ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 675 สภาสวรรค์ตั้งไข่
“ถนนจากแผ่นดินตะวันตกไปยังแผ่นดินภาคกลางได้ถูกสวรรค์ไท่หวงบดขยี้ หากว่าอำนาจของสันตินิรันดร์ไปไม่ถึงแผ่นดินตะวันตก แผ่นดินตะวันตกก็อาจจะก่อกบฏ ดังนั้นพวกเราจะต้องบุกผ่าสวรรค์ไท่หวงไป และก่อสร้างอุโมงค์หรือพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกล”
ฉินมู่ ราชครู หลินเสวียน และยอดฝีมือด้านพีชคณิตคนอื่นๆ มารวมตัวกันเพื่อคิดคำนวนอิทธิพลที่สวรรค์ไท่หวงจะส่งต่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ทุกคนพูดจากันเสียงดัง และฉินมู่ก็กล่าว “การหลอมสร้างพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลนั้นไม่ยาก แต่การจะขับเคลื่อนให้มันทำงานอยู่ตลอดเวลานั้นสิ้นเปลืองใหญ่หลวง จำต้องใช้หินยามากมายมหาศาล ค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในการขุดอุโมงค์อาจจะมากมายกว่าในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นมันก็จะน้อยลง”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกล่าว “การไถลฟาดมาของสวรรค์ไท่หวงได้ผ่านจากเหนือไปใต้ เฉือนตัดแผ่นดินภาคกลางและแผ่นดินตะวันตกออกจากกัน นี่ก็จะส่งผลอันซับซ้อนต่อระบบน้ำเดิม ต่อการไหลเวียนของภูมิอากาศ ต่อฝนตกและหิมะตก พวกเราจำเป็นต้องคำนวณเส้นทางน้ำ ภูมิอากาศ และปริมาณฝนด้วย”
ซวีเซิงฮวากล่าว “พวกเราจะต้องคำนวณว่าสถานที่ใดได้รับผลกระทบหนักหน่วง และเผื่อว่าจะเกิดภูมิอากาศแบบทะเลทรายก่อตัวขึ้นมา ในตอนนี้ พวกเราต้องการราชามังกรตนหนึ่ง สันตินิรันดร์ต้องการราชามังกรตนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทะเลทรายขึ้นมา”
หลิงอวี้จิวกล่าวเสริม “พวกเรายังต้องการวายุบดีและจ้าววรุณเพื่อควบคุมฝนตกและลมพัด”
ราชครูสันตินิรันดร์ใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยและกล่าว “แม้ว่าสนามแม่เหล็กที่ผิดปกติในสวรรค์ไท่หวงจะถูกควบคุมอยู่ แต่สวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝูก็ยังคงมีพลังแม่เหล็ก ดังนั้นพวกเราจะต้องศึกษาดูว่ามันมีผลกระทบอย่างไรกับพืชพันธุ์ เมื่อคิดคำนวณเส้นทางน้ำ ภูมิอากาศ และปริมาณฝน พวกเราก็จะต้องผนวกปัจจัยด้านแรงแม่เหล็กจากโลกทั้งสองเข้าไปด้วย สังเกตการณ์ผลกระทบที่พลังแม่เหล็กมีต่อแผ่นดินไหว”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ต้องการจ้าวปฐพี และจำนวนที่ต้องใช้ก็มีไม่น้อย นักดำดินอาศัยอยู่ข้างใต้สันตินิรันดร์ และเดิมทีพวกเขาคือผู้รอดชีวิตจากเผ่าจ้าวปฐพี ทั้งยังอยู่ใต้บัญชาของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ มู่เอ๋อสามารถไปเยี่ยมเยือนพวกเขาพร้อมกับบรรพชนแรกได้”
หวางมู่หรันกล่าว “ไอน้ำและหมอกมาจากทะเล พวกเราต้องการขุนนางเทพยดาเพื่อจัดการกับทะเลและหมอก แบบนั้นถึงจะสามารถนำพาลมและฝนมาสู่ภาคพื้นดินได้โดยราบรื่น นอกจากหมอกแล้ว พวกเขายังต้องคอยควบคุมลมและคลื่นเพื่อคุ้มครองเรือประมง”
“โครงการนี้ใหญ่โตนัก และพวกเราจำต้องใช้ผู้คนที่เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตเพื่อจัดการท้องพระคลังจักรวรรดิ พวกเราต้องการเทพมั่งคั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณ!”
“โครงการทั้งหมดที่ต้องใช้เรือเหาะ พวกเราต้องการเทพนาวาเพื่อส่งเรือเหาะออกไป ในทะเลมีปลาคุนยักษ์อยู่ พวกเขาคือเผ่าคุน และพวกเราสามารถเชื้อเชิญพวกเขามาด้วยกษัตริย์มนุษย์ได้ พวกเราเพียงแต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันคือใคร”
“เรื่องหัตถการแห่งวิศวกรรม เพื่อหลอมสร้างสมบัติวิเศษสยบชะตาแห่งสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝู เพื่อหลอมสร้างสมบัติเทวะและเทพศาสตราต่างๆ ในการตัดถนน พวกเราต้องการเทพวิศวกรรม!”
“โรคระบาดและความไข้ก็ต้องได้รับการควบคุม ดังนั้นพวกเราต้องการราชาเภสัช!”
“เพื่อควบคุมไฟและภัยธรรมชาติ พวกเราต้องการเทพอัคคี!”
…
การหารือของทุกๆ คนทั้งหลากหลายและสะเปะสะปะ หลังจากอภิปรายกันอย่างยาวนาน พวกเขาก็ร่างแผนการที่จะต้องทำหลังจากสวรรค์ไท่หวงร่วงตกลงมา และตำแหน่งขุนนางเทพทั้งหลายก็ถูกเอ่ยถึง เพราะว่าความสำเร็จเชิงพีชคณิตของกิเลนมังกรนั้นสูงส่ง เขาจึงมีส่วนร่วมด้วย และเขาก็พลันถามขึ้นมา “จ้าวลัทธิ นี่พวกเราจะสร้างสภาสวรรค์ขึ้นมาอีกแห่งหรือ”
ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์อ้าปากค้าง พวกเขารีบพลิกดูตำแหน่งขุนนางเทพยดาที่ร่างเค้าโครงเอาไว้ นี่มันไม่ใช่สภาวะตั้งไข่ของสภาสวรรค์หรืออย่างไร
ไม่ใช่ว่าตำแหน่งขุนนางเทพที่พวกเขาร่างเอาไว้ คือขุนนางเทพที่สำคัญในระบบของสภาสวรรค์หรอกหรือ
ด้วยขุนนางเทพเหล่านี้ พวกเขาก็จะก่อขึ้นมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสภาสวรรค์!
ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “ยังคงเร็วเกินไปที่จะก่อตั้งสภาสวรรค์”
ผู้ใหญ่บ้านผงกหัวและกล่าว “อย่าประกาศสิทธิราชย์ก่อนที่จะมีกำลังก้าวแกร่งและวิสัยทัศน์สมบูรณ์ พวกเราเพียงแต่จะแจกแจงหน้าที่ และไม่ได้ตั้งตำแหน่งขุนนางเทพยดาใดๆ ขึ้นมา เรื่องนี้ห้ามใครแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด แค่พวกเรารู้กันอยู่นี่ก็เพียงพอแล้ว”
ทุกคนผงกศีรษะ
แต่ทว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าประวัติศาสตร์ได้คลี่คลายออกมาอย่างอลังการ โดยไม่มีจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอยู่ด้วย ม่านประวัติศาสตร์ก็ค่อยๆ แง้มเปิดออกมาจากการอภิปรายของพวกเขา
บางทีอีกหลายปีถัดมา พวกเขาอาจจะหวนระลึกถึงภาพในวันนี้ และตื้นตันกับอารมณ์ที่พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่เพียงแต่ว่า ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “สิ่งที่พวกเราต้องคำนวณมีมากมายเกินไป และเพียงแค่พวกเราที่นี่ ก็ยากจะคำนวณประมวลผล หลังจากที่พวกเรากำหนดทิศทางใหญ่ๆ ที่จะดำเนินไปแล้ว ข้าจะรายงานแก่จักรพรรดิ และให้จักรพรรดิเรียกตัวผู้มีความสามารถและปณิธานทั้งหลายเข้าไปร่วมงานด้วยกันทั้งหมด”
ทันใดนั้น บางคนก็ถามขึ้นมา “แล้วเทพและมารจากสวรรค์ไท่หวงและเผ่ามารล่ะ?”
ทุกคนขมวดคิ้ว พวกเขานึกอะไรไม่ออก
สวรรค์ไท่หวงและเผ่ามารมีความแค้นไม่อาจชำระสะสาง เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และคณะไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อยที่จะตัดสะบั้นสัมพันธ์ของพวกเขากับนักบุญคนตัดไม้ และพวกเขายังกล่าวคำพูดทำนองว่าไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับเผ่ามารอีกด้วย อันแสดงให้เห็นว่าความเคียดแค้นของพวกเขาสูงกว่าฟ้าและลึกกว่ามหาสมุทร
ฉินมู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “ให้ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงอยู่ในแดนโบราณวินาศ แดนโบราณวินาศและสันตินิรันดร์มิได้อยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ฟู่ยื่อลัวและเผ่ามารที่เหลือสามารถไปอาศัยอยู่ในที่ราบน้ำแข็งทางตอนเหนือ ยิ่งไกลจากแดนโบราณวินาศเท่าไรก็ยิ่งดี”
“พวกเราคงมีแต่ต้องทำเช่นนั้น” ราชครูสันตินิรันดร์ผงกศีรษะ
จากการถล่มลงมาของสวรรค์ไท่หวงทำให้มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ ปริมาณโครงการนั้นใหญ่มหึมา และก็มีเทพศาสตราทรงพลังมากมายที่จะต้องถูกหลอมสร้างขึ้นมาเพื่อสยบแผ่นดินไหว กำจัดภูเขาไฟ เหนี่ยวนำหมอก และประโลมลมและคลื่นให้สงบ
ฉินมู่ไม่เคยแตะต้องเรื่องพวกนี้มาก่อน
“พวกเรายังต้องการนักบุญคนตัดไม้”
ท่านยายซีกล่าว “เพียงผู้เดียวในโลกหล้าที่มีครอบครองความรู้กว้างขวางขนาดนั้นก็มีแต่เขา”
ฉินมู่เห็นด้วย เขาไปหาตัวนักบุญคนตัดไม้และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เพื่อบอกทั้งคู่ถึงความคิดของทุกๆ คน นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารอประโยคนี้มานานแล้ว บัดนี้ข้าก็จะสามารถไปพบกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง”
เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองหลวง ฉินมู่ก็นำลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ออกมา และขับเคลื่อนพลานุภาพของลัญจกร ทุกเผ่าพันธุ์ในโลกหล้าจะสัมผัสได้ถึงการเพรียกขานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ หลังจากสิบกว่าวัน นักดำดิน เผ่าห้าเซียนปีศาจ เผ่าคุน เผ่าปีก เผ่าทะเล เผ่าเต่าดำ และเผ่าพันธุ์ที่เหลืออื่นๆ ก็เร่งรุดมายังเมืองหลวงสันตินิรันดร์
เมืองหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ
ทุกเผ่าพันธุ์นั้นรับฟังแต่การบัญชาของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ พวกเขายอมรับลัญจกรไม่ยอมรับผู้คน จึงไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ตาม
หัวหน้าเผ่าคนใหม่ของนักดำดินคือภรรยาของถู่สิงเฟิง และนางเป็นสตรีตัวเตี้ยที่สูงเพียงเข่าของฉินมู่ ทั้งยังมีหนวดเฟิ้ม หากว่านางตัวสูงใหญ่ ก็คงจะดูน่าเกรงขามด้วยเช่นกัน
นายหญิงถู่เรียกจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงว่าจักรพรรดิบ้านนอก และทำให้จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดือดดาลจนตัวสั่นไปหมด แม้แต่มือของเขาที่บันทึกจำนวนครั้งอันเขาอยากจะตัดหัวนางก็สั่นเทิ้มไม่หยุด
ท่ามกลางห้าเซียน เซียนต้นหลิว เซียนเหลือง และเซียนขาว ได้ตายลงไปในการต่อสู้ครั้งก่อนกับเหนือฟ้า และก็เป็นหัวหน้าเผ่าคนใหม่ที่มา ฮู่หลิงเอ๋อก็มาด้วยกันกับเซียนจิ้งจอก
หัวหน้าเผ่าเต่าดำก็ตายในการต่อสู้ และหัวหน้าคนใหม่นี้เป็นบุรุษร่างสูงอันน่ายำเกรง แต่เชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง นามของเขาคือเสวียนอู๋จิ้ง และไม่ว่าเขาจะพูดจาหรือเดินเหิน ก็จะช้ากว่าคนอื่นหลายเท่า
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสนทนากับเขาอย่างยากลำบากยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นราชินีอี้และราชาคุนก็ล้วนแต่เป็นสหายเก่า แต่พวกเขาไม่ชอบใจที่ผู้ใหญ่บ้านเอาแต่ใช้ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์เรียกตัวไปต่อสู้กับพวกเหนือฟ้าอยู่บ่อยๆ
แต่ทว่า เมื่อหัวหน้าเผ่าทั้งหลายเห็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก พวกเขาก็ได้แต่เคารพสยบยอม
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้เชื้อเชิญทูตแห่งแสงฉาน อันชื่อซีมาด้วยตนเอง ทูตแห่งเผ่ามารคือเจ๋อหัวหลี และฟู่ยื่อลัวไม่ได้มาด้วยตนเอง
ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวง ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนโบราณวินาศ แม้แต่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก็ไม่รุดมาด้วยตนเอง เขาส่งศิษย์ของตนคืออวี่เหอมาแทน
ในช่วงเวลาหลายวันนี้ ฉินมู่ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง นักบุญคนตัดไม้ และราชครูก็ได้ตัดสินใจกำหนดแผน จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมอบหมายตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ และแต่งตั้งขุนนางมากมาย เขาลบตำแหน่งขุนนางบางตำแหน่ง และก็เพิ่มบางตำแหน่งเข้าไป
ในการประชุมนั้น มีเรื่องราวมากมาย และรายละเอียดปลีกย่อยจิปาถะ เรื่องอย่างเช่นการแต่งตั้งขุนนาง ทดสอบความสามารถ ทั้งหมดต้องให้จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมาร่วมอยู่ด้วย ดังนั้นการประชุมพบปะจึงยาวนานกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะสิ้นสุดลงไป
นอกจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ แล้ว เฒ่าใบ้ นักปรุงยา และคนอื่นๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งหน้าที่ในสภาราชสำนักด้วย ขณะที่ตระกูลซีแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ได้รับหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณสันตินิรันดร์ ซีอวิ๋นเซี่ยงตื่นเต้นอยู่นาน แต่ฮู่หลิงเอ๋อผิดหวังเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ใช้อิทธิพลอำนาจของเขาเพื่อจัดวางตำแหน่งฮู่หลิงเอ๋อให้ตรวจสอบดูแลซีอวิ๋นเซี่ยงอีกที ป้องกันไม่ให้ซีอวิ๋นเซี่ยงยักยอกเงินใส่กระเป๋า และกวาดท้องพระคลังสันตินิรันดร์ไปถมคลังสมบัติลัทธินักบุญสวรรค์ แบบนั้นความตื่นเต้นของซีอวิ๋นเซี่ยงก็จางลงไปในทันที
แผนการที่ฉินมู่และนักบุญคนตัดไม้ออกแบบมาได้โยนทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหมดเรี่ยวแรงจนสิ้นท่าหลังจากที่เขาจัดการเรื่องราวทั้งหมดสิ้นไป แต่ทว่าฎีกาของบประมาณก็ยังไหลมาเทมาจากทุกหนแห่ง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรู้สึกสมองโป่งพอง เขาจึงเรียกตัวชื่อซี และปรึกษาขอเรียนรู้วิชาสามเศียรหกกรจากเขา “แบบนั้นข้าจะได้อ่านฎีกาได้เร็วยิ่งขึ้น”
ชื่อซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าฝ่าบาทต้องการจะบ่มเพาะสามเศียรหกกรขึ้นมา ท่านก็ควรไปปรึกษากษัตริย์มนุษย์ฉิน โอรสเทพกล่าวว่าปฏิภาณความเข้าใจของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นก้าวไปสู่ระดับบัลลังก์จักรพรรดิแล้ว”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และเขาก็เชิญตัวฉินมู่เข้าไปในวัง
“ฝ่าบาท วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิสองวิชา สำนึกรู้เทพอมตะ และคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล ได้ถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิและสี่สถาบันใหญ่แล้ว”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในการฝึกปรือสองวิชานี้ ผู้ฝึกจะต้องมีความสำเร็จอันแข็งแกร่งในทักษะเทวะเสกสรร และตอนนี้ข้าก็กำลังรวบรวมยอดฝีมือด้านทักษะเทวะเสกสรรเพื่อศึกษาค้นคว้าวิชาทั้งสองโดยละเอียด จัดระเบียบวิชาเสกสรรที่จำเป็น แบบนั้นพวกเราถึงจะสามารถฝึกปรือได้รวดเร็วเป็นสองเท่า”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงคลายใจลง และเขาก็วางฎีกาในมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาเดินเล่นกับข้าหน่อย”
ฉินมู่เดินจากห้องทรงอักษรกับเขาและเห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่ท้องฟ้า และไม่กล่าวอะไรอยู่พักหนึ่ง
ฉินมู่มองไปยังฟ้าอันดารดาษดาว แต่มันมีดวงหนึ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือดาวแสงฉาน
แม้ว่าดวงดาวนี้จะดูมีขนาดเท่าผลส้ม แต่มันก็แหว่งหายไปเสี้ยวหนึ่ง และลอยนิ่งอยู่กลางฟ้าราตรีแห่งสันตินิรันดร์
“ขุนนางฉินที่รัก สวรรค์ไท่หวงสามารถฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปทางทิศตะวันตกและโพล่งถามขึ้นมา
ทิศตะวันตกคือแดนโบราณวินาศ ในตอนนี้ แดนโบราณวินาศก็จมอยู่ในความมืด แต่เพราะการปรากฏตัวของสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝู มันจึงไม่มืดมิดมากนัก นั่นก็เพราะว่าสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝูอาบอยู่ในแสงตะวัน แม้จากเมืองหลวง พวกเขาก็ยังสามารถมองเห็นแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้าเหนือแดนโบราณวินาศ
“ฟื้นฟูได้”
ฉินมู่ขบคิดอยู่นิดหนึ่งและกล่าว “แต่มันจะต้องอาศัยเวลาสักหน่อย พลังจิตวิญญาณของสวรรค์ไท่หวงมิได้เหือดแห้งไปโดยสิ้นเชิง และแม้ว่าสวรรค์หลัวฝูจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว แต่มันก็ร่วงมาตั้งอยู่ในแดนโบราณวินาศ มันจะฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเราต้องการเพียงแต่นักต้อนตะวันที่ขับเรือตะวันจำนวนหนึ่งโคจรไปมาบนสองโลกสวรรค์นั้น เราก็จะทำให้มีแสงตะวันส่องไปยังที่นั่นได้ แต่ทว่า ในการฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณกลับคืนมา ก็ยังต้องอาศัยเวลามากกว่าสิบปี”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันดับแรกก็ปลูกต้นไม้ ข้าได้ยินว่าเผ่านักต้อนจันทราได้ตายไปแล้ว พวกเราจะสามารถเลือกสรรนักต้อนจันทรากลุ่มใหม่เพื่อมาควบคุมเรือได้หรือไม่”
ฉินมู่ลังเลและกล่าว “อาจจะมีเชื้อสายของเผ่านักต้อนจันทราหลงเหลือในแดนโบราณวินาศ ไม่ทราบว่าเสนาบดีงบประมาณได้ทำการสำรวจสถิติกับผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศหรือยัง”
“พวกเขาทำแล้ว ข้าจะให้เสนาบดีงบประมาณจัดการกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน พวกเขาสามารถเลือกสรรนักต้อนจันทรามาสักหน่อย และให้พวกเขาดำเนินงานของบรรพชนต่อ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงรั้งสายตากลับมาและมองไปยังฉินมู่ เขาเผยรอยยิ้ม “ขุนนางฉินที่รัก ไม่ใช่ว่าตอนนี้ก็ได้เวลาที่เจ้าจะแต่งงานแล้วหรอกหรือ เจ้ามีนางในดวงใจหรือไม่”
ฉินมู่กล่าว “โลกยังไม่สงบสุข ข้าจะแต่งงานลงหลักปักฐานได้อย่างไร”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแทบสำลักอากาศตาย และเขาโบกมืออย่างอ่อนแรง “เจ้าไปได้”
ฉินมู่จากไป
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่ายหัวไปมาเมื่อเขามองไปยังหลิงอวี้จิวที่ปิดหน้าและวิ่งตามเด็กหนุ่มไป
“ทำไมคนฉลาดเช่นนี้ถึงโง่เขลานักในเรื่องความสัมพันธ์”