ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 667 บันทึกเป็นตายแห่งแดนบาดาล
ในท้องฟ้า ความมืดคลี่คลุมรัศมีหลายสิบลี้ และสามารถมองเห็นเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่รางๆ ข้างใน ทันใดนั้น รอยแสงกระบี่สามรอยก็พลันแทงทะลุความมืด และยิงออกไปในทิศทางแตกต่างกัน!
รอยแสงกระบี่สามรอยนั้นจุดแสงสว่างให้กับความมืด และทำให้ทุกคนมองเห็นทัศนียภาพในความมืดได้
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน หวางมู่หรัน และคณะเพิ่งจะมาถึง ขณะที่ฉีเจี่ยวอี๋เข้าไปถึงความมืดก่อนหน้าพวกเขาก้าวหนึ่ง ส่วนเจ๋อหัวหลีนั้น กำลังรีบรุดตามมา
ทุกคนเงยศีรษะขึ้นมอง ข้างใต้แสงสว่างของรังสีกระบี่ ความมืดก็เหมือนผ้าบางๆ ขมุกขมัว มันดูราวกับมีละอองละเอียดสีดำลอยไปมาอยู่ในอากาศ
ในความมืดที่ถูกส่องสว่างนั้น โหลเชียนจ้งเผชิญกับแสงกระบี่และพุ่งตรงไปยังฉินมู่ เพื่อที่จะถูกเสียบเข้าที่หน้าอก!
เมื่อซวีเซิงฮวาและโหลเชียนจ้งต่อสู้ ทั้งสองคนได้ใช้มหาทักษะเทวะอันคล้ายคลึงกัน แม้ว่ามิติว่างนั้นจะอัศจรรย์จนต้องกลั้นหายใจ แต่โหลเชียนจ้งก็สามารถพุ่งทะลุผ่านมหาทักษะเทวะของเขาได้ ทักษะเทวะใดๆ จากซวีเซิงฮวา ไม่อาจแตะต้องตัวเขา และกลายเป็นซวีเซิงฮวาที่ได้รับบาดเจ็บ
โหลเชียนจ้งดูเหมือนว่าจะพุ่งผ่านทุกทักษะวิชาโดยไม่บาดเจ็บ
กระนั้นแสงกระบี่ก็แทงทะลุโหลเชียนจ้ง และทำให้โลหิตพวยพุ่งออกมาจากข้างหลังหัวใจของเขา
โหลเชียนจ้งตะลึงอย่างระงับไม่อยู่ แสงกระบี่อีกเส้นทะลวงมายังศีรษะของเขา
ในตอนนั้น ทุกคนมองไปยังข้างหลังฉินมู่ กระบี่ที่สามของฉินมู่ป้องกันสามง่ามศึก แต่ในเมื่อสามง่ามมีสามยอดง่าม มันก็ทำได้แต่ทำลายยอดง่ามตรงกลาง ง่ามที่เหลืออีกสองแทงเข้าไปในร่างกายของฉินมู่ สามง่ามถูกชักออกด้วยกำลังแรง ลากฉินมู่เข้าไปในประตูแดนบาดาล!
“แย่แล้ว!” ทุกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
เมื่อฉินมู่ถูกลากเข้าไปในประตูแห่งความมืด มารเทวะอันดูแข็งแกร่งอย่างไร้ปานเปรียบก็เผยรอยยิ้มเลวทรามน่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้น แสงกระบี่ก็ปรากฏจากท้องฟ้า และขณะที่แสงกระบี่ที่สองได้สะบั้นศีรษะของโหลเชียนจ้ง แสงกระบี่นั้นก็ได้ตัดสะบั้นศีรษะของมารเทวะด้วยเช่นกัน น่าประหลาดใจว่า ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเดียวกัน
หลินเสวียน ฉีเจี่ยวอี๋ และคนอื่นๆ ไม่ได้คาดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มารเทวะข้างหลังประตูดูแข็งแกร่งอย่างไร้ปานเปรียบ แต่มันถูกฉินมู่สะบั้นศีรษะออกไป!
ที่น่าพิศวงงงงันยิ่งกว่านั้น ก็คือการที่ฉินมู่ได้ขับเคลื่อนเพียงสามกระบวนท่าริเริ่มภัยพิบัติ แล้วแสงกระบี่ที่สี่อันเฉือนตัดศีรษะของมารเทวะตนนั้นมาจากที่ไหน
ในเวลาเดียวกัน หน้าอกของมารเทวะก็ระเบิดออก เผยให้เห็นรูนองเลือด แสงกระบี่อีกแสงแทงทะลุหลังของมารเทวะ ส่งโลหิตพุ่งกระฉูดออกไปข้างหน้า
ประตูค่อยๆ ปิดลงไป และไม่มีใครมองเห็นสถานการณ์ข้างในประตูได้ มันทำให้พวกเขาร้อนใจแทบคลั่ง ทิ้งปัญหาคาใจเอาไว้มากมาย
ไม่ทันที่พวกเขาจะได้รับคำตอบเรื่องกระบี่ที่สี่ แสงกระบี่สายที่ห้าก็พลันปรากฏ แบบนี้มันมีเหตุมีผลอย่างไรกัน
ทันใดนั้น ประตูอันดำสนิทก็ปรากฏตั้งตระหง่านในความมืด มันเป็นประตูน้อมสวรรค์ของฉินมู่
ประตูเปิดอ้า และฉินมู่ก็เดินออกมา ออกจากแดนบาดาลด้วยศีรษะหนึ่งในมือ
ข้างหลังเขา ความมืดค่อยๆ กระจัดกระจายไป และเผยให้เห็นร่างของโหลเชียนจ้ง ศีรษะบนร่างนั้นได้สาบสูญ!
ไม่มีใครเห็นว่าหัวของโหลเชียนจ้งร่วงลงจากบ่าไปเมื่อไหร่ กระบี่สามกระบี่ของฉินมู่คือเพลงกระบี่ริเริ่มภัยพิบัติ กระบี่แรกทำให้โหลเชียนจ้งบาดเจ็บสาหัส กระบี่ที่สองตัดศีรษะของเขา และกระบี่ที่สามเพื่อป้องกันการโจมตีจากแดนบาดาล เมื่อเขาปลดปล่อยสามกระบวนท่าในพริบตาเดียวกัน ก็ไม่มีใครทันมองเห็นศีรษะของโหลเชียนจ้งที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า
แต่กระนั้น ศีรษะของโหลเชียนจ้งก็ได้หายไป
“มารเทวะในประตูน้อมสวรรค์คือร่างที่แท้จริงของเจ้า มันไม่ใช่มารเทวะจริงๆ และเพียงแต่ดูยิ่งใหญ่ทรงพลังเท่านั้น”
ฉินมู่นำเอาขวดน้ำลายมังกรออกมา เทลงไปในบาดแผลของเขา เขากล่าวกับศีรษะในมือของเขาอย่างชืดชา “เจ้าซ่อนอยู่ในแดนบาดาลเพื่อโจมตีข้ามาจากที่นั่น สำหรับผู้คนในสวรรค์ไท่หวงแล้ว เจ้าเหมือนกับเงาที่ไม่อาจแตะต้องสัมผัส นั่นจึงทำให้เจ้าเอาชนะซวีเซิงฮวาได้ เพราะว่าเขาไม่เข้าใจแดนโบราณวินาศอย่างละเอียด และเขาไม่รู้เกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งแดนใต้พิภพมากนัก กำลังฝีมือของเจ้าด้อยกว่าฉีเจี่ยวอี๋ และเจ้าเพียงแต่พึ่งแง่อัศจรรย์ของทักษะเทวะแดนบาดาล แต่ทว่า ผู้คนอย่างข้าที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพและเติบโตขึ้นมาในแดนโบราณวินาศ ก็รู้วิธีส่งเจ้าไปตายอีกหลายวิธี”
ศีรษะในมือของเขานั้นเป็นศีรษะของมารเทวะ แต่ในตอนนั้นเอง มันก็ค่อยๆ แปลงเปลี่ยนไป หนามกระดูกอันโผล่ออกมาอย่างน่ากลัวเหล่านั้นหดกลับเข้าไป และแม้แต่ผมเผ้าอันยุ่งเหยิงก็กลับมาเป็นปกติ
รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนกลับมาเป็นโหลเชียนจ้ง และดวงตาของเขาก็ยังคงเบิกกว้าง พวกมันยังคงจ้องไปที่ฉินมู่ราวกับว่าได้ยินสิ่งที่เขากำลังพูด
ฉินมู่โยนศีรษะของโหลเชียนจ้งลงไป และร่างไร้หัวก็ร่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยเช่นกัน
“แต่ทว่า ข้ากำลังรีบ ดังนั้นข้าจึงใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น “อาจจะดูเหมือนราวกับข้ากำลังโจมตีเจ้า แต่การโจมตีของข้าได้เข้าไปในแดนบาดาลเพื่อโจมตีร่างที่แท้จริงของเจ้าไปแล้ว ข้าตัดสะบั้นเส้นเลือดใหญ่ในหัวใจของเจ้าด้วยกระบี่แรก ทำลายปราณและโลหิต กระบี่ที่สองของข้าสะบั้นศีรษะของเจ้า แต่ทว่ากำลังฝีมือของเจ้านั้นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับทำให้ข้าบาดเจ็บได้”
ฉีเจี่ยวอี๋ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเขาเห็นฉินมู่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็อยากที่จะลงมือ เขานั้นตะลึงไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ฉินมู่กล่าว และเผยยิ้มออกมา เขายังคงมองข้าสูงส่ง และรู้ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่โหลเชียนจ้ง!
เขาไม่ฉวยโอกาสโจมตีฉินมู่ ด้วยกำลังฝีมือของเขาในขณะนี้ เขาสามารถรั้งตัวฉินมู่เอาไว้ต่อได้ แต่เขาไม่ลงมือ
โหลเชียนจ้งเป็นศิษย์พี่ของเขา แต่เดิมทีเขาได้ฝึกปรืออยู่กับจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณฉีเสียอวี๋ และถึงได้มาเป็นศิษย์ของจักรพรรดิดำแดนบาดาล เวลาที่เขาใช้ในแดนบาดาลสั้นกว่ามาก ดังนั้นเขาจึงไม่สนิทกับศิษย์พี่ทั้งหลายที่นั่น
ฉินมู่สะกดข่มอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้ และสลายสามเศียรหกกร เขาแปะใบหลิวกลับไปที่ศีรษะ และวิ่งตะบึงตรงไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ
ไม่มีใครในบริเวณที่ตามเขาไป พวกเขายืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อขบคิด
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ มีแค่สามกระบี่เท่านั้น”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เพียงแต่สามกระบี่นั้นเจิดจ้าเกินไป และผลของมัน ทำให้ดูเหมือนกับว่ามีห้ากระบี่ เพลงกระบี่ของจ้าวลัทธิฉินบรรลุถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…”
คนหนุ่มสาวคนอื่นๆ ก็คิดแบบเดียวกัน กระบี่ทั้งสามของฉินมู่ดูเรียบง่าย แต่พวกมันเป็นความเรียบง่ายที่กลั่นกรองออกมาจากความซับซ้อน เพียงแค่กระบี่สามกระบี่ ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ
ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมองเห็นสามกระบี่กลายเป็นห้ากระบี่ได้อย่างไร แต่ผู้ที่สามารถมองเห็นแง่อัศจรรย์นี้ได้ ก็ยิ่งตะลึงลาน
ในตอนนั้นเอง เจ๋อหัวหลีก็มาถึงในที่สุด ย่างเท้าของเขายังคงที่สม่ำเสมอ แต่ละย่างก้าวที่เขาก้าวมานั้นเท่ากันพอดิบพอดี
“มันจบแล้วหรือ”
เจ๋อหัวหลีมองไปรอบๆ และเห็นทุกคนยืนอยู่ที่นี่ แต่ทว่าฉินมู่และโหลเชียนจ้งไม่ปรากฏแล้ว เขาจึงรีบไปถามฉีเจี่ยวอี๋ “พี่ฉี ใครชนะ”
ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวอย่างจนปัญญา “ศิษย์พี่โหลเชียนจ้งตายในการต่อสู้”
เจ๋อหัวหลีตกตะลึงและถาม “กระบวนท่าไหนที่จ้าวลัทธิฉินใช้สังหารเขา เขาตายได้อย่างไร”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ่งจนปัญญาเข้าไปใหญ่ “นี่…มันยากจะอธิบาย จ้าวลัทธิฉินดูเหมือนว่าจะฝึกปรือวิชาอันโดดเด่นบางอย่างที่ทำให้เขาแปลงเป็นร่างสามเศียรหกกรได้ ยิ่งไปกว่านั้น กำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเก่าก่อน เขาขับเคลื่อนริเริ่มภัยพิบัติสามครั้ง”
ดวงตาพยัคฆ์ของเจ๋อหัวหลีเบิกกว้าง และเขาก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “สามเศียรหกกร? นี่ดูเหมือนว่ากำลังฝีมือของเขาได้เพิ่มพูนขึ้นไปอีกแล้ว ข้าจะต้องพากเพียรอย่างหนักเช่นกัน ข้าจะต้องบ่มเพาะความอาฆาตในดาบมารของข้า!”
โหลอวิ๋นชวีขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่อยู่ตรงหน้าเขา เมื่อเขาหมายที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตโหลเชียนจ้ง แต่โชคไม่ดีที่ว่า รัศมีของยอดฝีมือตรงหน้าได้สะกดข่มเขาเอาไว้ และเขาก็ไม่กล้าลงมือ
กำลังฝีมือขององค์ชายฉินมู่ล้ำเลิศอย่างสุดขีดขั้ว…
เขาอุทานในใจ แต่ทว่า ลำพังตัวเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ มันจะบดขยี้เขาเป็นชิ้นๆ!
ขุยชิงเผยกล่าวด้วยเสียงเบา “ศิษย์พี่โหล ศิษย์น้อง…”
โหลอวิ๋นชวีกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ฉินอู่สะกดข่มพวกเรา ดังนั้นพวกเราช่วยชีวิตเขาไม่ได้ ศิษย์น้องของพวกเราจึงมีแต่ต้องตาย แต่ทว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพผู้นี้แตกต่างจากที่ข้าจินตนาการเอาไว้ เจ้ามีความมั่นใจที่จะจับตัวเขาได้หรือไม่”
ฟู่เอี๋ยนชีสายตาวูบไหว และกล่าว “ศิษย์พี่วางใจได้ ศิษย์น้องฉีล้มเหลว ทำสมบัติวิเศษของอาจารย์หายและไม่อาจจับตัวเขา แต่สำหรับพวกเราแล้ว การจับตัวเขามาเป็นเรื่องลำบากเพียงยกมือ”
โหลอวิ๋นชวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เลิกสังเกตการณ์มรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงได้ มหาราชาฟู่ยื่อลัว ผู้บัญชาการแคว้นลู่หลี พวกเราจะกลับไปล่ะ”
ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยความตกตะลึง “ตอนนี้พวกเจ้าจะกลับไปแล้วหรือ โหลเชียนจ้งเพิ่งจะตายไป แต่พวกเจ้าก็ไม่แก้แค้นให้เขา? ศิษย์พี่ทั้งหลายนับว่าใจกว้างจริงๆ”
โหลอวิ๋นชวีกล่าว “ดวงวิญญาณของโหลเชียนจ้งจะกลับไปที่แดนบาดาลและกลับชาติมาเกิดใหม่ อาจารย์ไม่ปล่อยให้เขาตายไปแบบนี้หรอก พวกเราเพียงแต่กลับไปที่เขตแดนมาร มิได้กลับไปที่แดนบาดาล เมื่อซากทัพแห่งยุคสมัยแสงฉานไปถึงสันตินิรันดร์ นั่นก็จะเป็นจุดจบของสวรรค์ไท่หวง”
ฟู่ยื่อลัวอึ้งไปเล็กน้อย ในคราวนี้มีอาคันตุกะจากแดนบาดาลเพียงสี่คน และฉินมู่สังหารไปหนึ่ง โหลอวิ๋นชวีมั่นใจอะไรขนาดนั้นว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเผ่ามารเข้ามายึดครองสวรรค์ไท่หวงได้
เพราะสัตยาบันภูติบดีระหว่างนักบุญคนตัดไม้และเขา ฟู่ยื่อลัวไม่อาจขับเคลื่อนกำลังพลทัพมารเพื่อสนับสนุนพวกเขาได้ ลู่หลีเป็นผู้บัญชาการแคว้นแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นนางจึงรับฟังแต่คำสั่งจากสภาสวรรค์มิใช่จากแดนบาดาล โหลอวิ๋นชวีไม่อาจสั่งบัญชานางได้ตามใจ
อิทธิพลอำนาจที่โหลอวิ๋นชวีช่วงใช้ได้ ก็มีแต่จากพวกเขาสามคนเท่านั้น
ฉีเจี่ยวอี๋เฝ้ามองโหลอวิ๋นชวีและคนอื่นๆ จากไป และหัวใจเขาก็บีบรัด เขากล่าวด้วยเสียงเบา “เจ๋อหัวหลี หากว่าเจ้าเชื่อข้า รีบตามข้าข้ามสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณเข้าไปในแดนโบราณวินาศโดยทันที!”
เจ๋อหัวหลีแตกตื่น และเขานั้นกำลังจะไต่ถามมากไปกว่านี้ ก็เห็นฉีเจี่ยวอี๋เข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก่อนเขาล่วงหน้าไปหนึ่งก้าวแล้ว
ข้างๆ สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และกิเลนมังกรกำลังยืนล้อมแท่นสังเวยมหึมา พวกเขากำลังเสริมความแข็งแกร่งให้กับแท่นสังเวย และซ่อมแซมอักษรรูนที่แตกหัก พยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณมิให้แตกทำลาย
ในท้องฟ้า ดาวผิดประหลาดนั้นได้เคลื่อนไปครึ่งหนึ่งแล้ว และสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็แทบจะทานทนไม่ไหว แรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นดินในรัศมีหลายร้อยลี้เต็มไปด้วยรอยแยกลึกอันดูเหมือนกับใยแมงมุม
แท่นสังเวยไม่มั่นคง และหินภูเขาบนนั้นก็ดูเหมือนกับว่าพร้อมจะพังทลายเป็นผุยผงได้ตลอดเวลา
ฉินมู่ขมวดคิ้ว เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนและคนอื่นๆ รีบเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแท่นสังเวย แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร แท่นสังเวยยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง และพลังงานที่ไหลออกมาจากสันตินิรันดร์ก็กลายเป็นไพศาลไร้ประมาณ แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า
ในตอนนั้นเอง ดวงตะวันก็ดับลงไป และกลางคืนก็มาเยือนสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ท้องฟ้ายังคงสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหมดนั้น ก็เพราะแสงจากพลังจิตวิญญาณที่ถั่งโถมมาจากสันตินิรันดร์!
ดาวเคราะห์นั้นค่อยๆ หายลับไปทีละเล็กทีละน้อย ทันใดนั้น บรรพชนแรกก็เหินทะยานขึ้นไปบนอากาศ และเหยียบลงไปยังดาวเคราะห์ แบบนั้นความเร็วของมันถึงค่อยชะลอลง ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และรีบเสริมความแข็งแกร่งให้กับแท่นสังเวย
ที่สวรรค์หลัวฝู
แท่นสังเวยอลังการตั้งตระหง่านอยู่ในโลก บนแท่นสังเวย เทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศยืนอยู่บนนั้นและคอยป้องกันเอาไว้ ในสองปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ปกป้องสถานที่แห่งนี้ และขับไล่การโจมตีจากเผ่ามารไปมากมายหลายระลอก
รอยแยกในห้วงอวกาศเปิดขึ้นตรงหน้าแท่นสังเวยหนึ่ง มารเทวะสามตนเดินออกมา และพวกเขาก็คือโหลอวิ๋นชวี ฟู่เอี๋ยนชี และขุยชิงเผย
“ดินแดนของเผ่ามารได้ให้กำเนิดวีรชนมากมาย และมีผู้คนตั้งเท่าไรที่ต้องมากลบฝังในดินแดนแห่งนี้”
โหลอวิ๋นชวีถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน และนำเอาบันทึกเป็นตายออกมา เขาคลี่มันออกอย่างเบามือและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ในวันปีอันยาวนาน วีรชนอันห้าวหาญและน่าสลดทั้งหลายได้ถูกส่งออกไป พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่หรือไม่”
เสียงของเขากลายเป็นกึกก้อง และเขากล่าว “ด้วยบัญชาแห่งจักรพรรดิดำแดนบาดาล ข้าสั่งให้พวกเจ้าลุกขึ้นและต่อสู้!”
บันทึกเป็นตายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และแสงสว่างอันเจิดจ้าดุจกระจกก็ฉายส่องออกมาจากบันทึกเป็นตาย
ฟิ้ววว
บันทึกเป็นตายลอยไปทั่วสวรรค์หลัวฝู และไม่ว่าแสงสาดส่องไปที่ไหน ก็ปรากฏนามขึ้นมาบนหน้ากระดาษ และรายนามนับไม่ถ้วนนั้นก็ผุดขึ้นมาซ้อนทับกับรายนามก่อนหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน!
บันทึกได้ลอยไปรอบๆ สวรรค์หลัวฝูด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และจุดแสงสว่างให้แก่พื้นดินทุกหย่อมหญ้า!
เทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศบนแท่นสังเวยตื่นตระหนก และสายตาของพวกเขาทอดลงไปจับยังโหลอวิ๋นชวีและคณะ เขาถามด้วยความเคร่งขรึม “เจ้าเป็นใครมาก่อกวนอะไรที่นี่”
โหลอวิ๋นชวีกอดอก และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบโดยไม่สนใจเขาสักนิด
ทันใดนั้น พื้นดินก็ปริแยก และโครงกระดูกขาวอันสวมใส่ชุดเกราะเหล็กเก่าคร่ำคร่าก็ค่อยๆ คลานออกมาจากใต้ดิน พวกมันลุกขึ้นยืน ดวงตาลุกโชนไปด้วยไฟผีโขมด และยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระดุกกระดิก
วืด วืด เสียงของกระดูกลั่นกราวดังออกมา เมื่อทุกๆ ตารางนิ้วของสวรรค์หลัวฝูปูดขึ้น โครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ขุดตัวเองขึ้นมาจากใต้ดินและลุกขึ้นยืน
มารเทวะที่ยังคงเน่าเปื่อยอยู่ก็ปีนไต่ออกมาจากใต้ดิน มันอ้าปากออกเพื่อเป่าปราณมารเข้มข้นออกมา ราวกับว่ากำลังร้องคำรามอย่างไร้เสียงไปยังโหลอวิ๋นชวีและคณะ ปราณมารอันไร้จำกัดนี้พุ่งซัดใบหน้าของพวกเขา และทำให้ผิวหนังบนใบหน้าย่นยู่ไป ผมเผ้าและเสื้อผ้าของพวกเขาก็ถูกเป่าไปข้างหลัง ทำให้หน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำลายโสโครกอันเป็นสีเขียวและสีม่วง
หลังจากนั้น โครงกระดูกหลายหมื่นก็ก่อขึ้นมาเป็นกองทัพอันไร้ที่สิ้นสุด และปราณมารก็เหมือนกับว่าจะกดทับลงมาจากท้องฟ้าที่พังภินท์ ภาพที่เห็นนั้นทั้งมืดทะมึนและน่าสยดสยอง
เทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศทั้งหลายบนแท่นสังเวยตกตะลึง และกำเทพศาสตราของตนเอาไว้แน่น
โหลอวิ๋นชวียกมือของเขาขึ้น และบันทึกเป็นตายก็ลอยกลับมาเข้ามาในมือเขา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้อง ลองเดาดูสิว่า ข้าจะใช้เวลาเท่าไรถึงจะขจัดกวาดล้างซากทัพแห่งยุคสมัยก่อตั้งบนแท่นสังเวยพวกนี้ได้หมดจด”
ตูม
โครงกระดูกนับไม่ถ้วนโถมพุ่งไปยังแท่นสังเวย โครงกระดูกเต็มไปทั่วฟ้าและดิน ท่วมทับแท่นสังเวยภายในไม่กี่อึดใจ!
ขุยชิงเผยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้นิดหน่อย”
โครงกระดูกบุกเข้าไปในแท่นสังเวย และเทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศที่กำลังปกป้องแท่นสังเวยเหล่านั้นก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาถูกโครงกระดูกของมารเทวะทั้งหลายฉีกเป็นชิ้นๆ!
ในท้ายที่สุด แท่นสังเวยที่นักบุญคนตัดไม้และเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนก่อสร้างขึ้นมาเพื่อข่มขู่ฟู่ยื่อลัวก็แตกพ่ายลงไป โหลอวิ๋นชวีใช้เวลาไม่ถึงชั่วก้านธูป!
ศพของเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนแท่นสังเวย และร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไปทั่วสารทิศ
โหลอวิ๋นชวียื่นบันทึกเป็นตายให้แก่ขุยชิงเผยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรามาดูกันว่าศิษย์น้องขุยจะทำอย่างไรต่อ”
ขุยชิงเผยหัวเราะร่าและขับเคลื่อนบันทึกเป็นตาย อันสาดแสงไปยังแท่นสังเวยนั้น ศพของเผ่ามารทั้งหลายถูกอาบไปด้วยแสงและเผาไหม้เป็นจุณในพริบตา กระตุ้นการทำงานของอักษรรูนทั้งหมดในแท่นสังเวย การบูชายัญโลหิตเริ่มต้นในทันที!
ภัยธรรมชาติระเบิดปะทุออกมาทั่วสวรรค์หลัวฝู ขณะที่มันเริ่มจะพังทลายลงไป!
สวรรค์หลัวฝู อันกำลังอยู่ระหว่างการทำลายล้าง ก็นำเอาพลังทำลายล้างฟาดเข้าใส่ม่านคุ้มกันระหว่างโลกของสวรรค์ไท่หวง มุ่งตรงไปยังสวรรค์ไท่หวง!
“ครูบาสวรรค์แห่งรัชสมัยเทียมเท็จยังคงไม่อำมหิตเพียงพอ เขาเพียงแค่ใช้การบูชายัญโลหิตในสวรรค์หลัวฝู และใช้สวรรค์หลัวฝูกระแทกเข้าชนไปในสวรรค์ไท่หวงเท่านั้น”
โหลอวิ๋นชวีไพล่มือไว้ข้างหลังและแย้มยิ้ม “แต่ข้าก็ยังคงต้องขอบคุณเขาที่ก่อสร้างแท่นสังเวยเหล่านี้ขึ้นมา มันทำให้พวกเราประหยัดเวลาลงไปเยอะ”