ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 664 อาคันตุกะจากแดนบาดาล
หลิงอวี้จิวมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมสูงร้อยห้าสิบวาข้างหลังฉินมู่ และหัวใจของนางก็สั่นสะท้านเล็กน้อย “ขั้นชาวสวรรค์?”
นางนั้นเป็นผู้ก่อตั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมหกทิศ และมีความสำเร็จอันสูงส่งในด้านจิตวิญญาณดั้งเดิม ผู้คนอาจจะกล่าวได้ว่าในทั้งสันตินิรันดร์ หรือแม้กระทั่งจักรวาลนี้ ผู้ที่มีจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สามาถทัดเทียมกับนางได้ก็มีแต่ฉินมู่
ความสำเร็จด้านจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ สูงส่งกว่านางเล็กน้อย แต่ไม่ได้สูงส่งกว่ามาก ก็เพราะว่าฉินมู่มักจะใช่เวลาฝึกปรือของเขาในการทำเรื่องอื่นๆ เขามักจะชอบกระโดดไปทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ และเปลี่ยนวิชาฝึกปรือที่เขาเรียนรู้อยู่บ่อยๆ โดยรวมแล้วเขาเป็นคนที่มีนิสัยอยู่ไม่สุข
ในอีกด้านหนึ่ง นางนั้นบริสุทธิ์และมั่นคงกว่ามาก และนางทุ่มเทหัวใจทั้งหมดลงในการขัดเกลาวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางจึงไม่ล้าหลังไปกว่าฉินมู่
แม้กระนั้น นางก็ยังไม่อาจก่อรูปจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาเป็นตัวตนในขั้นเจ็ดดาวเหมือนกับแบบที่คนอื่นทำได้ในขั้นชาวสวรรค์
นั่นก็เพราะว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นชาวสวรรค์นั้นห่างชั้นกันคนละโลกกับจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นเจ็ดดาว จิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นชาวสวรรค์สามารถก่อเป็นสสารนอกร่างกายได้ และครอบครองพลานุภาพอันไร้ปานเปรียบ ต่อให้หลิงอวี้จิวเป็นหนึ่งในบรรพจารย์ก่อตั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นหกทิศ นางก็ไม่อาจสำเร็จไปถึงขั้นนั้นได้เช่นกัน
ดังนั้น นางจึงบอกได้ทันทีว่า จิตวิญญาณดั้งเดิมข้างหลังฉินมู่ คือจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นชาวสวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าฉินมู่ฉวยโอกาสนี้เพื่อทลายฝ่าขั้นวรยุทธ ไปพร้อมๆ กับขัดเกลาตนเองในห้ามหาเมฆอสุนีบาต ยกระดับตนเองไปถึงขั้นชาวสวรรค์!
การก้าวขึ้นสู่ขั้นชาวสวรรค์ที่อายุยี่สิบปี นับได้ว่าเป็นการรุดหน้าไปดุจเหินบินอย่างแท้จริง เขาได้ก้าวล้ำไปเหนือผู้มาก่อนจำนวนนับไม่ถ้วน
หลิงอวี้จิวก้าวไปข้างหน้าด้วยความเพียร ก้าวเข้าไปใกล้อีกไม่กี่ก้าว ในที่สุดนางก็สามารถมองเห็นสัตว์ยักษ์ข้างหลังฉินมู่ และนั่นก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากกิเลนมังกร
หลังจากไม่ได้เห็นหน้าเขามามากกว่าสิบวัน กิเลนมังกรก็ผอมลงไปมาก ถ้าจะพูดให้แม่นยำแล้ว เขานั้นผอมลงไปในหลายแห่งและดูองอาจน่าเกรงขาม เหมือนกับรูปลักษณ์ของเขาตอนที่เฝ้าพิทักษ์ประตูภูเขาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิในครั้งกระโน้น เพียงแต่ว่าพุงของเขายังใหญ่อยู่ นี่ต้องเป็นเพราะว่าสายฟ้าฟาดไปไม่ถึงพุงของเขา
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็นอนแผ่ หงายท้องให้ขาทั้งสี่ชี้ฟ้า เขาอ้าปากหวอและปล่อยให้สายฟ้าฟาดลงมายังพุง
แบบนี้ก็ทำได้ด้วยหรือ หรือเขากำลังขัดเกลาไขมันบนพุงออกไป
หลิงอวี้จิวไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ นางพยายามอย่างหนักที่จะก้าวไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและสุรเสียงมังกรบรรพกาลที่ฟาดกรอกหู นางไม่ได้ยินว่าฉินมู่กำลังพูดอะไรกับนาง
ฉินมู่เคลื่อนเข้าไปใกล้หูนางและตะโกน “ระวัง!”
“ระวังอะไร” หลิงอวี้จิวตะโกนกลับไป
สายฟ้าสวรรค์จากหม้อห้าอัสนีพลันกลายเป็นเข้นข้น และเปลวฟ้าที่ฟาดลงมาก็ยิ่งดุร้าย หลิงอวี้จิวถูกฟาดจนดำเกรียมนอกและนุ่มใน แต่ทว่าด้วยลูกแก้วมังกรและลูกแก้วกิเลนที่หมุนวนโคจรรอบๆ พวกเขา บาดแผลบนร่างกายก็สมานเยียวยาอย่างรวดเร็ว
หลิงอวี้จิวอดทนความเจ็บปวด นางนั้นประทับใจอย่างเหลือล้นพลางคิดในใจ ลูกแก้วมังกรของมังกรอ้วนยังมีฤทธิ์แบบนี้ด้วยหรือ น้ำลายมังกรของมังกรอ้วนสามารถรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นลูกแก้วมังกรของเขาก็คงมีผลคล้ายๆ กัน มิน่าล่ะ พวกเขาถึงทนอยู่ใจกลางสายฟ้าฟาดได้นานขนาดนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ยังไม่กล้าที่จะปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาอาบห่าอสุนีบาต
ฉินมู่ทลายขั้นวรยุทธสำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะปล่อยให้จิตวิญญาณดั้งเดิมออกมารับสายฟ้าฟาด แต่อีกด้านหนึ่ง หลิงอวี้จิวยังทำเช่นนั้นไม่ได้ในขณะนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่นอกฝาครอบ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เห็นว่าฝามังกรเทวาสวรรค์เก้าจู่ๆ ก็โป่งพองขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ และเขากังวลว่าฝาครอบนี้จะระเบิดออก เขาบ่มพึมในใจ ไม่ใช่ว่าจ้าวลัทธิจะมั่นใจในสมบัติวิเศษของข้ามากไปหน่อยหรือ หม้อห้าอัสนีนี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษธรรมดา และหากว่าพลานุภาพของมันระเบิดออกมา แม้แต่สวรรค์ไท่หวงก็คงเกลื่อนไปด้วยสายฟ้าที่ฟาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า!
โชคยังดีที่ฝามังกรเมฆาต้านทานพลานุภาพเอาไว้ แต่เมื่อดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว มันคงทนทานไปได้อีกไม่นานนัก พลานุภาพของหม้อห้าอัสนีไม่นานก็จะเกินขีดจำกัดของฝามังกรเมฆา
ทันใดนั้น เทพเจ้าตนหนึ่งก็เข้ามาหาเขาและกล่าวด้วยเสียงเบา “เทพเที่ยงแท้ ยอดฝีมือจากเผ่ามารจำนวนหนึ่งได้มาถึง พวกเขากล่าวว่าเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่ต้องการท้าสู้กับสวรรค์ไท่หวง”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่เมื่อครูบาสวรรค์ได้กระทำสัตยาบันภูติบดีกับฟู่ยื่อลัว ทั้งสองฝ่ายก็สงบศึกกันมาสองปี เผ่ามารมักจะก้าวออกมาท้าสู้พวกเรา และก็จะมีผู้คนจากฝั่งเราที่ไปท้าสู้พวกเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นไม่มีอะไรต้องน่าประหลาดใจ ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องเข้าไปขัดขวาง ปล่อยให้ชนรุ่นเยาว์ต่อสู้กันไป ข้ายังต้องพิทักษ์คุ้มกันจ้าวลัทธิฉินอยู่ที่นี่ และป้องกันไม่ให้เขาสร้างความเสียหายแก่สมบัติของข้า”
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ไม่มีศึกสงคราม ก็ในเมื่อฟู่ยื่อลัวไม่ไปฝ่าฝืนสัตยาบันภูติบดี เขาข่มระงับตนเองเอาไว้และไม่สร้างชนวนศึกใดๆ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความกริ่งเกรง และแม้ว่าจะไม่มีการต่อสู้อย่างเปิดเผย แต่ก็ยังมีการต่อสู้ภายใต้ท่าทีอันธรรมดา การต่อสู้เหล่านั้นเกิดขึ้นระหว่างระดับศิษย์ของมนุษย์และมาร และพวกเขาก็ต่อสู้กันเพื่อสังหารกองกำลังรุ่นเยาว์ของแต่ละฝ่ายผ่านการประลองอันเป็นธรรม
ไม่ช้าไม่นาน มารและมนุษย์ก็มีการปะทะสังสรรค์กันมากขึ้น และยอดฝีมือเยาว์เผ่ามารจำนวนไม่น้อยก็พบเห็นได้ว่าเดินทางอยู่ในเขตแดนของมนุษย์
เทพเจ้านั้นลังเลและกล่าว “ผู้คนที่มาในคราวนี้ไม่ธรรมดา ยอดฝีมือเยาว์มากมายได้พ่ายแพ้ไป และก็มีหลายคนที่ถูกสังหาร…”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้รีบกล่าว “หรือพวกที่มาท้าสู้พวกเรานั้นคือเจ๋อหัวหลีอันเป็นศิษย์ของลั่วอู๋ชวงและฟู่ยื่อลัว ดาบมาร? วรยุทธของดาบมารเจ๋อหัวหลีนั้นสูงล้ำจริงๆ นั่นแหละ!”
“ไม่เพียงแค่เจ๋อหัวหลี”
“หรือว่าฉีเจี่ยวอี๋ก็อยู่ที่นั่นด้วย” เทพเที่ยงแท้ผางอวี้แตกตื่น
เทพนั้นกล่าวตอบไป “นอกจากเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ ยังคงมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่ง ฉีเจี่ยวอี๋เรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิง แต่พวกเขาดูเหมือนกับเผ่ามาร…”
“เผ่ามาร?”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ฉีเจี่ยวอี๋อยู่ในเผ่าหงส์เพลิงเก้าหัว และไม่ใช่เผ่ามาร ศิษย์ของจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณไม่มีทางมาจากเผ่ามารได้ ให้ข้าไปดูสักหน่อย!”
เขารีบเหาะไปยังป้อมปราการเมืองและมองออกไปข้างนอก เขาได้เห็นศิษย์มากมายแห่งเผ่ามารจริงๆ เจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ก็อยู่ท่ามกลางคนพวกนั้น และก็ยังมีผู้คนที่ไม่คุ้นหน้าค่าตาอีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากรุ่นเยาว์แล้ว เขายังเห็นฟู่ยื่อลัว ลู่หลี และมารเทวะตนอื่นๆ ใบหน้าของมารเทวะเหล่านี้ก็ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วยเช่นกัน เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ไม่เคยพบเจอพวกเขามาก่อน ลู่หลีและคนอื่นๆ กำลังสนทนาและหัวเราะกันไปมา
ผางอวี้ฉงนฉงาย
ในตอนนั้นเอง อวี่เหอกำลังต่อสู้กับยอดฝีมือเยาว์คนหนึ่งแห่งเผ่ามาร ขณะที่ยอดฝีมือเยาว์มากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงกำลังเฝ้ามองพวกเขาด้วยความกระวนกระวาย ตั้งแต่เมื่อฉินมู่ได้ก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ อวี่เหอก็ได้เรียนทักษะเทวะแห่งสันตินิรันดร์อันทำให้กำลังฝีมือของนางรุดหน้าไปดุจเหินบิน
ผางอวี้ถึงกับรู้สึกว่า อวี่เหอสามารถบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้ได้อีกคนในอนาคต!
แต่ทว่า อวี่เหอนั้นร่อมร่อเฉียดความตาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเยาว์แห่งเผ่ามารผู้นั้น!
นี่ไม่ใช่มรรคาวิชา และทักษะเทวะแห่งเผ่ามาร!
สายตาตัดสินของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้มากประสบการณ์ และเขาก็พลันตระหนักทันทีว่าบุคคลที่กำลังต่อสู้กับอวี่เหอมิได้มาจากสวรรค์หลัวฝู เขารู้จักมารเทวะทุกตนจากสวรรค์หลัวฝู และตราบเท่าที่ศิษย์เผ่ามารขับเคลื่อนทักษะเทวะของมารเทวะเหล่านั้น เขาก็จะสามารถบอกได้ว่าเป็นศิษย์ของใคร แต่ในกรณีนี้ ทักษะเทวะที่มารตนนั้นกำลังขับเคลื่อนออกมา เป็นทักษะเทวะจากสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์!
“มารพวกนี้มาท้าสู้นานแค่ไหนแล้ว”
ผางอวี้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและเขาถามเทพเจ้าข้างหลัง “ทำไมเจ้าไม่มารายงานข้าให้เร็วกว่านี้”
“พวกเขาอยู่ที่นี่มานานหกเจ็ดวันแล้ว ในตอนนั้นข้าคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็เลย…”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้สูดลมหายใจลึก และตะคอก “ฟู่ยื่อลัวและลู่หลีอยู่ที่นี่ทั้งคู่ เจ้าก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกหรือ มารพวกนี้ที่มาท้าสู้พวกเรา ไม่ใช่เผ่ามารจากสวรรค์หลัวฝู พวกเขามาจากสภาสวรรค์!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็กระโดดลงจากป้อมปราการเมือง
“สภาสวรรค์?”
เทพเจ้านั้นมีสีหน้าว่างเปล่าและพึมพำ “ทำไมสภาสวรรค์ถึงมีเผ่ามาร”
“จักรพรรดิดำแห่งสวรรค์อุดรควบคุมแดนบาดาล ดังนั้นก็ย่อมมีศิษย์เผ่ามารอยู่ที่นั่น! ศักดิ์ฐานะอื่นของฉีเจี่ยวอี๋มิใช่ใดอื่น นอกเสียจากศิษย์แห่งจักรพรรดิดำแห่งสวรรค์อุดร!”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ลงมายังลานต่อสู้และกล่าวด้วยเสียงอันดัง “อวี่เหอ พวกเขาเพียงแต่ใช้เจ้าเพื่อดูความก้าวหน้าในทักษะเทวะ ยอมแพ้เสียและกลับมา!”
อวี่เหอรีบสะกิดเท้าถอยกลับ สลัดหลุดจากศิษย์เผ่ามารผู้นั้น มารในชุดดำมีกำลังฝีมือเหนือกว่านางและมีความสามารถที่จะสังหารนางได้อยู่ชัดๆ แต่เขาไม่ทำ เขานั้นกำลังใช้โอกาสนี้เพื่อสังเกตการณ์ความสำเร็จในการปฏิรูปของสันตินิรันดร์ และนี่ทำให้นางสามารถหนีออกมาได้
ฟู่ยื่อลัวแย้มยิ้ม “สหายเต๋าผางอวี้ ใจกลางเมืองของเจ้าค่อนข้างครึกครื้นจังนะ เอ๋? เสียงของสายฟ้าฟาดและเสียงคำรามมังกรดังมาอย่างไม่รู้จบ พวกเจ้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ กันถึงให้เผ่ามารชมดูไม่ได้”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้แค่นเสียงเฮอะ และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ฟู่ยื่อลัว เจ้านั้นนับวันก็ยิ่งเก่งกล้าสามารถ ถึงกับเชื้อเชิญศิษย์ของจักรพรรดิดำแห่งสวรรค์อุดรมาได้! อย่าลืมเสียล่ะว่า เจ้าได้กระทำสัตยาบันภูติบดีเอาไว้กับครูบาสวรรค์แล้ว ดังนั้นหากว่าเจ้าละเมิดสัญญา ภูติบดีก็จะมาคร่าดวงวิญญาณเจ้าไป!”
ฟู่ยื่อลัวอ้าปากหาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้กระทำสัตยาบันภูติบดีกับครูบาสวรรค์เอาไว้จริงๆ นั่นแหละ ดังนั้นข้าจะคอยควบคุมกำกับเผ่ามารภายใต้บัญชาของข้า แต่ทว่าข้าก็เคยบอกครูบาสวรรค์ไปแล้วว่า ผู้ที่ต้องการทำลายล้างสวรรค์ไท่หวงนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นผู้อื่น”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้หัวใจเย็นเยียบ สายตาของเขากวาดไปยังมารเทวะตนอื่นๆ ฝั่งตรงข้าม เขาค้อมตัวคารวะและถาม “พวกเจ้าทั้งหมดเป็นศิษย์ของจักรพรรดิดำแห่งแดนบาดาลหรือ”
มารเทวะเหล่านั้นคารวะกลับมา และผู้ที่เป็นผู้นำคณะตอบกลับไปอย่างสุภาพ “ข้าชื่อว่าโหลอวิ๋นชวี และสองคนนี้คือศิษย์น้องของข้า ขุยชิงเผย และฟู่เอี๋ยนชี น่านับถือยิ่งนักที่ศิษย์พี่ผางอวี้สามารถป้องกันการโจมตีของมหาราชาฟู่ยื่อลัวได้มาเป็นเวลาสองหมื่นปี”
หางตาของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้กระตุก เขาถามด้วยเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าเข้ามาในสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร ฟู่ยื่อลัว นี่เจ้าสังหารสหายร่วมเผ่าตนด้วยความเลือดเย็น และใช้การสังเวยโลหิตเพื่ออัญเชิญพวกเขามาอีกแล้วหรือ”
ฟู่ยื่อลัวส่ายหัวและกล่าวอย่างชืดชา “เรื่องนี้ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”
โหลอวิ๋นชวีกล่าวอย่างอบอุ่น “ศิษย์พี่ผางอวี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวมหาราชา มหาราชานั้นกังวลว่าตำแหน่งของเขาจะถูกชิงไป งั้นเขาจะมาติดต่อกับพวกเราเองได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว พวกเรายืมโดยสารเรือของจักรพรรดิแดง และในเมื่อพุทธเจ้าท้าวสักกะได้ก่อกบฏในพุทธเกษตร จักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษะก็เลยต้องลงมายังแดนต่ำใต้เพื่อจับกุมตัวเขา ในเมื่อพวกเขาผ่านมาทางสวรรค์ไท่หวง นางก็ให้พวกเราลงเรือมาที่นี่”
ฟู่ยื่อลัวยิ้มอย่างไม่เต็มปาก หัวใจของเขาไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก
ลู่หลีเองก็ดูเหมือนว่าจะกริ่งเกรงโหลอวิ๋นชวีและคณะเป็นอย่างยิ่ง นางดูไม่สบอารมณ์ แต่นางก็อาละวาดออกไปไม่ได้ ฟู่ยื่อลัวกังวลว่าตำแหน่งของเขาจะถูกชิงไป และลงเอยด้วยการยกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาก่อสร้างขึ้นมาให้แก่สภาสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นลู่หลีก็ยังมองว่าฉินมู่คือของที่นางจะรับเอาไป และบัดนี้ จักรพรรดิดำก็เข้ามาขัดขวาง นี่ย่อมทำให้นางไม่ค่อยชอบใจ
โหลอวิ๋นชวีแนะนำยอดฝีมือเยาว์แห่งเผ่ามารต่างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือศิษย์ที่อาจารย์ของข้ารับเข้ามา โหลเชียนจ้ง เขานั้นเป็นศิษย์พี่ของศิษย์น้องฉีเจี่ยวอี๋ และเขาได้เข้าไปแสวงหาความรู้ด้วยกันที่วังสวรรค์ของอาจารย์ข้า อาจารย์นั้นใส่ใจกับแดนโบราณวินาศเป็นอย่างยิ่ง และเขาไม่ได้สนใจสวรรค์ไท่หวงเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไร การที่แดนโบราณวินาศเป็นแดนโบราณวินาศก็เพราะเวทปิดผนึกของอาจารย์ สาเหตุที่พวกเรามาก็เพื่อสนับสนุนมหาราชาฟู่ยื่อลัวในการเข้ายึดครองสวรรค์ไท่หวง และบูชายัญมันเสีย จากนั้นพวกเราก็จะเข้าไปในสันตินิรันดร์ ปลุกเทวรูปทั้งหลายขึ้นมาเพื่อทำลายล้างสันตินิรันดร์”
เขามีสีหน้าแช่มชื่นราวกับว่าเป็นสหายเก่าแก่กับผางอวี้ และราวกับว่าที่เขาพูดเรื่องการทำลายล้างสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์มิใช่เรื่องโหดร้ายนองเลือดแต่อย่างใด ในทางตรงข้ามเหมือนกับว่าเขากำลังคุยสัพเพเหระเรื่องลมฟ้าอากาศกับเทพผางอวี้ จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “มีอีกเรื่องหนึ่ง อาจารย์กล่าวว่าเขาต้องการที่จะพบกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ นี่ก็น่าจะยากจะจัดการเสียหน่อย ก็ในเมื่อเป็นที่คาดหมายว่าศิษย์น้องฉีจะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายว่าเขาไม่สามารถปิดผนึกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้ ในทางกลับกัน เขาสูญเสียกระจกอันควรจะเอาไว้ใช้คร่าตัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมา”
สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋แดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไรสักคำ
โหลอวิ๋นชวีดูเหมือนจะปวดศีรษะ ในเมื่อเขาบีบขมับตนเองไปมา เขาถอนหายใจและกล่าว “อาจารย์กล่าวว่าแดนบาดาลต้องการผู้คนเช่นโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ดังนั้นพวกเราทั้งสี่คนจึงต้องลงมายังแดนต่ำใต้ในครั้งนี้ พวกเราไม่คาดคิดเลยว่า ผู้บัญชาการแคว้นลู่หลีก็อยู่ที่นี่ด้วย ทั้งยังมีจิตเจตนากับโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ”
ลู่หลีเค้นรอยยิ้มออกมา “ศิษย์พี่โหลล้อข้าเล่นแล้ว ข้าจะมีจิตเจตนาได้อย่างไร ทำไมข้าถึงจะกล้าต่อสู้แย่งชิงกับจักรพรรดิโลกบาดาลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสวรรค์อุดรได้ล่ะ”
“นั่นก็จริงเช่นกัน”
โหลอวิ๋นชวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ยังคงมีวาระซ่อนเร้นส่วนตัวที่ให้พวกเราลงมาที่นี่ และนั่นก็คือมาดูว่าแดนต่ำใต้ได้วิวัฒนาการไปอย่างไร เขาต้องการให้พวกเรามาจดบันทึกและนำกลับไปให้เขาดู ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่า แม้ว่าการปฏิรูปจะยังคงไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน ข้าได้ยินเกี่ยวกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูแห่งสันตินิรันดร์ พวกเขาเป็นผู้นำการปฏิรูป ดังนั้นข้าจึงนึกถึงวิธีการอันเรียบง่าย ข้าเพียงแต่ต้องไปคร่าตัวคนทั้งสองมาและนำไปส่งให้แก่อาจารย์ข้า และนั่นก็คงจะทำให้เรื่องราวไม่ยุ่งยาก ศิษย์พี่ผางอวี้ เจ้าเชิญคนทั้งสองมาได้หรือไม่ เจ้าสามารถมัดตัวพวกเขามาและส่งให้แก่พวกเราได้ไหม”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้หัวเราะด้วยเสียงอันดัง แต่ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เสียงหัวเราะของเขาทั้งแห้งผาก ทั้งจอมปลอม และทั้งแข็งทื่อ เขากล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการไปคร่าตัวจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครู? ทำไมเจ้าไม่ไปทำเอง”
ใบหน้าของโหลอวิ๋นชวีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แบบนั้นข้าก็ไม่เกี่ยงเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้น ให้พวกเราทำลายล้างสวรรค์ไท่หวงเสียก่อน ไม่ทราบว่าเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงจะฆ่าตัวตายไปเอง หรือจะให้ข้าผูกเชือกแขวนคอให้พวกเจ้า”