่างละเอียด และนางส่ายศีรษะ “ทำไมโอรสเทพแสงฉานถึงยังไม่เรียกพวกเราไปเข้าพบอีกล่ะ”
ฉินมู่เอนพิงรูปสลักหิน และเขาไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “เขากำลังขบคิดอยู่ว่าจะอวดเบ่งอำนาจได้อย่างไร หากว่าข้าเป็นเขา ข้าก็คงจะเริ่มต้นที่ผานกงสั่ว และข้าจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งสันตินิรันดร์ แล้วถึงจะลงมือกับคนอื่นๆ ที่เหลือ”