ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 659 สำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 659 สำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม
“เป็นความคิดมหัศจรรย์จริงๆ! เมื่อข้ากินพวกเขาจนหมดแล้ว ท่านแม่ก็จะไม่รู้ว่ามีผู้คนอยู่ที่นี่ นางก็จะไม่โกรธข้าที่ข้าทำเรื่องไม่ดี!”
ขณะที่ทารกกำลังคิดดังๆ อย่างตื่นเต้น เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งโลกลอยเลื่อนก็เหาะเข้ามา พวกเขาเห็นว่ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ระเบิดไปแล้ว และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งเดือดดาลและสยดสยอง เมื่อพวกเขาโจมตีไปยังทารก
มีเทพเจ้ามากมายอยู่ในโลกลอยเลื่อน แต่ทว่า เพราะไม่มีศัตรูใดๆ มาเป็นเวลาห้าหมื่นปี วรยุทธของผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกลอยเลื่อนจึงรุดหน้าไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาไม่อาจเทียบได้กับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งและดิ้นรน และในแง่ดี พวกเขาก็ได้สะสมจำนวนเทพเจ้าไว้อย่างมากในระหว่างห้าหมื่นปีที่ผ่านมา
นอกจากเทพเจ้าเดิมจากยุคสมัยแสงฉานที่เหลือรอดมา ก็ยังมีเทพเจ้าใหม่อันนับรวมๆ กันแล้วก็เกือบหมื่นตน ดังนั้นภาพของเทพเจ้ามากมายที่กรูกันเข้ามานั้น ช่างเป็นภาพอันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน และภาพอันแสนอลังการนี้ก็เทียบได้กับสงครามเทพประยุทธ์!
ในขณะเดียวกัน ก็มีเทพเจ้าอีกจำนวนมากที่ช่วยอพยพผู้คนในเมือง เทพเจ้าเหล่านี้ปกป้องพวกเขาระหว่างที่ออกไปจากเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการศึกอันกำลังดำเนินอยู่นั้น
ยุคสมัยแสงฉานใช้วิชาเสกสรรกายเนื้อเป็นวิธีการฝึกวิทยายุทธ กายเนื้อของพวกเขาแข็งแกร่ง และเพราะอย่างนี้ ความสำเร็จของพวกเขาในทักษะเทวะกายเนื้อจึงสูงล้ำเลิศ พวกเขาฝึกปรือวิชาบู๊สำหรับการต่อสู้ประชิดตัว ทำลายฝ่าเวทมนตร์นับหมื่นด้วยหมัดเดียว โดยรวมแล้ว การต่อสู้ของพวกเขามักจะกร้าวแกร่งดุดัน
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้านับหมื่นได้มาถึง และพวกเขาก็ก่อพยุหะกระบวนรบบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ตรงหน้าพวกเขา ร่างอันยับเยินของโอรสเทพแสงฉานลอยอยู่บนอากาศ เขาขึ้นมาเป็นผู้ควบคุมพยุหะด้วยตนเองและตะโกนออกไป “ล่อเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า และใช้ดวงตาจักรพรรดิแดงฉานจัดการเขา!”
ทารกเห็นเทพเจ้าที่กรูกันเข้ามาและตื่นเต้นอย่างสุดๆ เขาพุ่งเข้าไปและกล่าว “ภาพนี้ยังไม่คับคั่งเท่าที่ข้าเคยเห็นในแดนใต้พิภพ แต่ก็พอที่ข้าจะเล่นได้สักพักหนึ่ง!”
…
ในดินแดนรูปตัวฉิน ร่างแยกเทพสรรพชีวิต จักรพรรดิแดงฉาน และฉินมู่นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียด
เทพสรรพชีวิตตอบคำถามของจักรพรรดิแดงฉาน “เขาแข็งแกร่งแค่ไหนน่ะรึ เขาเป็นชีวิตแรกที่ถือกำเนิดจากครรภ์ในแดนใต้พิภพ และเขาได้รับการอวยพรจากสวรรค์ ความอาฆาต ความคิดชั่วร้าย และสันดานมารทั้งหมดในแดนใต้พิภพ ถูกเขาดูดกลืนเข้าไปตอนที่ถือกำเนิด เขาดูซับปราณอันแปดเปื้อนเหล่านี้ อันแม้แต่ภูติบดีก็ไม่สามารถจัดการได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีขั้นวรยุทธ เขานั้นเหมือนกับข้าและภูติบดี พวกเราก็ไม่มีขั้นวรยุทธด้วยเช่นกัน”
จักรพรรดิแดงฉานขมวดคิ้ว “หากว่ากำลังฝีมือของเขาเทียบกับขั้นวรยุทธ เขาจะอยู่ในขั้นวรยุทธใด”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตพึมพำ “ก็คงประมาณขั้นตำหนักชิดฟ้า แต่…” เขาขมวดคิ้วและไม่กล่าวให้จบความ
จักรพรรดิแดงฉานรอ แต่แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “พี่ทางเต๋า แต่อะไร ท่านพูดออกมาไม่ได้หรือ”
เทพสรรพชีวิตถอนหายใจและอธิบาย “เมื่อสิบเก้าปีก่อน ไม่สิ เกือบจะยี่สิบปีก่อน เมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นมาและสร้างความโกลาหลในแดนใต้พิภพ ข้าได้ปลีกแยกสะเก็ดสำนึกรู้ออกไปและเข้าไปในแดนใต้พิภพด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในตอนนั้น ตัวตนบรรพกาลมากมายก็ได้เข้าไปในแดนใต้พิภพด้วยเช่นกัน และความวุ่นวายนั้นก็ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรก สภาสวรรค์เข้าไปล้อมปราบเขา จากนั้นทหารสภาสวรรค์และทหารภูตผีนับหมื่นๆ ก็ถูกเขากลืนกินไปหมด เขาและมารดาของเขาถูกบีบให้หลบหนีไปยังเบื้องลึกของแดนใต้พิภพ หลังจากที่เขากินมากเข้าและมากเข้า อิทธิพลอำนาจที่สภาสวรรค์ฝังเอาไว้ในแดนใต้พิภพก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้อีกต่อไป เขายังคงไปขัดผลประโยชน์ของตัวตนโบราณบางตนในแดนใต้พิภพ ดังนั้นผู้มีอิทธิพลเหล่านี้จึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ เจ้าก็น่าจะรู้จักตัวตนโบราณเหล่านี้สักชื่อสองชื่อ”
จักรพรรดิแดงฉานส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยได้ไปยังแดนใต้พิภพ ดังนั้นข้ารู้จักใครไม่มาก”
เทพสรรพชีวิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากสภาสวรรค์แล้ว ผู้ที่สามารถปักหลักอยู่ในแดนใต้พิภพได้ย่อมเป็นยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิที่ตายลงไป สภาสวรรค์ได้ก่อตั้งเขตปกครองอิสระของตน ยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิเหล่านั้นก็ย่อมก่อตั้งเขตปกครองอิสระของตนด้วยเช่นกัน ภูติบดีพอจะไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง ยอดฝีมือเหล่านั้นมีเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิม และในเมื่อพวกเขาไม่มีกายเนื้อ กำลังฝีมือของพวกเขาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน นอกจากเพื่อระวังป้องกันภูติบดีแล้ว สาเหตุที่สภาสวรรค์ก่อตั้งเขตปกครองตนเองในแดนใต้พิภพนั้นก็เพื่อระวังป้องกันผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมอิทธิพลอำนาจในแดนใต้พิภพจึงซับซ้อนนัก พวกเขาสลับซับซ้อนเสียยิ่งกว่าแดนปริศนาของข้า จักรพรรดิแดงฉาน หากว่าเจ้าตายไปข้างนอก เจ้าก็คงจะได้เป็นผู้ทรงอิทธิผลคนหนึ่งในแดนใต้พิภพ และอำนาจของเจ้าก็จะไม่อ่อนแอเลยแม้แต่นิด”
จักรพรรดิแดงฉานตกตะลึง เขาพึมพำ “ราชามารจุตินี้ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิหรือ”
เทพสรรพชีวิตผงกหัวแล้วถอนหายใจ “ใช่แล้ว ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้แม้จะตายไปแล้วก็ไม่ยอมเสียหน้า ดังนั้นแทนที่จะเข้าล้อมกลุ้มรุมโจมตีเขาพร้อมๆ กัน เขากลับต้องการไปต่อสู้กับเขาทีละคน หลังจากนั้น…เขาก็เติบโตเร็วเกินไป เขาได้กินมารเทวะและสัตว์ประหลาดแดนใต้พิภพไปมากมาย และภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน…”
จักรพรรดิแดงฉานรู้สึกหวาดกลัวจับใจ “เขาไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนั้น!”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “เมื่อเขาอยู่ในแดนใต้พิภพ เขาก็แข็งแกร่งขนาดนั้น เขาเป็นเทพเจ้า เป็นราชามารที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไร้เทียมทานในแดนใต้พิภพ มีแต่ภูติบดีเท่านั้นที่ปราบเขาได้ แต่ทว่า เมื่อเขาไม่ได้อยู่ในแดนใต้พิภพ เขาก็จะไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น”
จักรพรรดิแดงฉานค่อยสบายใจ และเขากล่าว “โลกลอยเลื่อนไม่ใช่แดนใต้พิภพ มันเป็นจักรวาลเล็กๆ ข้าได้ใช้กายเนื้อของข้าเพื่อก่อสร้างสวรรค์ลับแห่งนี้ขึ้นมา”
เทพสรรพชีวิตถอนหายใจ “โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพแห่งนี้ ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงโลกมิติอื่นและสวรรค์ลับอื่นๆ ให้กลายเป็นแดนใต้พิภพ นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด หลังจากที่เขาเปลี่ยนพวกมันให้เป็นแดนใต้พิภพ กำลังฝีมือเขาก็จะเพิ่มพูดขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด”
จักรพรรดิแดงฉานเบิกตากว้างและจ้องไปที่เขา สักครู่หนึ่ง เขาได้แต่พึมพำ “ไร้ยางอาย นี่มันไร้ยางอายชัดๆ!”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “แต่ทว่า หลังจากที่เปลี่ยนแปลงที่นี่ให้เป็นแดนใต้พิภพแล้วภูติบดีก็จะสามารถมายังที่นี่ได้ และเขาก็จะต้องสังเกตพบความผิดปกติอย่างแน่นอน ภูติบดีก็จะรู้ว่าเขาหลบหนีออกมาได้อีกครั้ง และเขาก็จะถูกปิดผนึกเอาไว้อีกหนหนึ่ง”
หลังจากได้ยินถ้อยคำพวกนี้ ความหวังก็จุดขึ้นมาในหัวใจของจักรพรรดิแดงฉาน ทว่าเทพสรรพชีวิตกล่าวเสริม “เมื่อเวลานั้นมาถึง โลกลอยเลื่อนก็จะกลายเป็นแดนใต้พิภพ และคงจะไม่มีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่ในนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าภูติบดีก้าวเข้ามาช่วยเหลือพวกเราและเห็นข้าถูกกักขังเอาไว้ข้างใน ต่อให้เขาไม่แสดงออกนอกหน้า เขาก็ยินดีปรีดาอย่างสุดๆ ข้าไม่อาจเสียหน้าได้ขนาดนั้น”
จักรพรรดิแดงฉานสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาถามด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ผู้คนในโลกลอยเลื่อนเป็นสหายร่วมเผ่ากลุ่มสุดท้ายของข้า หากว่าสถานที่นี้ถูกทำลาย ก็จะเป็นจุดจบของเผ่าพันธุ์ข้า…พี่ทางเต๋าเทพสรรพชีวิต ท่านมีฝีมือความสามารถอันเหนือธรรมดา ท่านมาที่โลกลอยเลื่อนก่อนที่ภูติบดีจะมาถึงไม่ได้หรือ”
เทพสรรพชีวิตส่ายหัว “โลกลอยเลื่อนนั้นตั้งอยู่ในจักรวาลเล็กแห่งอื่น มันไม่ได้อยู่ในกำกับดูแลของข้า ดังนั้นข้าจึงเข้ามาข้างในไม่ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพสรรพชีวิต ก็ใช่ว่าจะไปได้ทุกหนทุกแห่ง ยกตัวอย่างเช่น สันตินิรันดร์ไม่มีดวงดาวจริง และแม้แต่ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของพวกเขาก็ยังปลอม ดังนั้นข้าจึงไปที่นั่นไม่ได้ แต่ทว่า ก็ยังมีหนทางอื่น…”
เขามองไปที่ฉินมู่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิธีการทลายฝ่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา ก็ยังคงต้องพึ่งสหายน้อยฉิน”
ฉินมู่ซึ่งอึ้งจนพูดไม่ออกไปนานแล้วจากการรับฟังคำบอกเล่าของเขา เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เทพสรรพชีวิตเพิ่งจะกล่าว เขาก็รีบถาม “ข้ามีความสามารถเช่นนั้นที่ไหนกันล่ะ ข้าหนีไปไม่ได้ ข้าก็ถูกสะกดข่มเอาไว้เหมือนกับพวกท่าน และต่อให้ข้าหนีไปได้ ข้าก็ยังจะถูกฟาดตกกลับลงมาที่นี่อยู่ดี…”
เทพสรรพชีวิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองใช้ร่างกายร่วมกัน ไม่เพียงเท่านั้น พวกเจ้าทั้งสองยังใช้ดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ดังนั้นหากว่าเขาสามารถขับเคลื่อนสันดานมารและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพ เจ้าก็ทำได้เช่นกัน เมื่อเจ้าฝึกวิทยายุทธในอดีต เจ้าไม่เคยคิดสงสัยเลยหรือว่า ทำไมเจ้าถึงพิเศษนักที่สามารถเปิดประตูน้อมสวรรค์ได้”
“นั่นเพราะว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน!” ฉินมู่ตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด
“กายาจ้าวแดนดิน?”
จักรพรรดิแดงฉานหัวใจสะท้านอย่างรุนแรง เขาทั้งรู้สึกนับถือและผิดหวังในเวลาเดียวกัน น่าเสียดายที่ข้ายึดครองสำนึกรู้ของเขาไม่ได้ หากว่าข้าทำได้ เขาก็จะกลายเป็นตัวข้าอีกคน และด้วยกายาจ้าวแดนดิน ก็คงไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่ข้าจะย้อนกลับไปรุ่งโรจน์…
เทพสรรพชีวิตกล่าว “มันไม่ใช่ว่าเพราะเจ้ามีกายาจ้าวแดนดินหรอก แต่เพราะว่าเจ้าทั้งสองใช้ร่างกายและดวงวิญญาณร่วมกัน! แต่ทว่า ภูติบดีได้ปิดผนึกเขาไปพร้อมๆ กับสันดานมารและปราณมารของเขา ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าเองก็คือเขา เพียงแต่เจ้ามีสำนึกรู้ที่แตกต่างไปจากเขา ดังนั้นเจ้าก็จะสามารถใช้พลังอำนาจของเขาได้ด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่ทั้งตื่นตระหนกและยินดี หากว่าเขาสามารถขับเคลื่อนพลังงานอันมหาศาลขนาดนั้นได้ มิใช่ว่าเขาก็จะเก่งกาจเท่าๆ กับฉินเฟิงชิงหรอกหรือ
แต่ว่าเขาจะขับเคลื่อนมันอย่างไร
“หากว่าเจ้าต้องการขับเคลื่อนพลังอำนาจนี้ เพียงลำพังตัวเจ้าก็ยังคงเป็นไปไม่ได้”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “นั่นจึงเป็นเหตุว่าเจ้ายังต้องการข้าและจักรพรรดิแดงฉาน สำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขาได้ฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมถึงสามดวง สำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม ต่อให้ดวงวิญญาณของเขาแตกสลายไป สำนึกรู้ของเขาก็ยังคงอยู่ แต่ทว่า เขาไม่อาจต่อสู้กับสันดานมารของฉินเฟิงชิง เพราะสันดานมารของฉินเฟิงชิงนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป ดังนั้นหากว่าจักรพรรดิแดงฉานพยายามเข้าไปแทรกซึมเขา เขาก็จะถูกฟาดทุบออกไปจากร่างกาย จักรพรรดิแดงฉาน เจ้าถ่ายทอดสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แก่ฉินมู่เถอะ”
จักรพรรดิแดงฉานลังเลและกล่าว “ข้าทำแบบนั้นได้ก็จริง แต่ทว่าข้าเป็นเพียงแค่สำนึกรู้ ดังนั้นหลังจากที่ข้าถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้ให้แกสหายน้อยฉิน ความทรงจำของข้าเกี่ยวกับสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมก็จะหายไป สหายน้อยฉินจะถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้ให้แก่สหายร่วมเผ่าของข้าได้หรือไม่ ข้าได้หวงวิชาฝึกปรือนี้ไว้แต่ผู้เดียวเมื่อในอดีต และมิได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้คนของข้า หลังจากที่ข้าตายไป วิชาฝึกปรือนี้ก็หายสาบสูญ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “จักรพรรดิแดงฉาน ไม่ต้องกังวล! ข้าจะถ่ายทอดวิชานี้ต่อไปเป็นแน่!”
จักรพรรดิแดงฉานวางใจได้ในที่สุด เขาค่อยๆ ดึงเอาส่วนหนึ่งของสำนึกรู้ของเขาออกมาอย่างระมัดระวัง และผ่านไปครู่หนึ่ง สำนึกรู้ส่วนหนึ่งของเขาก็ไหลออกจากศีรษะ และพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของฉินมู่
มันเป็นสำนึกรู้บริสุทธิ์ที่บรรจุสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเอาไว้ มันรวมถึงวิชาฝึกปรือและทุกๆ อย่างที่เขาได้รับมาระหว่างที่ฝึกฝนมัน มันเทียบเท่ากับเฉือนตัดประสบการณ์ของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิและส่งมันตรงเข้าไปในสำนึกรู้ของฉินมู่
แม้ว่าเขาจะมีความคิดที่อยากจะแย่งชิงร่างเนื้อของฉินมู่ และมีการถือกำเนิดใหม่อีกรูปแบบผ่านฉินมู่ เขาก็ไม่อาจเล่นตุกติกอะไรได้ในสถานการณ์ที่มีเทพสรรพชีวิตอยู่ข้างๆ
หลังจากได้รับสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมมา วิธีการฝึกปรือและประสบการณ์ก็พลันปรากฏในจิตของฉินมู่ ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาก็พลันยกทะยานสู่ระดับอันสูงลิ่ว เขาสามารถมองวิชาฝึกปรือนี้ด้วยวิจารณญาณของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ความปีติยินในหัวใจของเขานั้นเกินจิตนาการ!
เทพสรรพชีวิตกล่าว “วิชาเทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถเสริมแกร่งสำนึกรู้ของเจ้า แต่สำนึกรู้ของเจ้าในตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจต่อกรกับฉินเฟิงชิง เจ้าจึงต้องให้พวกข้าช่วยเสริมแกร่งจิตวิญญาณของเจ้า”
เขาแย้มยิ้มและอธิบายต่อ “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงร่างแยกที่สร้างขึ้นจากสะเก็ดเสี้ยวสำนึกรู้ และข้าก็สู้ฉินเฟิงชิงไม่ได้ แต่ผู้มีแผนการลอบทำร้ายผู้ไร้แผนการ พวกเราย่อมจัดการหลอกเขาได้ และช่วยให้เจ้ายึดครองกายเนื้อของตนกลับคืนมา หลังจากที่เจ้ายึดร่างกลับมาคืนและออกไปจากโลกลอยเลื่อน ข้าก็จะช่วยเจ้าเพิ่มเวทปิดผนึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่งตอนที่เจ้ากลับไปทางแดนปริศนา นี่เพื่อป้องกันไม่ให้ฉินเฟิงชิงวิ่งเพ่นพ่านออกมาอีกครั้ง”
ฉินมู่ถามอย่างตื่นเต้น “หลังจากข้ายึดร่างเนื้อกลับมา ข้าจะสามารถมีพลังอำนาจเหมือนเขาได้ไหม”
เทพสรรพชีวิตยิ้มกล่าว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถควบคุมพลังอำนาจใต้พิภพได้หรือไม่ ฝึกปรือสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมไปก่อนก็แล้วกัน พวกเราจะลงมือหลังจากที่เจ้าฝึกสำเร็จ พวกเราจะต้องลากเขากลับเข้ามาและปิดผนึกเอาไว้! เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราก็จะหนีออกไปจากที่นี่ได้! ข้าหวังว่ามันคงจะไม่สายเกินไป และโลกลอยเลื่อนยังไม่ถูกเขาทำลายไปเสียก่อน”
ฉินมู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเขารีบลงมือฝึกวิชาในทันที
จักรพรรดิแดงฉานมองไปยังเทพสรรพชีวิตและกล่าวด้วยเสียงเบา “เจ้าโกหกเขา เขาไม่สามารถควบคุมพลังอำนาจใต้พิภพได้แม้แต่น้อย เมื่อเขาได้รับพลังอำนาจนั้นมา เขาก็จะแปดเปื้อนจากสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ และเขาก็จะแปรเปลี่ยนเป็นฉินเฟิงชิงอีกคน หรือไม่ก็เลวร้ายกว่านั้น!”
แสงในดวงตาของเทพสรรพชีวิตสะบัดไหววูบวาบ เขาผงกหัว “เลวร้ายกว่านั้น? แม้ว่าฉินเฟิงชิงจะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กทารก เขาชอบที่จะจัดการเรื่องราวด้วยกำลังเถื่อน และเขาก็เพียงแต่คร่าชีวิตผู้คนด้วยทักษะเทวะแดนใต้พิภพหลังจากที่ถูกรุกไล่ให้จนตรอก ส่วนสำหรับฉินมู่นั้น…”
คิ้วและเคราขาวโพลนของเขาลอยขึ้นมา และเขากล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “อำมหิต เจ้าเล่ห์ และกลอกกลิ้ง…ความเร็วและความสามารถในการปรับตัวของเขานั้นทำให้ยากจะรับมือกว่าฉินเฟิงชิงเป็นร้อยเท่าพันเท่า หากว่าเขาได้ควบคุมสันดานมารใต้พิภพ เขาก็จะกลายเป็นเลวร้ายยิ่งกว่าฉินเฟิงชิงร้อยเท่าพันเท่า! ฉินเฟิงชิงนั้นเพียงแค่ชั่วร้าย แต่เขานั้นคดในข้องอในกระดูก และเมื่อความคดในข้อนี้ปะทะเข้ากับสันดานมาร เขาก็จะกลายเป็นมารร้ายมากเล่ห์ หากว่าเขาใช้ทักษะเทวะใต้พิภพ…”
เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้มและพึมพำ “เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่ข้าก็จะไปช่วยสภาสวรรค์กลุ้มรุมกำจัดเขา โชคยังดีว่าเขาถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ และถูกพุทธเจ้าพรหมสะกดข่ม ตราบเท่าที่ฉินเฟิงชิงถูกดึงกลับเข้ามา เขาก็ไม่มีทางหนีไปได้”
จักรพรรดิแดงฉานกล่าวพลางถอนหายใจ “ยิ่งแก่เฒ่า ก็ยิ่งทรงปัญญา ที่ภูติบดีและพุทธเจ้าพรหมปิดผนึกและสะกดข่มเอาไว้คือสันดานมารและปราณมารแห่งแดนใต้พิภพ เมื่อฉินเฟิงชิงกลับมาเข้ามาในผนึก สันดานมารและปราณมารก็จะถูกสะกดข่มเอาไว้เช่นกัน เมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้น พวกเราทั้งสองก็จะสามารถฉวยโอกาสหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้”
เทพสรรพชีวิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นแหละความคิดของข้า หากว่าพวกเราถูกสะกดข่มที่นี่ ไม่ใช่ว่าต้องคอยทนมือทนตีนราชามารจุติอยู่หรอกหรือ นี่คือการขว้างหินหนึ่งก้อนได้นกสองตัว! แต่กระนั้น ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของเจ้า หากว่าเจ้าไม่พยายามเข้าไปยึดครองสำนึกรู้ของเขา เรื่องยุ่งยากทั้งหมดนี่ก็คงไม่เกิดขึ้น!”
จักรพรรดิแดงฉานถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ อีกอย่าง มันไม่ใช่ข้าเลยที่นำตัวเขามายังสมองของข้า มันเป็นฝีมือของโอรสเทพแสงฉาน ไอ้เด็กนั่น ผู้ที่พยายามจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เขาตกลงมาในเขาวงกตสำนึกรู้…”
…
ขณะที่ฉินมู่ฝึกปรืออยู่นั่นเอง ในโลกภายนอก ก็ไม่รู้ว่าโอรสเทพแสงฉานเสียสละชีวิตเทพเจ้าไปตั้งมากมายเท่าไร ถึงหลอกล่อฉินเฟิงชิงขึ้นไปบนท้องฟ้าได้สำเร็จ ด้วยดวงตะวันและดวงจันทร์ที่แปรเปลี่ยนมาจากดวงตาจักรพรรดิแดงฉานบนท้องฟ้า เทพเจ้าจำนวนไม่น้อยก็ปีนไต่ขึ้นไปบนดวงดาวเหล่านั้น และขับเคลื่อนวงจรพยุหะในแก้วตาของจักรพรรดิแดงฉาน
ชิ้ง
ลำแสงเข้มข้นพลันควบรวมเข้าด้วยกัน และลำแสงทั้งหมดก็เล็งไปยังเด็กทารกที่เข่นฆ่าผู้คนอย่างไม่สนใจอะไร!
ท้องฟ้าพลันมืดมัว แสงของตะวันและจันทราหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นลำแสงเข้มข้น อันเป็นผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงไปในความมืด
ตูม!
คลื่นกระเพื่อมน่าสะพรึงกลัวแล่นออกไป พร้อมกับร่างทารกยักษ์ที่ถูกซัดกระเด็น เขาร่วงตกลงไปปะทะกับพื้น และกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ ทำให้ภูเขายุบลงไปอย่างต่อเนื่อง
“พวกเราชนะ…”
เทพเจ้าบนท้องฟ้าหันไปมองกันไปมาด้วยความกระสับกระส่าย พวกเขาก็ยังคงมองไปยังจุดที่ทารกร่วงตกลงไป และเห็นว่าเขานอนแผ่หราอยู่ข้างๆ แม่น้ำ ศีรษะของเขาจุ่มลงไปในน้ำขณะที่หงายก้นขึ้นมา ทารกนี้แน่นิ่ง
“พวกเราชนะแล้ว!” เสียงโห่ร้องยินดีดังมาจากนภากาศ และผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร้องเฉลิมฉลอง กอดกันและกัน พวกเขาซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก
“สนุกจังเลย”
ทารกมหึมาพลันดึงหัวของเขาขึ้นมาจากแม่น้ำ และนั่งอยู่กับพื้น เขาหัวเราะคิกคัก “ไอ้นั่นสนุกมากเลยล่ะ! มาเล่นกันอีกรอบ!”
เทพเจ้าบนท้องฟ้าล้วนแต่ตะลึงงัน ความกลัวและความสิ้นหวังค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่พวกเขา โอรสเทพแสงฉานตะโกนไปอย่างบ้าคลั่ง “กระตุ้นการทำงานเนตรจักรพรรดิแดงฉาน และยิงเขาให้ร่วง!”
ลำแสงจากดวงตะวันสามดวงและดวงจันทร์สามดวงเข้ามาควบรวมกันอีกครั้ง และท้องฟ้าก็มืดลงไปทันที ทำให้ทั้งโลกลอยเลื่อนจมอยู่ในความมืด
เหวิ่ง
ดวงดาวทั้งหกสั่นเทิ้มเมื่อลำแสงหกลำยิงไปยังทารกยักษ์ แต่อีกฟากหนึ่งนั้น ทารกนี้กลับตื่นเต้นเมื่อเขากำมือแน่นและปลดปล่อยลำแสงสีดำเข้มข้นสองลำออกจากดวงตา ยิงไปปะทะกับลำแสงเทวะตะวันจันทรา
พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวซัดกระเพื่อมไปในอากาศ และระเบิดอันสะท้านพิภพก็พวยพุ่งออกไป ดวงตะวันดวงหนึ่งถูกยิงทะลุ ขณะที่ดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งก็มีรูโหว่มหึมาปรากฏบนนั้น ทั้งสองดาวเหมือนกับอินทผลัมที่ถูกคว้านเม็ดออก
“อีกทีนึงสิ!” ทารกยักษ์ตะโกนไปด้วยความตื่นเต้นคาดหวัง