ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 676 ชายตกปลาเฒ่าที่บ่อน้ำหนาว
“จักรพรรดิจะให้ผู้พิทักษ์ตะวันไปปกปักษ์สวรรค์ไท่หวง ดังนั้นข้าคงจะต้องเดินทางไปยังเผ่านักต้อนตะวัน!”
ฉินมู่ออกมาจากวังเพื่อเรียกมังกรกิเลนมามุ่งหน้าไปยังแดนโบราณวินาศ หลังจากหกวัน เขาก็ไปยังบ่อตะวันเพื่อพบกับเอี๋ยนจิงจิง
หลายปีที่ไม่ได้พบหน้า เด็กสาวได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว กลายเป็นสวยสะคราญ เมื่อนางเห็นฉินมู่มา ก็หน้าแดงทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเลี้ยงวัว เจ้าดูที่ขาข้าสิ ตอนนี้หายดีแล้ว!”
สายตาของฉินมู่มองไปที่ร่างกายของนาง นางกำลังสวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างหลวม มีเสื้อชั้นนอกอันเป็นสีเขียวอ่อน และเสื้อชั้นในปักลายอีกาสามขาเอาไว้บนนั้น
เสื้อชั้นนอกของนางยาวอย่างยิ่งจนกรอมพื้น ปิดบังเท้าเอาไว้
จากการตัดเย็บ มันน่าจะเป็นฝีมือของอวี่จ้าวชิง เผ่านักต้อนตะวันได้มีบุญคุณแก่เผ่าขนนกสวรรค์ ดังนั้นตั้งแต่เมื่อเผ่าขนนกสวรรค์ไปตั้งถิ่นฐานในสันตินิรันดร์ ทั้งสองเผ่าก็ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง
เอี๋ยนจิงจิงเอนกายลงไปข้างหนึ่งและเลิกกระโปรงข้างนั้นขึ้นมาเผยขาของนาง ขานั้นเรียวยาวเป็นอย่างยิ่ง และขาวผุดผาดดุจหิมะ ในเมื่อนางไม่ได้ใส่กางเกงตัวยาวเอาไว้ข้างใน ภาพที่เห็นจึงดึงดูดตาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่า ฉินมู่มีความคิดไม่ดีไม่ร้ายขึ้นมาได้แวบหนึ่ง เขาก็สะกดระงับเอาไว้ เขาเคยตรวจอาการขาของเอี๋ยนจิงจิงมาก่อนในอดีต และแม้กระทั่งได้แตะต้องดูตั้งหลายหน ดังนั้นจึงยังควบคุมตัวเองได้อยู่บ้าง
“เปิดขาอีกข้างให้ข้าดูสิ ให้ข้าตรวจดูว่าทั้งสองข้างฟื้นฟูมาเสมอกันหรือไม่” ฉินมู่กล่าว
ฉินมู่นั่งยองๆ และตรวจดู เขาพบว่าขาของนางวางชิดกันโดยปราศจากช่องว่าง “พวกมันหายดีแล้วจริงๆ”
หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันเดินเข้ามาและกระแอมไออย่างต่อเนื่อง “อะแฮ่ม อะแฮ่ม ผู้พิทักษ์ตะวัน เอากระโปรงลงไปเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก”
เอี๋ยนจิงจิงรีบปิดกระโปรงลง และใบหน้าของนางก็แดงเรื่อขึ้นมา ฉินมู่ลุกขึ้นยืนด้วยความลุกลี้ลุกลน และตอนนั้นเขาถึงเพิ่งเห็นนักบุญคนตัดไม้ยืนอยู่ข้างหลังหัวหน้าเผ่านักต้อนตะวัน ในเมื่อร่างกายของหัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันทั้งแข็งแกร่งและใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก เมื่อครู่นี้เขาจึงไม่ทันเห็น
นักบุญคนตัดไม้เดินตรงมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม สีหน้าของฉินมู่ไม่แปรเปลี่ยน และเขาถาม “ทำไมอาจารย์ถึงมาที่นี่”
“ข้าเป็นคนออกแบบเรือตะวัน”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาในคราวนี้ เพราะข้ากะที่จะนำเอาพิมพ์เขียวที่ข้าทิ้งเอาไว้กลับไป และส่งต่อให้แก่สันตินิรันดร์ เพื่อให้วิศวกรแห่งสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างเรือตะวันและเรือจันทราหลายๆ ลำ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็กะว่าจะมาแยกชิ้นส่วนของเรือตะวันแห่งเผ่านักต้อนตะวันเพื่อวาดพิมพ์เขียวอย่างละเอียดไปใช้สร้างเรือตะวันสักหลายๆ ลำ โชคดีที่ว่าอาจารย์มาถึงล่วงหน้าก้าวหนึ่ง ไม่งั้นข้าคงจะแยกส่วนเรือตะวันออกเป็นชิ้นๆ”
ใบหน้าแดงฉานของหัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันกลายเป็นสีดำราวกับตะวันดับทันที เขาคิดในใจ จะแยกชิ้นส่วนเรือของพวกข้า? เจ้าได้ทุบดวงตะวันเป็นชิ้นๆ มาแล้วเมื่อคราวก่อนที่มา! โชคยังดีว่าเจ้าเกี่ยวลูกใหม่ขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังคิดจะแยกชิ้นส่วนเรืออีกรึ…
นักบุญคนตัดไม้เดินไปที่บ่อตะวันและกล่าว “เรือตะวันก่อสร้างไม่ยากหรอก แต่ด้วยรากฐานของสันตินิรันดร์ในตอนนี้ ไม่มีใครสามารถออกแบบมหาสมบัติชิ้นมหึมาขนาดนี้ได้ ถึงแม้ว่าข้าอาจจะเป็นผู้ออกแบบเรือตะวันและเรือจันทรา แต่ข้าก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความสำเร็จสูงสุดในด้านการหลอมสร้าง นั่นเป็นคนอีกผู้หนึ่ง!”
ฉินมู่หัวใจสั่นไหว และเขาก็ถาม “หรือคนผู้นั้นจะเป็นพุทธเจ้าตนหนึ่ง”
นักบุญคนตัดไม้เดินไปข้างๆ บ่อตะวันและมองลงไป “ตอนที่ข้ายังคงสอนหนังสืออยู่ เขายังไม่ได้เป็นหลวงจีน เมื่อเรื่องหัวใจได้รุมเร้าตัวเขา เขาก็หลบหนีเข้าสู่ลัทธิพุทธ และกลายเป็นศิษย์น้องของพุทธเจ้าพรหม เขาเป็นผู้ที่ออกแบบหมู่บ้านไร้กังวล…ในบ่อยังมีดวงตะวันอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพวกเราก็จะสามารถหลอมสร้างเรือตะวันได้สักจำนวนหนึ่ง”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้พบกับพุทธเจ้าท้าวสักกะมาก่อน ตอนนี้เขากำลังถูกจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณ ฉีเสียอวี๋ ไล่ล่าอยู่”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยความแตกตื่น “ถูกไล่ล่า? สมควรแล้วล่ะ แต่ในเมื่อเขาซ่อนตัวอยู่ในพุทธเกษตร จักรพรรดิแดงก็ย่อมไม่แตะต้องเขา แต่ทำไมคราวนี้นางถึงไล่ล่าเขาล่ะ”
“เขาก่อปัญหาบางอย่าง”
ฉินมู่พูดด้วยท่วงทีราวกับว่าตัวเขาไม่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น “เขาสร้างความวุ่นวายในพุทธเกษตร และสังหารสายลับของสภาสวรรค์ที่ฝังไว้ในพุทธเกษตรจนเกือบหมดสิ้น จากนั้นเขาก็สร้างแดนใต้พิภพเล็กๆ ในบรมสวรรค์แห่งพุทธเกษตร ดังนั้นพุทธเจ้าพรหมจึงถอดชื่อของเขาออกไปจากพุทธเกษตรและเนรเทศเขา จักรพรรดิแดงก็เลยฉวยโอกาสนี้ไล่ตามเขามา”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เขายังเยาว์และหล่อเหลา หนุ่มหล่อที่เลื่องชื่อในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรพรรดิแดงถึงไปชมชอบเขา ก็เพราะว่ารูปโฉมเป็นเหตุ”นักบุญคนตัดไม้ลุกขึ้นและเรียกเสือเทพยดาขนดำ เขาส่งพิมพ์เขียวปึกหนึ่งให้และกล่าว “ส่งพวกนี้ไปยังเมืองหลวง และมอบให้แก่จักรพรรดิ”
เสือเทพยดาขนดำรับคำสั่งและรีบรุดไป
นักบุญคนตัดไม้ปรายตามองฉินมู่และกล่าว “รูปโฉมงดงามเป็นรากเหง้าแห่งปัญหาทั้งปวง และเรื่องนี้ก็สะท้อนภาษิตดังกล่าวได้อย่างจริงแท้ที่สุด เขานั้นหล่อเหลาจนเกินไป ดังนั้นมีหญิงสาวหลายคนชมชอบเขา เจ้าเองก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่ลิงโลด “ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่าข้าหล่อมาก…”
“เจ้าดูพอใช้ได้ เพียงแค่ไม่นับว่าน่าเกลียด ปัญหาก็คือเจ้าชอบทิ้งสัมพันธ์รักไว้ทั่วทุกหนแห่ง”
นักบุญคนตัดไม้เทน้ำเย็นราดหัวเขาด้วยคำพูด และกล่าว “ด้วยพุทธเจ้าท้าวสักกะและนักปรุงยาหมู่บ้านเจ้าเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว เจ้าก็ควรจะระมัดระวัง สาวน้อย พวกเราไปตามหาผู้ที่จะสามารถตกดวงตะวันขึ้นมาได้กันเถอะ”
เอี๋ยนจิงจิงรับคำและเดินตามเขาไป ฉินมู่ก็ติดตามไปด้วย
นักบุญคนตัดไม้พาพวกเขาออกจากบ่อตะวัน และดวงตะวันก็ลอยสูงอยู่กลางฟ้า แต่เพราะว่าสวรรค์หลัวฝูปิดบังตะวันเอาไว้ ท้องฟ้าก็เลยค่อนข้างครึ้มอยู่สักหน่อย
“ชื่อฆราวาสของพุทธเจ้าท้าวสักกะคือหลี่โยวหราน และหลังจากความรักระหว่างเขากับจักรพรรดิแดงกลายเป็นเปรี้ยวฝาก เขาก็หันไปหาลัทธิพุทธและแสดงรากเหง้าแห่งปัญญาออกมา พุทธเจ้าพรหมมอบนามสักกะให้แก่เขา และเมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกลบล้าง เขาก็กะที่จะหลอมสร้างเรือเหาะขนาดมหึมาเพื่อบรรทุกสหายร่วมเผ่าแห่งเผ่าเทพวิศวกรรมไปยังหมู่บ้านไร้กังวล แต่เมื่อจักรพรรดิแดงไล่ตามมา เขาก็กลัวว่าจักรพรรดิแดงจะทำอันตรายสหายร่วมเผ่าของเขา และเลือกที่จะหลอกล่อจักรพรรดิแดงไปอีกทาง แต่ทว่า…”
นักบุญคนตัดไม้ถอนหายใจหลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง “เขากลับมาพบว่าเรือถูกทำลาย และผู้คนของเขาก็ตายไปหมด เขาคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นตายภายใต้น้ำมืออำมหิตของจักรพรรดิแดง และเขาก็ท้อแท้ถอดใจจนสิ้น ดังนั้นเขาจึงจากไป หลังจากจักรพรรดิแดงได้ยินว่าเขาไปบวชเป็นพุทธเจ้า นางก็ประกาศว่า หากเขาออกไปจากพุทธเกษตรเมื่อไหร่ นางจะคร่าชีวิตเขาเสีย ชื่อของเรือนั้นคือมหานาวาปารมิตา และมันก็อยู่ในแดนโบราณวินาศนี่เอง”
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงรับฟังจนตกในภวังค์ และเอี๋ยนจิงจิงก็โพล่งขึ้นมา “คนที่สังหารสหายร่วมเผ่าของเขา ใช่จักรพรรดิแดงไหม”
“ข้าไม่รู้”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “ด้วยความปั่นป่วนโกลาหลของสงคราม ใครจะรู้ได้ล่ะ”
ฉินมู่กล่าว “ข้าเคยไปที่มหานาวาปารมิตา และข้าคิดไปว่าที่นั่นคือหมู่บ้านไร้กังวล แต่เมื่อข้าไปถึง ข้าก็ตระหนักว่ามันไม่ใช่ มีใครบางคนปิดผนึกมหานาวาปารมิตาเอาไว้ และผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมดก็ติดอยู่ข้างใน เผ่าเทพวิศวกรรมเหล่านั้นได้ใช้เวลาสองหมื่นปีเพื่อทลายฝ่าผนึกออกมา และเหลือรอดออกมาจากที่นั่นได้ก็คือเด็กคนหนึ่งอันมีอายุเพียงไม่กี่ขวบ”
นักบุญคนตัดไม้ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นความผิดของหลี่โยวหราน เขาไม่ได้ตรวจสอบดูให้ดี และไปกับพุทธเจ้าพรหมโดยทันที หลังจากนั้น เด็กที่ได้ออกไปจากมหานาวาปารมิตาก็เติบโตขึ้น และต้องดิ้นรนคลุกฝุ่นอยู่ทุกวัน เขาถูกหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า และหลุดปากบอกความลับไปมากมาย เขาเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง เลยหักใจอำมหิตและเฉือนตัดลิ้นของตนเองออกไป เพราะกลัวความพูดมากของตนเอง”
ฉินมู่เงียบงัน
นักบุญคนตัดไม้กล่าวต่อ “เขาคือเผ่าเทพวิศวกรรมคนสุดท้าย และแม้ว่าเขาจะตัดลิ้นตัวเองไปแล้ว ผู้คนก็ยังหลอกตุ๋นเขา ดังนั้นเขาจึงไปซ่อนตัวอยู่ในแดนโบราณวินาศ และกลายเป็นช่างตีเหล็ก”
ฉินมู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้เขากำลังฝึกปรือคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล”
นักบุญคนตัดไม้พาพวกเขาผ่านร่องเหวไป และความเร็วของเขาก็ไวเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าว “ข้าหวังว่าเขาจะอดทนได้ไม่พูดมาก ไม่อย่างนั้นลิ้นของเขาคงถูกตัดไปอีกรอบไม่ช้าก็เร็ว”
ฉินมู่กล่าว “ตอนนี้เขาพูดไม่มาก แต่เขาด่าทอผู้คนได้เป็นไฟด้วยมือของเขา มันเร็วกว่าเขาพูดด้วยลิ้นเสียอีก”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าพูดถึงใคร นั่นคือท่านปู่ที่ตีเหล็ก สัญญาณมือของเขาเร็วสุดๆ และเขายังต้องอาศัยท่านปู่ที่มีหูเหล็กให้ช่วยแปลความหมาย”
ฉินมู่กล่าว “เมื่อเขาส่งสัญญาณภาษามือ ส่วนใหญ่แล้วคือการสบถด่า”
พวกเขามาถึงหุบเหวแห่งหนึ่งที่รกร้างผู้คน มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ที่นั่นมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งอันลึกไปไม่เห็นก้นบึ้ง ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงพวกว่าที่นั่นมีรูปสลักหินอยู่ และรูปสลักหินนั้นเป็นชายแก่ที่สวมหมวกไม้ไผ่สาน
มือหนึ่งของชายแก่กำลังลูบคางตนเอง และใกล้เท้าของเขาก็มีตะกร้าใส่ปลา
ชายแก่ผู้นี้ได้กลายเป็นหินอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ที่น่าประหลาดก็คือคันเบ็ดและสายตกปลาก็ได้กลายเป็นหินไปด้วย แม้แต่ตะกร้าใส่ปลาก็เป็นหิน
ฉินมู่ก้มลงดูตะกร้าปลา และเห็นสิ่งพิลึกกว่านั้น ข้างในนั้นถึงกับมีปลาหินสองตัว!
“ขนาดปลาก็ยังกลายเป็นหิน! หรือปลาสองตัวนี้ก็เป็นเทพเจ้าเหมือนกัน หากว่าพวกมันเป็น แล้วทำไมถึงถูกเกี่ยวเบ็ดขึ้นมาได้”
เขาค่อนข้างงงงวย
นักบุญคนตัดไม้มายังข้างๆ ชายแก่ตกปลา และนำเอาธูปดอกหนึ่งออกมา เขาจุดมันและปักไว้ข้างๆ ชายแก่ตกปลา “ศิษย์พี่ ได้เวลาตื่นแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จมูกของรูปสลักหินก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเนื้อหนัง และแผ่ขยายออกไปรอบๆ รูจมูก ไม่นาน เนื้อหินบนร่างของชายแก่ตกปลาก็จางหายไป เลือด เนื้อ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และกระทั่งเสื้อผ้าก็กลับมามีสีสันสดใส
คันเบ็ดในมือของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ แม้กระทั่งสายเบ็ดก็กลับมาเป็นเส้นอันนุ่มยืดหยุ่น!
ตะกร้าใส่ปลาที่เท้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติด้วยเช่นกัน และเสียงปลาพลิกตัวก็ดังมาจากข้างใน ปลาสีแดงสดสองตัวฟื้นกลับมามีชีวิต และดีดตัวไปมาสองทีในตะกร้า
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงยืนเซ่อจากภาพที่พวกเขาเห็น ทันใดนั้นชายแก่ตกปลาก็ยืดเหยียดหลังและขยับก้นตนเองที่นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ “หลับสบายอะไรอย่างนี้ คนตัดไม้ เจ้าปลุกข้ามาทำไม”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพื่อตกตะวันและจันทรา”
ชายแก่ตกปลาปลดหมวกไม้ไผ่ของเขาลง และเป่าฝุ่นผงบนนั้น ก่อนจะสวมมันกลับลงไป “ตะวันในบ่อตะวัน? จันทราในบ่อจันทรา? ด้วยความสามารถของเจ้า จะตกขึ้นมาก็ไม่น่ายาก แล้วทำไมเจ้าต้องปลุกข้าขึ้นมาด้วย”
“ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ไม่อาจแบ่งแยกสมาธิมาได้ ดังนั้นข้าจึงมีแต่ต้องปลุกศิษย์พี่ขึ้นมา”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวพลางถอนหายใจ “สองหมื่นปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสมัยใหม่ ศิษย์พี่ไม่ควรหลับใหลอีกต่อไป”
ชายแก่ตกปลายืนขึ้น และหยิบตะกร้าปลามาสะพายไว้บนหลัง หลังจากที่เขาม้วนสายเบ็ดเก็บและพาดคันเบ็ดไว้ที่ไหล่ เขาก็หันกลับไปพบฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิง
ศีรษะเขาใหญ่โตอันทำให้คอของเขาดูสั้น หมวกไม้ไผ่บนหัวของเขาติดอยู่กับมวยผม และใบหน้าของเขาก็ดูแก่เฒ่ากว่านักบุญคนตัดไม้มาก ทั่วทั้งหน้ามีรอยเหี่ยวย่นเต็มไปหมด แต่ดวงตาของเขากลมโต
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงคารวะทักทายเขา และผู้เฒ่าตกปลาก็ถาม “เด็กทั้งสองคนนี้คือ…”
“เด็กผู้ชายผู้นี้คือทายาทตระกูลฉินจากหมู่บ้านไร้กังวล และเด็กผู้หญิงก็คือผู้พิทักษ์ตะวันคนปัจจุบัน”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “มู่เอ๋อ นี่คือครูบาสวรรค์ชาวประมง เขาเป็นหนึ่งในสี่ครูบาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
ชายแก่ตกปลาโบกมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อสองหมื่นปีก่อน ไหนเลยจะยังมีครูบาสรรค์อยู่อีก คนตัดไม้ ข้าไม่ได้ไร้ยางอายเหมือนเจ้าที่ยังกอดตำแหน่งครูบาสวรรค์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทายาทตระกูลฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวลมายังแดนโบราณวินาศ หรือว่าจักรพรรดิก่อตั้งวางแผนที่จะสู้กลับ”
นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าหมองมัว
ชายแก่ตกปลาเห็นสีหน้าของเขาก็ส่ายหัว “หมู่บ้านไร้กังวลได้กลายเป็นรังนอนอันปลอดภัยไปเสียแล้ว และหัวใจของจักรพรรดิก่อตั้งก็อาจจะกลายเป็นแก่ชรา เขาไม่ยอมออกมาจากรังนอนอันแสนสุข พวกเราไปตกดวงตะวันมาสักหน่อยดีกว่า!”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวแก่ฉินมู่ “มู่เอ๋อ ไปกับเขา ข้ายังคงมีเรื่องอื่นต้องจัดการ” หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันกายและหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย
ชายแก่ตกปลาก็เก็บม้านั่งเล็กและเดินไปออกจากหุบเหว”เด็กน้อยสองคน ตามข้ามา”
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงรีบตามเขาไป และเอี๋ยนจิงจิงก็กระซิบกระซาบ “ยังมีปลาอยู่ในตะกร้าอยู่เลย…”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น หนึ่งในปลาสีแดงสุดที่นอนอยู่ข้างๆ ตะกร้าด้วยครีบของมันก็โผล่หัวปลาออกมา มันมองไปที่พวกเขาด้วยดวงตากลมเหมือนลูกปัดแล้วถาม “พวกเจ้าทั้งสองเป็นสามีภรรยากันหรือ”
เอี๋ยนจิงจิงหน้าแดงฉาน และนางก็ก้มหน้างุดด้วยความอาย “พวกเรายังไม่ได้เป็น…”
ปลาสีแดงอีกตัวโผล่หัวออกมาจากตะกร้า และเสียงของสตรีก็ดังมาจากร่างของนาง “แต่พวกเราเป็น” หลังจากกล่าวเช่นนั้น ริมฝีปากปลาสองตัวก็เข้าไปสัมผัสกันด้วยจุมพิต
ใบหน้าของเอี๋ยนจิงจิงยิ่งแดงฉานเข้าไปใหญ่ และนางก็กระตุกแขนเสื้อของฉินมู่ ฉินมู่กลับมาได้สติเมื่อนางกระตุกแขนเสื้อเขา เขาพึมพำ “ต้มพวกเขาในน้ำซุปน่าจะยิ่งอร่อยขึ้น…น้องสาวจิง มีอะไรหรือ”