ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 669 ด้วยศีลธรรมนั้นเช่นรากเหง้าเรา
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 669 ด้วยศีลธรรมนั้นเช่นรากเหง้าเรา
“มารที่น่าเวทนา เจ้าอยากจะเป็นสุนัข แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจความเป็นความตายของสุนัขเลยสักนิด”
ฟู่ยื่อลัวโงหัวขึ้นมา และดวงตาแดงก่ำของเขามองไปยังทิศทางเสียง เขาเห็นนักบุญคนตัดไม้เดินตรงมายังเขาจากที่ไกลๆ และเพลิงโหมไหม้ของเมืองคู่สมก็ปรากฏไปทั่วทุกหนแห่ง ครูบาสวรรค์เหยียบบนหินหลอมเหลวและเดินออกมาจากไฟ ขณะที่ชิ้นส่วนแตกหักของสวรรค์หลัวฝูร่วงลงจากฟ้าเป็นดาวตกเพลิงมากมาย
ไม่นาน นักบุญคนตัดไม้ก็มาถึงตรงหน้าเขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฟู่ยื่อลัว เมื่อเจ้าและข้าลงนามในสัตยาบันภูติบดี เจ้าบอกข้าว่า ไม่ใช่เจ้าหรอกที่ต้องการทำลายล้างสวรรค์ไท่หวง แต่เป็นผู้อื่น ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปในตอนนั้นว่า รังนกที่ร่วงแตกไม่มีไข่ใบไหนเหลือดี หากว่าสวรรค์ไท่หวงถูกทำลายล้าง เจ้าคิดว่าเผ่ามารจะยังอยู่ต่อไปได้หรือ”
ฟู่ยื่อหลัวถลึงตาจ้องเขา และเค้นเสียงออกมา “เมืองแทะทึ้งนั้นอยู่ห่างไกลจากจุดตกกระทบมากที่สุด และพลังป้องกันของมันก็แข็งแกร่งที่สุด มารทั้งหลายในเมืองนั้นสามารถหลบเลี่ยงการพุ่งชนได้ ดังนั้นเผ่ามารของข้าจะไม่ถูกลบล้างไปด้วยเรื่องนี้!”
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่เขาอย่างเวทนาและถาม “แล้วที่อื่นๆ นอกจากเมืองแทะทึ้งล่ะ?”
ฟู่ยื่อลัวหายใจดังวี๊ดๆ
เมืองแทะทึ้งสามารถป้องกันรักษาเผ่ามารไว้ได้เพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น และเผ่ามารอื่นๆ ที่เหลือก็จะตายไปกับการพุ่งชน พวกเขาจะไม่มีใครเหลือรอด!
“เมื่อสองหมื่นปีก่อน ชื่อซีนำดาวเคราะห์ของเขาหลบหนีการไล่ล่ามา และพวกเขามายังสวรรค์หลัวฝู การมาเยือนของชื่อซีและซากทัพแสงฉานได้ทำให้สวรรค์หลัวฝูเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยื่นมือเข้ามายังสวรรค์ไท่หวง”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างนุ่มนวล “ถ้าอย่างนั้น ใครกันล่ะที่บีบให้ชื่อซีและดาวเคราะห์เหล่านั้นไปยังสวรรค์หลัวฝู เจ้าเคยไต่ตรองถึงเหตุผลนี้หรือไม่ อันที่จริงแล้ว เจ้าก็กระจ่างแจ้งใจว่าศัตรูของยุคสมัยแสงฉานคือใคร เจ้าเพียงแต่ไม่กล้าคิดไปในทำนองนั้น เจ้ายังคงกอดเอาความเพ้อพกเล็กๆ ไว้ในหัวใจ ตอนนี้ได้เวลาตื่นขึ้นมาจากความละเมอเพ้อพกนั้นแล้ว”
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะดังลั่น “พวกเขาก็ได้วางแผนร้ายต่อซากทัพแสงฉานและเผ่ามารของข้าจริงๆ นั่นแหละ พวกเขาบีบให้เผ่ามารของข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะไปต่อสู้กับสวรรค์ไท่หวง แต่เจ้าล่ะ? เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน! เจ้าก่อสร้างแท่นสังเวยเอาไว้ และโหลอวิ๋นชวีได้ใช้พวกมันเพื่อบูชายัญสวรรค์หลัวฝู! ทำไมเจ้าถึงหลบหนีมาได้ เจ้าได้รออยู่นานแล้วให้ผู้คนแห่งสภาสวรรค์มาหาเจ้า และยืมมือของพวกเขาเพื่อบูชายัญสวรรค์หลัวฝู บีบให้เข้ามาเข้ากับฝ่ายเจ้า! ข้าไม่ใช่คนโง่!”
นักบุญคนตัดไม้มองไปยังเขาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าไม่ใช่คนโง่จริงๆ และข้าก็มีแผนที่จะบีบเจ้าให้เข้าร่วมกับฝ่ายข้า แต่ทว่า หากว่าเจ้าคิดว่าสภาสวรรค์ไม่มีทางบูชายัญสวรรค์หลัวฝูโดยปราศจากแท่นสังเวยได้ เจ้าก็ตื้นเขินเกินไปแล้ว”
ฟู่ยื่อลัวเงียบงัน
นักบุญคนตัดไม้กล่าวต่อ “ไม่ว่าข้าจะก่อสร้างแท่นสังเวยเอาไว้หรือไม่ สภาสวรรค์ก็จะเซ่นสังเวยสวรรค์หลัวฝูอยู่ดี พวกเขาจะทำลายล้างแผ่นดินบรรพชนของเผ่ามารของเจ้า ใช้สวรรค์หลัวฝูพุ่งเข้าชนสวรรค์ไท่หวง สวรรค์ไท่หวงก็จะตายไปเช่นกัน และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะอยู่รอดที่นี่ได้ แรงขับที่ต้องการมีชีวิตรอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์จะบีบให้เผ่ามารเข้าไปในสันตินิรันดร์ และจากนั้นสภาสวรรค์ก็จะสามารถยืมมือเจ้าเพื่อทำลายล้างสันตินิรันดร์ นั่นคือเป้าหมายของพวกเขา”
ฟู่ยื่อลัวพลันระโหยโรยแรง และถาม “เมื่อเจ้ากระทำสัตยาบันภูติบดี เจ้าก็ได้ทำนายไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึง ใช่ไหม ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรสักอย่าง”
“ก่อนวันนี้ พวกเราเป็นศัตรู ทำไมข้าจะต้องพูดด้วย”
นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แล้วจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นมิตรหรือศัตรู?”
ฟู่ยื่อลัวมองไปยังมือข้างนั้น และลังเลเล็กน้อย หลังจากชั่วอึดใจหนึ่ง มือสองข้างก็เข้ามาจับกระชับแน่น
สวรรค์หลัวฝูกำลังตกลงมาที่มุมหนึ่ง และในที่สุดก็ชนเข้ากับสวรรค์ไท่หวง
ข้างๆ สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ฉินมู่มองไปยังสวรรค์หลัวฝูที่ค่อยๆ ถล่มลงมา มันกำลังบดขยี้เมืองหลี เมืองเทพยดาอันผ่านศึกสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ผู้ฝึกวิชาเทวะแออัดยัดเยียดเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอย่างไม่คิดชีวิต และแม้แต่ฉินมู่ก็ยืนไม่มั่นจากการถูกเบียดเสียดของฝูงชน
ผู้คนสูญเสียภารดรภาพ และเหยียบทับกัน ขณะที่พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะรอดไป
“มู่เอ๋อ!”
ผู้ใหญ่บ้าน ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ หลบหลีกฝูงชนที่แออัดเข้ามา ฉินมู่เห็นพวกเขาในกลุ่มคน และเค้นรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร จริงๆ”
เมื่อสวรรค์หลัวฝูตกลงมา พื้นดินก็เหมือนกับแผ่นแก้วที่ถูกฟาดทุบด้วยวัตถุหนัก ทำให้ชิ้นส่วนของแผ่นดินแตกร้าวและลอยขึ้นไป
ลาวาสีแดงร้อนพวยพุ่งออกมาจากรอยแยกของพื้นพิภพ
ภาพที่เห็นทำให้แผ่นดินดูนุ่มยวบและเปราะบาง มันเหมือนกับคลื่นน้ำที่ถูกซัดขึ้นไปบนอากาศ หลากท่วมไปทั่วสารทิศ
หินและดินก่อขึ้นมาเป็นกำแพงพันลี้ มันดูเหมือนกับคลื่นที่ผสมระหว่างหินหลอมเหลวกับเพลิงไฟ และแม้แต่ภูเขาอันสูงพันคืบก็เหมือนกับหยดน้ำกระเพื่อมเล็กๆ เท่านั้น
การพุ่งชนได้สร้างพายุหมุนอันกวาดซัดไปทั่วทุกหนแห่ง ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง สายฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้วที่กวาดซัดไปทั่วสวรรค์ไท่หวงด้วยความเร็วสูงสุด
เพลิงไฟได้ก่อขึ้นมาเป็นเมฆรูปดอกเห็ดที่กำลังเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่นานนัก มันก็เข้าไปถึงดวงตะวันที่ราชครูและผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างขึ้นมา ดวงตะวันสองดวงแตกหักออกจากกันราวกับกระดาษ
“มู่เอ๋อ ไป!”
ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ตะโกน “รีบเข้าไปในสะพาน เจ้าไม่สามารถรอดชีวิตได้ในสถานการณ์เช่นนี้!”
ฉินมู่มองไปยังภาพปรากฏการณ์ด้วยความเหม่อลอย ยายเฒ่าซีบุกฝ่าฝูงชนเข้ามาและดึงเขาตรงเข้าไปในสะพาน ผู้คนได้ปีนไต่เข้าไปในสะพานอย่างดุเดือด เบียดและเหยียบกันเข้าไป
ฉินมู่ถูกยายเฒ่าซีฉุดดึง และเดินเซไปข้างหน้า เขาเหลียวหลังกลับไปมองด้วยใบหน้าอันเหม่องง เขาเห็นเทพเจ้าที่ต้านรับการปะทะในบริเวณรอบๆ พวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะป้องกันแรงกระแทกทำลายล้างอันซัดถล่มมา พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อให้โอกาสผู้คนหลบหนีไปได้
เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงและโลกลอยเลื่อนฉีกแยกเป็นชิ้นๆ ในแสงอันเจิดจ้าซึ่งแผดเผากายเนื้อของพวกเขา สันดาปไฟและระเหิดหายพวกเขาให้เป็นจุณ!
แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สลักสำคัญต่อหน้าพลังทำลายล้างระดับนี้
เขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ฝั่งเผ่ามารได้ ก็ในเมื่อสวรรค์หลัวฝูได้ปิดกั้นทัศนวิสัยของเขาเอาไว้ แต่เขาสามารถนึกภาพออก มารเทวะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อป้องกันแรงกระแทกของฟ้าและดิน และพยายามจะเสาะหาหนทางรอดให้แก่ผู้คนของตน
พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีพลังที่จะป้องกันมันเอาไว้ ต่อให้พวกเขาเป็นมารเทวะก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังยินดีที่จะตายเพื่อสหายร่วมเผ่าพันธุ์
“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร…” ฉินมู่พึมพำ
เหตุการณ์นี้คือสัญญาณการสิ้นสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ไท่หวง ผู้คนที่ไม่อาจออกไปได้ทันเวลา และเผ่ามารที่ได้ต่อสู้กันมาเป็นเวลาสองหมื่นปี
ในตอนนั้นเอง เขาก็เฝ้ามองดูเมื่อกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ชายผู้หลบหนีไปจากการศึกเมื่อสองหมื่นปีก่อน เหาะลงมาจากท้องฟ้า และลงเหยียบบนสถานที่ที่โลกทั้งสองพุ่งชนกัน
บรรพชนแรกกำลังป้องกันพลังทำลายล้างที่มาจากการพุ่งกระแทกกันของสองโลกมิติ เขานั้นกำลังต่อสู้เพื่อยื้อเวลา และวิชาฝึกปรือที่เขาใช้นั้นคือเคล็ดลับศักดิ์สิทธิ์หฤทัยฟ้าดิน ขณะที่วิชามุทราของเขาคือมุทราฟ้าและดิน
เขายืนอยู่ในภัยธรรมชาติ และดูเหมือนจะย้อนเวลากลับไปยังการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสองหมื่นปีก่อน เขาดูเหมือนจะกลายเป็นตัวเขาเมื่อสองหมื่นปีก่อน
เพียงแต่ว่า ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน คราวนี้เขาไม่ได้หนีไป
วิชาฝึกปรือและวิชามุทราของเขา ล้วนแต่บ่มเพาะมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ มันจะก่อตั้งหัวใจที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินอันพังทลาย เพื่อเสาะหาทางรอดให้แก่ผู้คน!
ฉินมู่มองไปยังคนผู้นี้จากที่ไกลๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นบรรพชนแรกทั้งจริงจังและฮึกเหิม
วิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์พลิกโลกเช่นนี้ วิชามุทราของเขาสกัดขัดขวางภัยธรรมชาติ และยื้อเวลาให้ผู้คนหลบหนีไป
ทันใดนั้น สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง อักษรรูนบนผิวแท่นสังเวยเริ่มจะระเบิดออก เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ที่หลอมสร้างขึ้นมาจากโลหะและวัสดุเทวะทั้งหลายเริ่มฉีกขาดออกจากกัน เสียงแตกเปรี๊ยะดังมาจากข้างในของแท่นสังเวย
สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาตะโกนออกมา “สะพานกำลังถล่ม อย่าเข้าไป เร็วเข้า รีบออกมา สะพานกำลังถล่มแล้ว!”
เสียงของเขาดังกึกก้อง และสะท้อนไปในบริเวณโดยรอบ แต่ผู้คนก็ยังคงกรูกันเข้าไปในสะพาน
จังหวะนั้นเอง สะพานก็พังถล่ม และแสงสว่างอันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ดับวูบลงอย่างฉับพลัน ร่างกายอันฉีกขาดมากมายร่วงลงมาจากท้องฟ้า ดาวเคราะห์เกือบทั้งดวงได้มุดเข้าไปในสันตินิรันดร์แล้ว แต่ยังมีส่วนหนึ่งที่ถูกเฉือนตัด ชิ้นส่วนที่เฉือนตัดออกไปนี้ราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
ดาวเคราะห์ส่วนที่ถูกตัดออกมา ร่วงตก และกลายเป็นใหญ่ขึ้นๆ ก่อนที่จะพุ่งชนกับสวรรค์ไท่หวง!
ฉินมู่หัวใจเย็นเยียบเมื่อเขาเห็นชิ้นส่วนฉีกขาดของร่างผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายร่วงกราวลงมาราวห่าฝน พวกเขาคือผู้คนที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายระยะไกลไปยังสันตินิรันดร์ได้ทันเวลา เมื่อห้วงอวกาศปิดลงมา พวกเขาก็ถูกสับครึ่งในชั่วพริบตา ทิ้งร่างครึ่งหนึ่งในสวรรค์ไท่หวง และร่างอีกครึ่งในสันตินิรันดร์
“พวกเราจะทำอย่างไร”
บางคนร้องออกมาราวกับเด็กๆ ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ “พวกเราจะทำอย่างไร ตอนนี้ไม่มีสะพานแล้ว พวกเราจะตายที่นี่กันหมด!”
มันทิ้งฟ้าให้ฉีกขาดและดินให้แตกแยก ดาวตกร่วงลงมาราวห่าฝน และภัยพิบัติธรรมชาติก็ยังคงซัดโถมเข้ามาด้วยแรงกระแทกอันร้ายกาจ มันเป็นภาพของวันสิ้นโลก
บรรพชนแรกยังคงยืนอยู่และป้องกันด้วยการขับเคลื่อนมุทราแล้วมุทราเล่าเพื่อต่อสู้กับพลังทำลายล้างด้วยตนเอง องค์ชายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้กระอักเลือดไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้ว ทิ้งให้เสื้อของเขาเลอะเลือดไปหมด สาเหตุที่ผู้ฝึกวิชาเทวะรอบๆ สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณยังคงรอดอยู่ได้นานขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาสกัดขัดขวางแรงกระแทกเอาไว้
แต่ทว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็จะหมดแรงจนขาดใจตาย
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก้าวออกไปข้างหน้าและตะโกนอย่างเฉียบขาด “ทุกคน ตามข้ามา!”
เขาเดินไปยังข้างๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและร่วมมือกับเขาเพื่อป้องกันแรงกระแทก “ถนอมรุ่นเยาว์ของสวรรค์ไท่หวงของพวกเราเอาไว้!”
เทพซังเย่และคนอื่นๆ ตกตะลึง ก่อนที่จะรีบพุ่งไปข้างหน้า พวกเขาห้อมล้อมผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายเอาไว้ และดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อจะต้านทานการทำลายล้างของฟ้าและดิน ผู้ใหญ่บ้าน คนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ ก็อยู่ท่ามกลางเทพเหล่านั้น ยูไลหม่าเองก็นำหลวงจีนจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ
นักพรตเฒ่าแห่งสำนักเต๋า เซียนเฒ่าแห่งนครหยกน้อย และแม่ทัพกับเจ้านครแห่งสันตินิรันดร์ ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเสี่ยงชีวิต พวกเขาเคลื่อนที่ไปเพื่อปกป้องผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์
เด็กหนุ่มแบกหีบคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน และมุ่งหน้าไปยังเหล่าเทพเจ้า สีหน้าของเฒ่าเป๋แปรเปลี่ยน และเขาร้องออกมา “ซิงอ้าน หากว่าเจ้าลงมือกับพวกเราตอนนี้ ข้าจะไปขโมยจากบรรพชนเจ้าสิบแปดชั่วโคตร!”
เด็กหนุ่มไม่กล่าววาจาและวางหีบลงไป เข็มขัดมังกรแท้เหาะออกไปจากเอวของเขา และซิงอ้านก็เผยร่างมารเทวะออกมาเพื่อป้องกันแรงกระแทกไปพร้อมๆ กับทุกคน
ฉินมู่ตะโกนด้วยเสียงดัง “พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ ตามข้ามา!”
เขาก้าวไปข้างหน้า และผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ ก็เดินโซเซตามมาข้างหลังเขา ฉินมู่ไปยังข้างกายบรรพชนแรกและเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับแรงกระแทก ด้วยโลหิตร้อนระอุทั่วร่าง พวกเขาขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อก่อขึ้นมาเป็นโล่ใหญ่
“ด้วยปราณกว้างใหญ่ไร้ประมาณ!”
ในแรงกระแทกทำลายล้างนั้น เสียงขับร้องอันโอ่อ่าและไร้พันธนาการก็ดังมา “ด้วยปราณกว้างใหญ่ไร้ประมาณ น่าเกรงขามตะลึงลานอสงไขย! เมื่อไหลผ่านตะวันจันทร์อันอำไพ แล้วไยต้องครุ่นคิดเรื่องตายเป็น!”
นั่นคือคนแล่เนื้อที่ปลดปล่อยความห้าวหาญทะยานจิตออกมาผ่านบทกวี แม้ความเป็นตายที่มาจ่อตรงหน้าก็ไม่อาจกลบประกายของเขาไปได้
ความห้าวหาญนี้พลุ่งพล่านขึ้นมาในอกของฉินมู่ เมื่อเขาขับร้องต่อด้วยอารมณ์อันโจนทะยาน “พิงพำนักพึ่งหลักเสาสวรรค์ พิงพึ่งท่านผู้เที่ยงธรรมในยามเข็ญ! สามสัมพันธ์คุณธรรมที่จำเป็น…”
คนแล่เนื้อหัวร่อด้วยเสียงอันดังและเอื้อนวรรคจบ “ด้วยศีลธรรมนั้นเช่นรากเหง้าเรา–”
เฒ่าบอดใช้ทวนเทวะหลงถัวของเขาป้องกันแรงกระแทกและแค่นเสียง “เฮอะ ทำเป็นเท่…”