ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 660 มารจำแลงของฉินมู่
บนใบหน้าของโอรสเทพแสงฉานมีแต่ความสิ้นหวังระบายอยู่บนนั้น เมื่อเขามองไปยังเทพเจ้าสามเศียรหกกรหลายพันตน ความแตกตื่นและความหวาดกลัวบนใบหน้าเหล่านั้นชัดเจน จนโอรสเทพก็สงสัยว่าตนเองได้ฝึกปรือทักษะเทวะที่อ่านใจผู้คนอยู่
แต่ทว่า มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เทพเจ้าทั้งหลายแห่งโลกลอยเลื่อนได้สูญเสียความกล้าหาญที่จะสู้ต่อไปโดยสิ้นเชิง และนี่เป็นสิ่งที่จินตนาการไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงยุคสมัยแสงฉาน
เทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉานนั้นกล้าหาญและเก่งกาจการต่อสู้ พวกเขาไม่หวาดกลัวความตาย เมื่อพวกเขาคุ้มกันผู้เหลือรอดชีวิตมายังโลกลอยเลื่อน ก็เหลือเทพเจ้าเพียงหนึ่งพันตนจากเทพนับหมื่นที่รับหน้าที่คุ้มกันเส้นทางหลบหนี กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ จากผู้คนนับพันเหลือแค่หลักร้อย จิตวิญญาณพวกเขาก็ยังคงไม่ถูกบดขยี้ แม้กระทั้งเหลือคนเพียงคนเดียวที่ยืนหยัด เขาก็จะยังสู้ต่อและไม่วิ่งหนีไป!
แต่บัดนี้ หลังจากอาศัยอยู่ในโลกลอยเลื่อนเป็นเวลาห้าหมื่นปี กาลเวลาได้กัดซ่อนพวกเขาไปจนหมด และพวกเขาก็ไม่มีเจตจำนงอันแน่แน่วดุจเดิม
โอรสเทพแสงฉานเงยศีรษะ ท่ามกลางดวงตะวันสามดวงและดวงจันทร์สามดวงบนท้องฟ้า สองดวงนั้นได้มีรูโหว่ขนาดใหญ่ที่ใจกลางแล้ว เขาก้มศีรษะลงมองไปยังทารกที่ตื่นเต้นและกำลังรออย่างใจจดใจจ่อให้พวกเขายิงถล่มไปด้วยลำแสงเนตรจักรพรรดิแดงฉาน เห็นได้ชัดว่า เขามองเรื่องนี้เป็นการละเล่นสนุกสนาน
ทำไมมันถึงกลายเป็นเช่นนี้
โอรสเทพแสงฉานเหม่องง การเจรจากำลังไปได้ดี และทุกๆ อย่างก็คืบหน้าไปในทิศทางที่เขาคาดหวังไว้ หรือว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นตอนที่เขาส่งฉินมู่เข้าไปในเขาวงกตสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน
แต่ทว่า เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเชื้อเชิญฉินมู่ไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อธิการบดีฉินได้วิ่งแล่นไปที่นั่นด้วยตนเอง และทำราวกับว่าเขาจะไปฝึกวิชาฝีมือ โอรสเทพเพียงแต่เชิญเขาเข้ามาในโถงศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่เต็มใจเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะขับไล่ฉินมู่ไป เด็กหนุ่มก็คงแอบลอบเข้ามาอยู่ดี
ความคิดของโอรสเทพแสงฉานปั่นป่วนสับสนไปหมด เป็นความผิดข้างั้นหรือ หรือว่าข้าไม่ควรเชิญเขามา หากว่าข้าไม่ทำเช่นนั้น เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ช้าก่อน ไม่สิ มันก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดี…
ทันใดนั้น เทพเจ้าจำนวนหนึ่งก็เหาะเข้าไปในเมืองเทพยดาและตะโกน “โอรสเทพ ในเมื่ออธิการบดีฉินได้แปลงร่างเป็นทารกยักษ์และเริ่มการเข่นฆ่า พวกเราไปคร่าตัวองค์หญิงสันตินิรันดร์เถอะ พวกเราสามารถใช้นางเพื่อเป็นตัวประกันให้เขายอมแพ้ได้!”
“ไม่ รัชสมัยเทวะแสงฉานของพวกเราไม่มีทางทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้น…”
ขณะที่เขากล่าวไป น้ำเสียงของเขาก็อ่อนเบาลงทุกทีๆ ทารกยักษ์นี้คือฉินมู่ และเขาก็ได้เห็นอีกฝ่ายขยายร่างออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีการย้อนวัยเด็กลงไปทุกทีๆ ในเวลาเดียวกัน อายุของเขาย้อนกลับไป แปรเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นทารกตัวใหญ่มหึมา
ทารกฉินมู่แข็งแกร่งเกินไป และโอรสเทพแสงฉานก็ไม่มีวิธีการใดเหลืออยู่ที่จะใช้จัดการกับเขา หากว่าเรื่องราวยังเป็นเช่นนี้ต่อไป โลกลอยเลื่อนก็จะถูกทำลาย และผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมดแห่งยุคสมัยแสงฉานก็จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
บางทีการจับหลิงอวี้จิวเป็นตัวประกัน และใช้ชีวิตของนางเพื่อเป็นเครื่องข่มขู่ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่เมื่อเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ งั้นเขาก็ต้องทำตัวน่ารังเกียจไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ในท้ายที่สุด เทพเจ้าหลายตนรีบรุดไปยังเรือนพักของหลิงอวี้จิว และหนึ่งในนั้นก็จับตัวนางมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากพันธนาการนางเอาไว้ เขาก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าและตะโกนไปยังทารก “อธิการบดีฉิน หากว่าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะบดขยี้องค์หญิงแห่งสันตินิรันดร์ของเจ้าให้แหลกเหลว!”
ทารกไม่สะทกสะท้าน และดูเหมือนจะตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งแทน เขาปรบมือร่ารอให้เทพตนนั้นบดขยี้หลิงอวี้จิว
เทพเจ้านั้นโกรธเกรี้ยว ขณะที่เขาจะบดขยี้หลิงอวี้จิวอยู่นั่นเอง ก็พลันมีแสงขวานพวยพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของหลิงอวี้จิว ในชั่วพริบตา เทพเจ้านั้นก็ถูกผ่าเป็นสองเสี่ยง
หลิงอวี้จิวยังไม่หายตื่นตระหนกดี เทพตนอื่นๆ ก็รีเหาะเข้ามา แสงขวานลอยจากหว่างคิ้วของนางอย่างมากมาย และพวกมันก็ร่ายรำไปมาบนอากาศ ราวกับว่ามียักษ์ล่องหนที่สับซ้ายสับขวาด้วยขวานยักษ์ โลหิตเทวะเริ่มร่วงกราวไปพร้อมๆ กับเศษแขนขาอันปลิวว่อนไปทั่วทิศทาง
หลิงอวี้จิวตกตะลึง นางร้องออกมา “นี่ืคือขวานที่นักบุญคนตัดไม้สับเอาไว้บนหัวของข้า เขาได้สับไปมากกว่าสิบครั้ง!”
เทพเจ้าตนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ก็ไม่กล้าดาหน้าเข้าไป
หลิงอวี้จิวมองไปที่ทารกและลังเล นางกะที่จะเหาะไปข้างหน้า แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันเหาะมาจากขอบฟ้า นอนแผ่หราอยู่ในอากาศ เขาพึมพำด้วยปากอันปิดเอาไว้ “องค์หญิงจิว อย่าเข้าไป มู่เอ๋อไม่ยอมรู้จักหน้าใครทั้งนั้น เขาถึงกับทุบตีข้าและเกือบฟาดข้าจนตาย ไปกันเถอะ”
หลิงอวี้จิวกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และตรวจตราดูบรรพชนแรกด้วยความรีบร้อน นางพบว่ากระดูกของเขาหักไปทั้งหมด และคางของเขาก็แหลกละเอียดเป็นพิเศษ
“เด็กเลี้ยงวัวทำเรื่องนี้หรือ” นางฉงนฉงาย
“ไม่ทั้งหมด ข้าได้ต่อสู้กับโอรสเทพแสงฉาน และเขาได้ทำให้คางกับกระดูกซี่โครงของข้าหัก บาดแผลที่เหลือทั้งหมดของข้า มาจากลูกตบของมู่เอ๋อ เด็กอกตัญญู!”
บรรพชนแรกไม่กล้าขยับเขยื้อน การเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดจะไปขยับเคลื่อนกระดูกของเขาและสร้างความเจ็บปวดสาหัส ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้พลังวัตรอันเข้มข้นเพื่อยกร่างตนเองให้ลอยเอาไว้ “แม้ว่าระหว่างพวกเราจะมีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบรรพบุรุษของเขาจากร้อยรุ่นที่แล้ว เขากลับทุบตีข้าหนักขนาดนี้ เขาดูเหมือนจะอยู่ในสภาพผิดปกติในตอนนี้ ดังนั้นอย่าเข้าไป เขาดูเหมือนจะถูกมารเข้าสิง และเจ้าก็มีแต่จะถูกซัดจนตายและกลืนกิน หากว่าเจ้าเข้าไปใกล้ ข้ามีสังหรณ์ว่าโลกลอยเลื่อนนี่คงอยู่ไปได้อีกไม่นาน!”
หลิงอวี้จิวพูดไม่ออก และนางก็รีบเหาะออกห่างไปพร้อมกับเขา
ในจังหวะนั้น ทารกก็หมดความสนใจในดวงตะวันและจันทราบนท้องฟ้า ร่างของเขาพลันสั่นเทิ้มเพื่อปลดปล่อยปราณมารใต้พิภพอันไร้ประมาณออกมา เมื่อเทพเจ้าบนท้องฟ้าตกลงไปในปราณมาร พวกเขาถูกปราณมารแปดเปื้อนและร่วงลงจากท้องฟ้า พวกเขาสู้ปราณมารไม่ได้เลยสักนิด!
โอรสเทพแสงฉานตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยว เขาโจมตีทารกด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ในพริบตาถัดมา เขาก็ถูกฝ่ามือยักษ์ของอีกฝ่ายคว้าจับเอาไว้ เมื่อเขาพยายามจะดิ้นให้หลุด เขาก็สลัดไม่หลุด
ทารกอ้าปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบ และเริ่มจะส่งเขาเข้าไปในปาก
ในจังหวะที่เขาจะกัดกร้วมโอรสเทพให้เป็นสองเสี่ยงอยู่นั่นเอง ร่างแยกเทพสรรพชีวิตก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสง และมุดเข้าไปในร่างของฉินมู่ “ตอนนี้เลย!”
ฉินมู่ขับเคลื่อนสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างดุเดือด ในชั่วพริบตา สำนึกรู้ของเขาก็กลายเป็นเชี่ยวกรากภายใต้การสนับสนุนของเทพสรรพชีวิต กระแสสายปราณชีวิตกระแสหนึ่งทะลวงผ่านจากเวทปิดผนึก และทารกฉินเฟิงชิงก็พลันรู้สึกว่าตนสูญเสียการควบคุมร่างเนื้อ ปราณมารและสันดานมารในร่างกายของเขาไหลไปยังดวงตาที่สามอย่างดุเดือด
“ใครมันลอบกัดข้า”
เขาไม่สนใจจะกัดกินโอรสเทพแสงฉานอีกต่อไป เขารีบคว้าใบหลิวทองคำที่ใจกลางหว่างคิ้วและดึงมันลงมา
เขาใช้ใบหลิวทองคำใบนี้เพื่อปิดผนึกฉินมู่ในแผ่นดินรูปตัวฉิน พร้อมๆ กับเทพสรรพชีวิตและสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน บัดนี้เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันผิดประหลาดในใจกลางหว่างคิ้ว ดังนั้นเขาจึงปลดใบหลิวออกมาเพื่อตรวจตราดู
แต่ทว่า เขาไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อเขาปิดใบหลิวออก จักรพรรดิแดงฉานก็เข้าไปปะทะกับสำนึกรู้ของพุทธเจ้าพรหมทันที และนี่ทำให้ผนึกหลวมคลายออก สำนึกรู้เทพอมตะของฉินมู่จึงทะลวงตรงออกมาและต่อสู้แย่งชิงการควบคุมร่างกาย
ทารกว้าวุ่นไปและร่างเนื้อของเขาก็ค่อยๆ หดเล็กลง สันดานมารและปราณมารในร่างของเขาถั่งโถมเข้าไปในร่างฉินมู่ซึ่งยังอยู่ในแผ่นดินรูปตัวฉินอย่างเชี่ยวกราก
เมื่อเขาถูกสูบพลังอำนาจไป เขาก็ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ร่างของเขาก็หดเล็กลงไปทุกทีๆ แม้กระนั้น เขาก็ยังตัวใหญ่กว่าโอรสเทพแสงฉานหลายเท่า
…
ในขณะเดียวกันนั้น ในแผ่นดินรูปตัวฉิน ฉินมู่รู้สึกแต่ว่ามีพลังงานอันรุนแรงถั่งโถมเข้ามาในตัวเขา เพิ่มพูนวรยุทธของเขาเป็นเส้นตรงผงาดฟ้า พลานุภาพนั้นเกินจินตนาการ และทำให้ร่างกายของเขามีพละกำลังอันไร้ขีดจำกัด ราวกับว่าเขาสามารถบดขยี้ท้องฟ้า และทำลายพื้นดินได้ด้วยกระทืบเดียว!
“พละกำลังแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้…ข้าหิวเหลือเกิน…”
เสียงอันชวนขนหัวลุกดังออกมาจากปากของฉินมู่ เมื่อร่างของเขาสูงขึ้นและสูงขึ้น เขาแผ่ปราณมารใต้พิภพออกมาทั่วร่าง และสันดานมารใต้พิภพก็พวยพุ่งเข้าไปในตัวเขา สันดานมารได้แปรเปลี่ยนสำนึกรู้และความคิดทั้งหมดของเขา เปลี่ยนความคิดด้านลบทั้งหมดให้เป็นความคิดอันละโมบและชั่วร้าย!
“ข้าอยากจะกินอะไรสักอย่าง…”
ฉินมู่เลียริมฝีปาก รอยประทับรูปปีกผีเสื้อพลันลอยออกมาจากใจกลางหว่างคิ้วของเขา บรรยากาศแห่งความเลวทรามพลันท่วมท้นไปทั้งแผ่นดินรูปตัวฉิน
จักรพรรดิแดงฉานตื่นตระหนก และรีบตะโกน “พี่ทางเต๋าเทพสรรพชีวิต พวกเราควบคุมเขาต่อไม่ได้แล้ว!”
ทันใดนั้น ทารกคนหนึ่งก็ร่วงลงมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า พร้อมกับปราณมารและสันดานมารอันคละคลุ้ง และขณะที่เขาหมุนติ้วๆ ไปในเสาปราณอันมืดดำ ปราณมารของเขาก็หลั่งไหลออกมาอย่างดุเดือด ขนาดร่างของเขาก็เล็กลงทุกทีๆ
“ข้าจะกินพี่ชายก่อน!” ดวงตาของฉินมู่เป็นประกาย เมื่อเขาอ้าปากออก รอให้ทารกมารฉินเฟิงชิงร่วงลงไปในปากของเขา
“เทพสรรพชีวิต!”
สีหน้าจักรพรรดิแดงฉานแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และเขาร้องตะโกนไป “เขากำลังจะกินฉินเฟิงชิง! เขากำลังจะจำแลงเป็นมารร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ!”
ในร่างกายของฉินมู่ ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตได้แปรเปลี่ยนเป็นแสงอันเจิดจ้าที่ไหลไปทั่วสรรพางค์กายฉินมู่นับครั้งไม่ถ้วน “ห้าผนึกชาวสวรรค์! ผนึกนภากระจ่างขับปีศาจ!”
จากร่างกายของฉินมู่ แสงพลันระเบิดออกไป และขับไล่ปราณมารกับสันดานมารใต้พิภพทั้งหมดออกไปจากร่างกาย!
“เทพสรรพชีวิต เจ้าลอบกัดข้า!”
ฉินมู่เดือดดาลอย่างข่มเอาไว้ไม่อยู่ แต่ทันทีที่ปราณมารและสันดานมารออกไปจากร่างเขา เขาก็กลับมาเป็นปกติ และได้สติคืนมา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจับใจ “สันดานมารน่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้! ข้าไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย และข้าก็เพิ่งจะถูกแทรกซึมจนเป็นมารร้ายไปเมื่อครู่ โชคยังดีที่เทพสรรพชีวิตได้ลงมือช่วยเหลือ”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตแยกออกจากร่างกายเขาไปพร้อมๆ กับแสง และเขาเงยศีรษะขึ้นมา เมื่อสันดานมารและปราณมารออกไปจากร่างของฉินมู่ พวกมันก็ไหลกลับไปยังร่างของฉินเฟิงชิงอย่างเกรี้ยวกราด และทารกนี้ก็เริ่มที่จะขยายใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
เทพสรรพชีวิตสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขารีบคว้าตัวฉินมู่ และพุ่งทะยานออกไปจากน่านฟ้าพลางตะโกน “จักรพรรดิแดงฉาน ราชามารจุติฟื้นคืนกลับมาแล้ว ตอนนี้คือโอกาสของพวกเรา! รีบออกไปเร็วเข้า!”
จักรพรรดิแดงฉานรีบติดตามพวกเขา และพุ่งทะยานไปยังรอยแยกบนท้องฟ้า ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงไหลอันพุ่งวาบไปด้วยภาพต่างๆ นานา ขณะที่เขากำลังจะเหาะออกไปนั่นเอง เขาก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยฝ่ามืออ้วนท้วน
ในเวลาเดียวกันนั้น หางปลายแสงของเทพสรรพชีวิตก็ถูกคว้าจับ และทั้งคู่ก็ร่วงหล่นลงไปด้วยสีหน้าอันแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว
“สหายน้อยฉิน รีบออกไปเร็วเข้า!”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตรีดเร้นพลังทั้งหมดและเขวี้ยงฉินมู่ออกไป ฉินมู่รู้สึกโลกหมุนติ้วๆ ไปหมด และเมื่อการหมุนปั่นของเขาหยุดลง เขาก็ลืมตาขึ้นมา และพบว่าตนเองยืนอยู่ข้างๆ แม่น้ำ เขานั้นกำลังคว้าคอของโอรสเทพแสงฉานอยู่
“ข้าออกมาแล้ว?”
ฉินมู่ทั้งประหลาดใจและยินดี เขารีบแปะใบหลิวทองคำกลับลงที่ว่างคิ้วเพื่อปิดผนึกดวงตาที่สามของตน
“น้องชาย! น้องชายตัวร้าย!”
ในหว่างคิ้วของเขา ทารกยักษ์กำลังกระทืบเท้าไปทั่วด้วยความโมโห เขาเอาแต่กระโดดขึ้นๆ ลงๆ พยายามที่จะหลบหนีจากผนึก แต่ทว่าใบหลิวทองคำได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเวทปิดผนึกของภูติบดีและการสะกดข่มของพุทธเจ้าเฒ่า ไม่ว่ากำลังฝีมือของเขาจะสูงล้ำแค่ไหน เขาก็ฝ่าออกไปไม่ได้เลยสักนิด
“น้องชายตัวร้าย ข้าจะกินเจ้า!”
ผ่านไปพักหนึ่ง ทารกยักษ์ก็นั่งจ้ำเบ้าลงไป คว้าจับจักรพรรดิแดงฉานที่เต็มไปด้วยบาดแผล เขาฉีกแขนข้างหนึ่งออกมาและโยนลงไปบนพื้น พลางบ่นพึมราวหมีกินผึ้ง “หากว่าข้าจับน้องชายตัวร้ายได้ ข้าจะกินเขา!” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็ฉีกแขนอีกข้าง
ร่างของจักรพรรดิแดงฉานถูกฉีกออกเป็นหลายชิ้น ข้างหลังภูเขาใกล้ๆ เทพสรรพชีวิตโผล่หัวออกมา เขากระซิบไปด้วยหัวใจอันเต้นไม่เป็นจังหวะ “จักรพรรดิแดงฉาน อดทนไว้ก่อนและอย่าขยับ เมื่อเขาเบื่อจะฉีกเจ้าเล่นแล้ว เขาก็จะไม่เล่นกับเจ้าอีก เจ้าต้องอดทนไว้…”
จักรพรรดิแดงฉานนั้นเป็นสำนึกรู้ที่ปราศจากร่างเนื้อ ไม่ว่าแขนหรือขาของเขาที่ถูกฉีกออกไป มันก็จะงอกกลับมาได้ใหม่ แต่ทว่า ประสบการณ์แบบนี้ไม่รื่นรมย์เลยสักนิด
ในสำนึกรู้ของเขา เขายังคงเป็นจักรพรรดิฟ้าแห่งยุคสมัยแสงฉาน จักรพรรดิฟ้าจะต้องผ่านประการณ์อันอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร
ทำไมข้าถึงสังหรณ์ว่า ข้าคงจะถูกเขาเล่นไปอีกนานกว่าเขาจะหมดโทสะ…
…
ข้างๆ แม่น้ำ โอรสเทพแสงฉานนั้นยังคงถูกฉินมู่คว้าคอเอาไว้อยู่ ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา ฉินมู่พลันได้สติและรีบปล่อยเขาไป โอรสเทพแสงฉานตกตะลึง แต่อาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัสจนเกินไป ขาของเขาอ่อนเปลี้ย และเขาก็ล้มคว่ำกับพื้นพลางไออย่างรุนแรง
ทารกยักษ์ฉินเฟิงชิงแทบจะบดขยี้เขาจนแหลกเหลว แต่โชคยังดีว่า วิชาเสกสรรกายเนื้อของเขานั้นยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ตรงหน้าเขา ฉินมู่มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ดวงตะวันและดวงจันทร์บนท้องฟ้าดูเหมือนกับแป้งทอดที่เจาะให้เป็นรู บ้านเรือนในเมืองเทพยดาแห่งนี้ก็พังพินาศไปเกือบหมด ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พังถล่มไปครึ่งหนึ่ง และโถงศักดิ์สิทธิ์ก็หายวับไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเขารั้งสายตากลับมา เขาก็เห็นซากศพของเทพเจ้าก่ายกองเต็มพื้น และยังมีปราณมารใต้พิภพลอยอ้อยอิ่งในบริเวณรอบๆ โดยยังไม่สลายไป
ในอากาศ เทพเจ้าสามเศียรหกกรนับพัน มองมาที่เขาด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง แม้แต่โอรสเทพแสงฉานก็ยังคุกเข่าแทบเท้าเขา แล้วพวกเขาจะไม่สิ้นหวังได้อย่างไร
“หากว่าเจ้าต้องการจะสังหารหรือเฉือนเนื้อข้า…”
โอรสเทพแสงฉานมีลมหายใจรวยริน และเขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะชันกายขึ้นมา เขาเงยศีรษะและวิงวอนด้วยเสียงหัวเราะอันขมขื่น “ก็ทำตามที่เจ้าปรารถนา แต่โปรดเหลือผู้คนแห่งยุคสมัยแสงฉานของข้าเอาไว้บ้าง!”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ และลองถามหยั่ง “องค์ชายโอรสเทพ หากข้าบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นความเข้าใจผิดกัน เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ เพราะว่า…ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้”
โอรสเทพแสงฉานอ้าปากค้าง