ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 655 เจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวคือป้อมปราการไร้พ่าย
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 655 เจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวคือป้อมปราการไร้พ่าย
โอรสเทพแสงฉานมองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่ร่วงลงมาตรงหน้าเขา และสายตาของเขาก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นจนมองฉินมู่ที่ใบหน้า สายตาของเขาจึงกวาดผ่านหน้าของฉินมู่ไปข้างหลังยังทิศไกลๆ เขาเห็นหลุมใหญ่มหึมาทั่วไปหมดทั้งลานจัตุรัส และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนที่กองสุมกันในหลุมเหล่านั้น
มีผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนที่ไม่ร่วงตกลงไปในหลุม แต่พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากน้ำมือของฉินมู่ พวกเขามีซี่โครง แขน หรือไม่ก็ขาที่แตกหัก
และยังมีบางพวกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่พวกเขาได้ถูกเปลี่ยนเป็นแกะด้วยทักษะเทวะเสกสรร ในตอนนั้น พวกเขาเดินเพ่นพ่านไปมาในจัตุรัสอย่างไร้จุดหมายพลางร้องแบ๊ะๆ
หากว่านี่คือสนามรบ ชนรุ่นเยาว์ของโลกลอยเลื่อนคงจะถูกเข่นฆ่าไปจนหมดสิ้น อารยธรรมอันมีเจตจำนงกล้าแข็งตามกาลเวลาก็คงจะมีช่องว่างที่ขาดหายไปของรุ่นหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้นนี้!
โอรสเทพแสงฉานลุกขึ้น และเดินผ่านฉินมู่ไป เขาไปยังบันไดบนสุดและมองไปข้างล่าง และยังคงไม่ใส่ใจฉินมู่
“รัชสมัยเทวะแสงฉานได้ผ่านพ้นสองยุคสมัย จักรพรรดิแดงฉานได้ก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมาจากแดนเถื่อนร้าง จักรพรรดิแสงได้ผงาดขึ้นมาในเวลาที่โลกต้องการ และกอบกู้รัชสมัยเทวะของพวกเราจากความวินาศ ผู้คนแห่งยุคสมัยแสงฉานของพวกเราได้ต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อก่อตั้งยุคสมัยอันเรืองรอง!”
เสียงของเขาไม่ได้กึกก้องไปมากนัก แต่มันฟังหนักอึ้ง ทะลุทะลวงเข้าไปในหูของทุกๆ คน “กระนั้นหลังจากที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกลอยเลื่อนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้น ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แห่งนี้ค่อยๆ ลืมเลือนศัตรูภายนอกที่ได้ทำลายล้างบ้านเกิดของพวกเรา กวาดล้างประเทศของพวกเรา และเข่นฆ่าสหายร่วมเผ่าของพวกเรา ผู้คนทั้งหลายค่อยๆ ลืมเลือนความกล้าหาญและการดิ้นรนต่อสู้ของจักรพรรดิแดงฉานและจักรพรรดิแสง พวกเราได้ลืมเลือนว่าครั้งหนึ่งพวกเราคือเทพสงคราม! พวกเจ้าทุกคนได้ซ่อนตัวอยู่ด้วยกันในเรือนตึกเล็กๆ และเลิกที่จะใส่ใจในทุกสิ่ง ผิดแล้ว! เมื่อพวกเจ้าซ่อนตัว นั่นก็คือความพ่ายแพ้! มันคือความอัปยศอดสู!”
เสียงของเขากึกก้องดังสนั่นมากขึ้นทุกทีๆ ทุกคนในลานจัตุรัสข้างล่างล้วนแต่ละอายแก่ใจ และไม่มีใครกล้าโงหัวขึ้นมา แม้แต่ชื่อซีและเทพเจ้าอื่นๆ ก็ก้มศีรษะด้วยความอับอาย
“ข้าต้องหยิบยืมมือของคนนอกเหล่านี้เพื่อมอบความอัปยศให้กับพวกเจ้า หยามหมิ่นพวกเจ้า เพื่อปลุกพวกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา!”
เสียงของโอรสเทพแสงฉานเต็มไปด้วยโทสะ “ข้าต้องการยืมมือของเขาเพื่อเตือนเจ้า เพื่อบอกพวกเจ้าว่าพวกเจ้าทั้งหลายได้หลงลืมธรรมเนียมประเพณีเดิมไปสิ้นแล้ว พวกเจ้าได้หลงลืมจิตวิญญาณของยุคสมัยแสงฉาน! โดยไม่มีจิตวิญญาณนี้ ยุคสมัยแสงฉานก็ได้ตายลงไปอย่างแท้จริง! นี่ไม่ใช่ความตายในเงื้อมมือของสภาสวรรค์ มันเป็นความตายในเงื้อมมือของพวกเจ้า ในเงื้อมมือของผู้คนที่โชคดีรอดชีวิตมา!”
เสียงของเขาช้าลงไปอีกครั้ง และน้ำเสียงของเขาก็หนักหน่วงทั้งยังเจือความหดหู่ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงกล้าเรียกตนเองเพียงแค่โอรสเทพ ทำไมข้าถึงส่งผู้คนออกไปจากโลกลอยเลื่อนเพื่อสืบข่าวคราวอยู่เสมอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงยืนกรานที่จะติดต่อกับจักรพรรดิก่อตั้ง แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะสวามิภักดิ์ต่อเขาเมื่อสามพันปีก่อน ข้าทนไม่ได้–”
“ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกเจ้าจ่อมจมลงไปมากกว่านี้ ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นยุคสมัยแสงฉานถูกทำลายลงไปในน้ำมือของพวกเจ้า ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกเจ้ากลายเป็นคนบาป…”
“ข้าต้องการเพียงแต่จะบอกพวกเจ้าทั้งหมด ให้กลับออกไปยังโลกจริง เพื่อให้พวกเจ้าได้พบค้นจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยแสงฉานใหม่อีกครั้ง เพื่อคว้าเก็บจิตวิญญาณนั้นกลับมา และรวมกลุ่มพวกเราขึ้นใหม่อีกหน”
เขาค่อยๆ ก้าวไปยังตรงหน้าของขั้นบันได “ข้าไม่กล้าเรียกตนเองว่าจักรพรรดิ ข้าเพียงกล้าเรียกตนเองว่าองค์ชายโอรสเทพ นี่ไม่ใช่เพราะว่าข้าต่ำต้อยกว่าจักรพรรดิจากประเทศเล็กๆ อย่างสันตินิรันดร์ แต่เป็นเพราะว่าพสกนิกรของข้าไม่คู่ควร! หากว่าพวกเจ้าไม่คู่ควร ข้าก็ไม่คู่ควรเช่นกัน!”
“ทูตสันตินิรันดร์แข็งแกร่งมากหรือ ใช่แล้ว เขาแข็งแกร่งมาก! เขาสามารถเอาชนะพวกเจ้าทีละหกคนได้พร้อมๆ กัน! แต่ลองใช้หัวคิดดู เขาได้ต่อสู้แบบนี้ตั้งแต่ต้นจนจบหรือไม่ ท่ามกลางพวกเจ้านับหมื่น มีก็แต่คนหกคนที่สามารถโจมตีเขาได้ในเวลาเดียวกัน”
เสียงของเขาหยุดไปหลังจากคำถาม ให้เวลาผู้คนได้ขบคิด
ผู้ฝึกวิชาเทวะที่พ่ายแพ้ข้างล่างมีสายตาว่างเปล่า ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบ พึมพำขึ้นมา “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากที่เขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน ก็มีคนแค่หกคนที่สามารถโจมตีเขาได้ในเวลาเดียวกัน”
คนอื่นๆ ยิ่งพยักหน้าเห็นด้วยมากขึ้นทุกที และพวกเขาก็กระซิบกระซาบกันไปมา หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่ฉินมู่ ความมั่นใจของพวกเขาก็ถูกบดขยี้ตามไปด้วย เขาได้ทำลายความภาคภูมิใจแห่งยุคสมัย และนี่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าฉินมู่ไร้เทียมทาน
และตอนนี้ สะเก็ดเสี้ยวความหวังก็ค่อยๆ งอกเงยขึ้นมาในหัวใจพวกเขา
ฉินมู่สามารถเอาชนะได้ทีละหกคนในเวลาเดียวกันเท่านั้น เขาไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างสมบูรณ์!
เสียงของโอรสเทพแสงฉานดังไปอีกครั้ง และเขากล่าวอย่างเย็นเยียบ “กระนั้นในช่วงรัชสมัยเทวะแสงฉาน นักรบแห่งยุคสมัยแสงฉานหนึ่งคนสามารถสู้กับศัตรูได้ทีละหก! เพราะว่าพวกเราสู้ได้ทีละหก จึงมีชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือในโลกในเวลานั้น และนั่นก็เป็นเหตุที่พวกเราถูกเรียกว่าเทพสงคราม! แต่ตอนนี้ พวกเจ้าทั้งหมดถูกจักรวรรดิที่เพิ่งถือกำเนิดเอาชนะได้ พวกเราจะไปตอบกับบรรพชนว่าอย่างไร พวกเราจะเอาชื่อเสียงเทพสงครามไปไว้ที่ไหน ข้าอับอายยิ่งนัก แต่พวกเจ้าก็สามารถเข้าใจความอับอายนี้และพากเพียรอุตสาหะให้หนักขึ้น!”
“ในการต่อสู้ก่อนหน้า พวกเจ้าเหมือนกับแผ่นทรายร่วน ทุกคนเหยียบกันไปมา เบียดเสียดกันไปมา ความโกลาหลนี้มิใช่สิ่งจำเป็นสักนิด ไม่มีพวกเจ้าหกคนไหนเลยที่สามารถโจมตีเขาได้ในเวลาเดียวกัน พวกเจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ให้แก่เงื้อมมือของทูตจากสันตินิรันดร์ พวกเจ้าพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของตนเอง เงื้อมมือผู้คนของพวกเราเอง! น่าละอาย! ความอัปยศเช่นนี้ยอมรับไม่ได้!”
เขาตะโกน “พวกเราควรจะทำอย่างไรกับความอัปยศของแสงฉาน”
เขาหยุดไปครุ่หนึ่งก่อนกู่ร้อง “สู้กลับไป! พวกเราถึงจะกอบกู้ตนกลับมาได้ พวกเราถึงจะสามารถโงหัวขึ้นมาได้! ในวันนี้ ทูตแห่งสันตินิรันดร์ได้เอาชนะพวกเจ้า และพวกเจ้าก็จะต้องเอาชนะเขาในอนาคต ในอดีต สภาสวรรค์ได้เอาชนะแสงฉานของพวกเรา ถ้าเช่นนั้น พวกเราจะต้องทำลายล้างสภาสวรรค์ในอนาคต!”
ในลานจัตุรัสเบื้องล่าง ผู้ฝึกวิชาเทวะนับไม่ถ้วนแห่งโลกลอยเลื่อนฮึกเหิมขึ้นมาจากถ้อยคำของเขา และหลายคนก็กัดฟันข่มความเจ็บปวดเพื่อร้องคำรามเผยความรู้สึกอันอัดแน่นใจออกมา ทุกคนพูดคุยกันเซ็งแซ่ และสถานการณ์ก็ค่อนข้างปั่นป่วนวุ่นวาย แต่ไม่นาน เสียงของพวกเขาทั้งหมดก็หลอมรวมกัน เป็นอุทกภัยอันเขย่าทุกคนไปถึงแก่นแกน เสียงตะโกนอันอึงคะนึงของพวกเขาได้ขย่มพิภพให้สะท้านสะเทือน!
เสียงนับหมื่นๆ ที่สะสมเข้าด้วยกันก่อเป็นคลื่นน้ำหลากของศัพท์สำเนียงอันน่าตกตะลึงและสะท้านหู จนฉินมู่และหลิงอวี้จิวสีหน้าแปรเปลี่ยน
ฉินมู่หันกลับและมองลงไป เขาเห็นรัศมีของผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายเชื่อมโยงต่อเข้าด้วยกันราวกับไฟลามทุ่งที่แผดเผาอย่างเร่าร้อน ราวกับน้ำพุที่ถั่งโถมกลับสู่พื้นดิน และราวกับน้ำหลากอันชะล้างทุกสรรพสิ่ง
“เจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวคือป้อมปราการไร้พ่าย นี่คือจิตวิญญาณของเจตจำนงหนึ่งเดียว จิตวิญญาณแห่งยุคสมัยแสงฉานถูกปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…” ฉินมู่พึมพำ
เสียงของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกดังมาจากข้างหลัง เขากล่าว “นี่คือผลลัพธ์ของการมีผู้นำที่ดี จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นบุคคลเช่นนั้น และโอรสเทพก็เป็นบุคคลเช่นนั้นด้วยเช่นกัน เจ้าและราชครูสันตินิรันดร์ไม่ใช่ผู้คนประเภทนี้ และเจ้าไม่อาจพูดกระตุ้นปลุกใจผู้คนแบบนี้ได้ มีก็แต่ผู้นำแบบนี้ที่จะสามารถหลอมรวมหัวใจทุกคนเป็นหนึ่งเดียว”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าว “ผู้นำที่แท้จริง สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี บิดกระหวัดหัวใจของทุกคนเข้าด้วยกันเป็นเชือกฟั่น ตอนนี้ข้ายังทำแบบนั้นไม่ได้”
หลิงอวี้จิวกล่าวด้วยเสียงเบา “โอรสเทพผู้นี้ได้เปลี่ยนเรื่องที่เจ้าเอาชนะผู้คนนับหมื่นเป็นเอาชนะผู้คนเพียงหกคน เขาถึงกับอ้างว่าผู้คนหกคนก็ไม่อาจปลดปล่อยพลานุภาพได้อย่างเต็มขีดจำกัด พูดแบบนี้ก็เท่ากับด้อยค่ากำลังฝีมือเจ้าลงไปอีก เขานั้นเจ้าเล่ห์จริงๆ”
ฉินมู่ยิ้ม “ที่เขาพูดนั้นก็ไม่ผิด การที่ข้าจะเอาชนะผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวนับหมื่นคนได้นั้นก็ยากเย็นจริงๆ นั่นแหละ ภายใต้พยุหะกระบวนรบที่เหมาะสม ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวร้อยคนเพียงแต่ต้องถล่มข้าด้วยทักษะเทวะระลอกเดียว ก็จะสามารถสังหารข้าได้โดยไม่ลำบาก หากว่าแค่ร้อยคนสามารถทำเช่นนั้นได้ แล้วหนึ่งหมื่นคนล่ะ? วิธีการที่ข้าใช้คือทำให้กระบวนพยุหะของพวกเขาปั่นป่วนสับสนก่อนเป็นอันดับแรก และกระจัดกระจายพวกเขาออกไป จากนั้นข้าก็ฉวยโอกาสบุกเข้าไปคลุกวงใน มีเพียงหกคนที่สามารถโจมตีข้าได้ในเวลาเดียวกันจริงๆ และในเมื่อทุกๆ คนเอาแต่จะกรูกันเข้ามาใส่ข้า เมื่อพวกเขาเบียดเสียดผลักไสกัน ก็มีแค่สามสี่คนเท่านั้นที่สามารถโจมตีข้าได้จริงๆ นี่คือแผนยุทธการที่ข้าใช้ในการเอาชนะผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่น”
หลิงอวี้จิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ลดทอนความน่าประทับใจของเจ้าอยู่ดี”
“เขาทำมันไปเพื่อเผ่าพันธุ์ เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้”
ฉินมู่กล่าวเสริม “ถึงอย่างไร เป้าหมายของข้าก็คือการหยิบยืมการต่อสู้ครั้งนี้เพื่อดิ้นรนให้มีสันติภาพระหว่างแสงฉานกับสันตินิรันดร์ไปอีกห้าสิบปี”
เขายิ้มน้อยๆ และกล่าว “เทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนแสงฉาน ล้วนแต่หยิ่งผยอง แม้ว่าพวกเขาจะมาเป็นพันธมิตรกับสันตินิรันดร์ ก็คงจะดูถูกดูแคลนพวกเราอยู่ดี พวกเขาก็จะค่อยๆ มีการเลือกปฏิบัติ อันจะนำไปสู่การกดขี่ ในเมื่อพวกเขาดูถูกพวกเรา พวกเขาก็จะต้องข่มเหงรังแกผู้คนและผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์เป็นแน่ และไม่ช้าไม่นาน มันก็จะนำไปสู่หายนะยิ่งใหญ่ บัดนี้เมื่อข้าอัดพวกเขาจนน่วม ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อน ก็จะไม่กล้าก่อเรื่องไปอย่างน้อยห้าสิบปี”
หลิงอวี้จิวตื่นตะลึง “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดไปไกลขนาดนั้น งั้นจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากห้าสิบปี”
“หลังจากห้าสิบปี ข้าก็จะกระทืบพวกเขาอีกรอบ”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “จากนั้นเราก็จะมีสันติภาพต่อไปอีกห้าสิบปี”
หลังจากเหตุการณ์อันฮึกเหิมและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ โอรสเทพแสงฉานก็อนุญาตให้ผู้ฝึกวิชาเทวะที่กำลังตื่นเต้นทั้งหลายลงไปจากลานจัตุรัสและเยียวยาอาการบาดเจ็บของตน จากนั้นเขาจึงหันกลับมาและเดินกลับไปยังบัลลังก์ของตน เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าว “คณะทูตสันตินิรันดร์ เชิญนั่ง”
ฉินมู่ หลิงอวี้จิว และบรรพชนแรกนั่งลงไป สายตาของโอรสเทพแสงฉานแจ่มกระจ่างมองสำรวจพวกเขาอย่างถี่ถ้วน เขาถามบรรพชนแรก “สหายเต๋ามาจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งอย่างนั้นหรือ”
บรรพชนแรกตอบ “ผู้อพยพจากจักรพรรดิก่อตั้ง”
“ข้าได้ส่งชื่อซีไปพบกับจักรพรรดิก่อตั้ง ก็ในเมื่อข้าวางแผนที่จะสวามิภักดิ์แก่จักรพรรดิก่อตั้ง และร่วมมือกับพวกเขาเพื่อต่อสู้กับสภาสวรรค์”
โอรสเทพแสงฉานถอนหายใจ “ไม่คาดคิดเลยว่า เรื่องราวจะแปรเปลี่ยนไปในเวลาที่ผันผ่าน ไม่มีอะไรจีรังเลยจริงๆ ไม่ทันที่ชื่อซีจะไปถึงพวกเขา ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็มาถึงจุดสิ้นสุดก่อนกาลอันควร ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งดำรงอยู่สองหมื่นปี แต่สำหรับโลกลอยเลื่อนของข้าแล้ว เวลาเพิ่งจะผ่านไปสามพันปี น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ โชคยังดี ที่ยังมีสันตินิรันดร์อยู่”
สายตาของเขาตกลงไปยังร่างของหลิงอวี้จิว และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงอวี้จิวมาด้วยตนเอง การมาเยือนของเจ้าประดุจนำแสงสว่างมายังสถานที่ต่ำต้อยของข้า ชื่อซีได้ลงนามในสัตยาบันกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และข้าได้อ่านมันแล้ว หากว่าศิษย์ของข้าสามารถเอาชนะคณะทูตได้ ข้าก็คงยังจะต่อรองเจรจาบางวรรคและบางเงื่อนไข แต่ทว่า เขาได้พ่ายแพ้ไป ดังนั้นข้าจึงจะไม่เปลี่ยนแปลงวรรคและเงื่อนไขที่ชื่อซีลงนามเอาไว้”
หลิงอวี้จิวโค้งกายเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายโอรสเทพมีจิตใจอันโอบอ้อมกว้างขวาง หากว่าพวกเราได้ล่วงเกินท่านแต่อย่างใด ก็โปรดอภัยให้ด้วย”
“องค์หญิงสุภาพไปแล้ว เดิมทีนั้นข้าต้องการแสดงอำนาจแก่พวกเจ้า แต่ไม่นึกเลยว่าข้าจะเป็นผู้ที่ถูกเตะลงมาจากม้าสูงแทน”
โอรสเทพแสงฉานหัวเราะ เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่คบหาง่าย แต่ดวงตาของเขาหลีกเลี่ยงฉินมู่ เขากล่าว “ข้าได้ตกลงในข้อความทั้งหลายในสัตยาบันพันธมิตร ขอองค์หญิงและทูตโปรดรออยู่สักสามสี่วัน ข้ายังต้องตระเตรียมเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ก่อนที่จะส่งสหายร่วมเผ่ากลุ่มหนึ่งไปยังสันตินิรันดร์”
การหารือครั้งนี้จบลงอย่างชื่นมื่นกลมเกลียว
หลิงอวี้จิวพร้อมกับฉินมู่และบรรพชนแรก ได้กลับไปยังที่พักของพวกเขา เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปข้างใน นางก็กล่าวทันที “โอรสเทพผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกยุ่งยากใจและสะพรึงกลัว เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ข้ามองเขาไม่ออกเลยสักนิด! เขายอมถอยเพียงเพราะเด็กเลี้ยงวัวแสดงแสนยานุภาพจริงๆ น่ะหรือ ข้าไม่เชื่อเช่นนั้น”
ฉินมู่ยืดหลังและแย้มยิ้ม “เขาย่อมเป็นบุคคลที่มีความทะเยอทะยาน แต่เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือการส่งสหายร่วมเผ่าออกไปจากสถานที่อันตัดขาดจากโลกหล้าแห่งนี้ เพื่อกลับไปยังโลกอันเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี แต่เขามิได้เอาไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงมีแต่ต้องให้สหายร่วมเผ่าจำนวนหนึ่งออกไปจากโลกลอยเลื่อนเพื่อมุ่งหน้าไปยังสันตินิรันดร์ หากว่าเขาส่งไปเพียงส่วนหนึ่งจริงๆ มันก็จะไม่เป็นอันตรายกับสันตินิรันดร์ ในทางกลับกัน จะเป็นโอกาสให้สันตินิรันดร์ได้รับความช่วยเหลืออย่างมหาศาล”
หลิงอวี้จิวครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยและกล่าว “เมื่อพวกเขามีรากฐานอันมั่นคงแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อสันตินิรันดร์”
ฉินมู่กล่าว “เมื่อเวลานั้นมาถึง สันตินิรันดร์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ใช่ไหมล่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ เรื่องดังกล่าวควรจะเป็นเกมละเล่นระหว่างเขากับจักรพรรดิ ดังนั้นปล่อยให้จักรพรรดิปวดหัวไปเถอะ พวกเราใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลืออยู่นี้เดินดูรอบๆ และชมทัศนียภาพในโลกลอยเลื่อนกันเถอะ น้องสาวจิว เจ้าจะไปด้วยกันกับข้าไหม”
หลิงอวี้จิวส่ายหัว “ข้ายังต้องขบคิดบางอย่าง”
นางเริ่มเค้นสมองและสมมติว่าหากนางเป็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง นางจะทำอย่างไรถึงจะได้รับชัยชนะในเกมละเล่นดังกล่าว
โอรสเทพแสงฉานเป็นคู่ต่อสู้น่าสะพรึงกลัว พรสวรรค์ ความเฉียบขาด ปณิธาน และวิธีการของเขา ล้วนแต่ไม่ด้อยไปกว่าท่านพ่อ หากว่าเขาต้องการจะเอาชนะเขาในอนาคต เขาก็จะต้องมีพรสวรรค์และความกล้าตัดสินใจที่สูงกว่า เขาจะต้องมีปณิธานและยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางกว่า! นางลอบคิดในใจ
…
ฉินมู่เดินเตร็ดเตร่ไปในเมือง เขาใช้ดวงตาของเขาสำรวจขนบและธรรมเนียมพื้นถิ่นของโลกลอยเลื่อน มองไปยังแบบแผนของสิ่งก่อสร้างของพวกเขาโดยเฉพาะ บรรพชนแรกตามเขาไปโดยไม่ปริปาก
โลกลอยเลื่อนนั้นถึงกับไม่เล็กไปกว่าสันตินิรันดร์เลย แต่ประชากรมีไม่มากมายนัก น้อยกว่าสันตินิรันดร์เป็นอย่างมาก อาจจะเพราะว่าพวกเขาใช้ชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุข ดังนั้นจึงไม่สนใจในการผลิตทายาท
นี่เป็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด เมื่อใดที่ใครตกอยู่ในสภาวะคับขันอันตราย พวกเขาก็จะพยายามทุกวิธีทางที่จะผลิตทายาทและรับประกันว่าจะมีชนรุ่นถัดไป ในทางตรงข้าม เมื่อชีวิตสุขสบายและไร้กังวล พวกเขาก็จะหมดความสนใจในการผลิตทายาทรุ่นถัดไป แบบนั้นแล้ว จำนวนประชากรก็จะเริ่มลดลง นี่ยิ่งเห็นได้ชัดในสถานที่อันไม่มีศัตรูภายนอก ไม่มีสงคราม และไม่มีความกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
“โอรสเทพแสงฉานพูดถูก หากว่าโลกลอยเลื่อนยังคงกบดานอยู่แบบนี้ พวกเขาก็จะทำลายตนเอง” ฉินมู่พึมพำ
เมืองเทพยดานี้ได้ก่อสร้างอยู่บนขุนเขาอันยิ่งใหญ่ไพศาล และขุนเขาลูกนี้ก็ใหญ่มหึมากว่าเขาพระสุเมรุมาก เมื่อยืนอยู่บนยอดป้อมปราการเมือง เขาก็สามารถมองเห็นทัศนียภาพของโลกลอยเลื่อน และแสงหลากสีที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
ฉินมู่รู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลเมื่อมองไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบ เขาหันกลับไปมองและตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น จุดสูงส่งของเมืองนี้กลับไม่ใช่เมืองจักรพรรดิวังหลวง ในทางกลับกัน มันเป็นราชวังอันตระการตาและยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเมืองจักรพรรดิอีกที
เมื่อเขาอยู่ในเมือง เขามองไม่เห็นสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด
ที่นั่นคืออะไร
ฉินมู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเขารีบเดินลงไปจากป้อมปราการเมือง เขาเดินอ้อมเมืองจักรพรรดิและมุ่งตรงไปยังราชวังนั้น บรรพชนแรกเดินตามเขาไปอย่างเยือกเย็น ด้วยท่าทีรันทด
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงโถงวังข้างหลังเมืองจักรพรรดิ ฉินมู่มองเห็นขั้นบันไดหินที่ปูลาดสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้ว่าขั้นบันไดนี้ถูกวางเอาไว้ได้อย่างไร แต่มันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ไต่ปีนขึ้นไป และเมื่อเขาเกือบจะไปถึงยอดสุด เทพเจ้าสามเศียรหกกรหลายตนก็โผล่หัวออกมาจากพื้นยอดข้างบน ใบหน้าของเขาใหญ่มหึมา และตะโกนไป “ทูตแห่งสันตินิรันดร์ ที่นี่คือโถงศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขตต้องห้าม โปรดกลับไป!”
ฉินมู่หยุดเท้า และเสียงอันคุ้นหูก็ดังมาจากข้างบน
“องครักษ์จิน ให้พวกเขาขึ้นมา”
“โอรสเทพแสงฉานก็อยู่ที่นี่ด้วย?” ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเดินไปข้างหน้าและเห็นโอรสเทพแสงฉาน
โอรสเทพแสงฉานกำลังสวมชุดยาวสีม่วงแดงพอดีตัว และเขายืนอยู่ตรงหน้า กำลังหันไปทางโถงวังอันวิจิตรตระการ เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ทูตสันตินิรันดร์ สถานที่นี้คือใจกล่าวหว่างคิ้วของจักรพรรดิแดงฉาน ข้างในโถง แสงเทวะของสมองเขาซ่อนอยู่ข้างใน”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิแดงฉาน ข้าคิดว่าข้าไม่ควรจะเข้าไป”