ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 677 ตกตะวัน ตกจันทรา
เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินตามชายแก่ตกปลาไป ขณะที่ปลาสีแดงทั้งสองสนทนาอยู่กับพวกเขา ฉินมู่ถามโน่นนี่นั่น และไม่นานเขาก็รู้ว่าปลาทั้งสองเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เฒ่าตกปลา เขาเลี้ยงทั้งคู่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ
ปลาสองตัวนี้บรรลุเป็นเทพเจ้าไปนานแล้ว และพวกมันเพียงแต่เกียจคร้านเกินกว่าที่จะแปลงร่างเป็นมนุษย์ พวกมันจึงอยู่แต่ในตะกร้าและปล่อยให้เจ้าของแบกพวกเขาไปมา
“เขาไม่เคยตกปลาขึ้นมาได้เลยสักครั้ง!”
ปลาแดงทั้งสองตัวลิงโลดยินดี และหนึ่งในนั้นกล่าว “นั่นเพราะว่าตอนที่เขาตกปลา ปลาตัวอื่นๆ ถูกพวกเราข่มขวัญให้หวาดกลัว แต่เขาก็ยังคงเรียกตัวเองว่ามือเบ็ดศักดิ์สิทธิ์ไม่มีวันพลาดเป้า ตะขอของเขาไม่เคยเหวี่ยงออกไปโดยไร้ผล!”
ปลาทั้งสองดูจะหัวเราะคิกคัก และภาคภูมิใจในตนเองมาก
เอี๋ยนจิงจิงก็หัวเราะเริงรื่น เด็กสาวไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างนี้มาก่อน
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวจิง เจ้าควรจะแย้มยิ้มให้มากเข้าไว้ เจ้าดูสวยน่ารักจริงๆ ตอนที่ยิ้ม”
เอี๋ยนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าว “ชาวเผ่าตะวันไม่ค่อยจะแย้มยิ้มและมาสนทนากับข้า พวกเขาเคร่งขรึมสำรวมสุดๆ และก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าสนุกสุขใจ เมื่อข้าลอบออกไปที่สันตินิรันดร์กับเจ้าในคราวก่อน ข้ามีความสุขมาก”
นางกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน เพื่อทำตามคำสัญญา เขาได้ท่องเที่ยวไปกับฮู่หลิงเอ๋อ และหลิงอวี้จิวไปยังบ่อตะวัน เกี่ยวดวงตะวันขึ้นมาจากบ่อเพื่อช่วยชีวิตเอี๋ยนจิงจิง จากนั้นเขาก็ลักพาตัวนาง และพาเด็กสาวไปพบท่านยายซีที่สถาบันนักบุญสวรรค์
แต่ทว่า การรุกรานของเหนือฟ้าพลันเกิดขึ้น และการต่อสู้นองเลือดก็ปะทุที่เทือกเขาเทพทำลาย เอี๋ยนจิงจิงเข้าร่วมการต่อสู้ และกลับไปยังบ่อตะวันหลังจากนั้น นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็คะเนว่านางคงจะทำตามหน้าที่ผู้พิทักษ์ตะวันแห่งบ่อตะวัน ยากนักที่จะมีเวลาปลีกตัวไปไหน
ฉินมู่มีเรื่องธุระมากมายที่ต้องจัดการ ทำให้ครั้งคราวที่เขามาเยือนบ่อตะวันก็น้อยนิด มีแต่อวี่จ้าวชิง หลิงอวี้จิว ฮู่หลิงเอ๋อ และคนอื่นๆ ที่จะแวะมาเยือนเป็นระยะ
“เจ้ายังหากายาวิญญาณหยางพิสุทธิ์มาทำหน้าที่แทนไม่ได้หรือ”
ฉินมู่ถาม “กายาหยางพิสุทธิ์สามารถขับเรือตะวันได้ และไม่ถูกเรือดูดกลืนปราณและโลหิตเข้าไป ทำให้พวกเขาไม่สูญเสียอายุขัย นักต้อนตะวันน่าจะมีกายาวิญญาณหยางพิสุทธิ์คนอื่นๆอีก ใช่หรือไม่”
เอี๋ยนจิงจิงส่ายหัว “ไม่มีเลย ท่านปู่หัวหน้าเผ่าบอกว่าสายเลือดของข้านั้นสูงส่งกว่ามาก ข้าอาจจะให้กำเนิดได้สักคนหนึ่ง แต่ข้ายังหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่เจอ ข้าให้กำเนิดบุตรธิดาด้วยลำพังตนเองไม่ได้”
ปลาทั้งสองที่กำลังคุยจ้อกันไปมากลายเป็นเงียบกริบ พวกมันมองไปที่ทั้งคู่ด้วยดวงตากลมโตอันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก อ้าปากกว้าง และการเปิดปิดเหงือกไปมาก็เงียบสงัด
ปลาทั้งสองตื่นเต้นสุดๆ และพวกมันก็จับครีบเข้าด้วยกัน
ฉินมู่คิดอยู่นิดหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กายาวิญญาณหยางพิสุทธิ์จะเกิดมาแบบนั้นได้อย่างไร หัวหน้าเผ่าจะต้องโกหกเจ้าแน่ๆ จักรพรรดิแห่งสันตินิรันดร์ได้บัญชาให้ไปสำรวจประชากรของผู้คนแห่งสันตินิรันดร์แล้ว ดังนั้นพวกเราอาจจะสามารถเสาะหากายาวิญญาณหยางพิสุทธิ์และกายาวิญญาณหยินพิสุทธิ์ได้สักจำนวนหนึ่ง”
“สิ้นหวังจริงๆ”
ปลาทั้งสองปล่อยครีบออกจากกัน และทิ้งตัวกลับลงไปในตะกร้า พวกมันนอนแผ่ และปลาตัวเมียก็กระซิบ “เขาคงจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต เจ้าว่าไหม”
ฉินมู่เห็นว่าจู่ๆ เด็กสาวก็ผิดหวัง เขาจึงจั๊กจี้รักแร้ของนาง นางรีบดิ้นหนี แต่ฉินมู่ก็ยังวิ่งไล่ เอี๋ยนจิงจิงจั๊กจี้จนน้ำตาไหล ดังนั้นนางจึงจี้เขากลับ เด็กหนุ่มและเด็กสาววิ่งไล่กันอย่างครึกครื้นรอบๆ ผู้เฒ่าตกปลา และเสียงหัวเราะของพวกเขาก็ดังมาไม่หยุดหย่อน
เอี๋ยนจิงจิงหัวเราะจนหมดแรง และนางก็ได้แต่นอนแผ่ลงไปในพุ่มไม้เขียวขจี ผลักฉินมู่เอาไว้ราวกับลูกแมวที่ถูกหยอก ฉินมู่หักใจแกล้งนางต่อไม่ลง และก็นอนแผ่ลงไปเช่นกัน
เมื่อทั้งสองคนนอนลงไปใต้พุ่มไม้ ฉินมู่ก็จับคางของเด็กสาวข้างๆ เขา และใบหน้าของเอี๋ยนจิงจิงก็แดงขึ้นมาจากสายตาอันจดจ้องของเขา หัวใจนางเต้นตึกตักอย่างรุนแรง และแขนขานางก็แผ่ลงกับพื้นอย่างเชื่องเชื่อ ไม่กล้ากระดุกกระดิก
“สถานการณ์ดูคลุมเครือ…” ปลาสองตัวในตะกร้าโผล่หัวออกมามองไปที่ใต้พุ่มไม้
เอี๋ยนจิงจิงยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นทุกที และเสียงของนางก็หวี่เบาเหมือนยุงบิน “พวกเราเกือบจะไปถึงบ่อตะวันแล้ว…”
“จริงด้วย!”
ฉินมู่รีบลุกขึ้นและดึงเด็กสาวให้ลุกตามมา เขารีบตามผู้เฒ่าตกปลาไปอย่างรวดเร็ว
ปลาสองตัวทิ้งตัวกลับไปในตะกร้า และปลาตัวผู้ก็กล่าวอย่างอ่อนแรง “เขาจะเป็นโสดไปชั่วนิรันดร์ เขามันเกินเยียวยา”
เมื่อทั้งหมดไปถึงบ่อตะวัน หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันก็รีบออกมาต้อนรับ ผู้เฒ่าตกปลาไม่รู้ว่าเขาคือใคร และหัวหน้าเผ่าก็ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าตกปลาคือใคร ดังนั้นฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงจึงรีบแนะนำทั้งสองคนเข้าด้วยกัน
เมื่อหัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันได้ยินว่าเขาคือครูบาสวรรค์อีกคน เขาก็ฉงนฉงาย ครูบาสวรรค์แห่งยุคจักรพรรดิก่อตั้ง คนหนึ่งเป็นคนตัดไม้ คนหนึ่งเป็นชาวประมง ทำไมพวกเขามีแต่ติดดินแบบนี้ ไม่มีบรรยากาศของผู้อยู่เบื้องบนเลยสักนิด
ผู้เฒ่าตกปลามายังข้างบ่อและวางม้านั่งของเขาลงไป เขารีดสายเบ็ดให้เรียบตึงและถาม “พวกเจ้าต้องการดวงตะวันกี่ดวง”
หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันรีบกล่าว “พวกเรายังคงไม่รู้ว่า สันตินิรันดร์จะสร้างเรือตะวันได้กี่ลำ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีเรือตะวัน แต่หากไม่มีผู้พิทักษ์ตะวัน ก็ยากที่จะควบคุมเรือเช่นนี้”
ผู้เฒ่าตกปลาครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง และกล่าว “ข้าจะตกดวงตะวันขึ้นมาจำนวนหนึ่ง และผูกเอาไว้ให้เจ้า พวกเจ้าสามารถใช้สอยพวกมันได้ยามที่ต้องการ”
หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันอ้าปากค้างและพูดตะกุกตะกัก “ผะ–ผูกดวงตะวัน”
ผู้เฒ่าตกปลาไม่สนใจเขาอีกต่อไป และเพียงแค่ปล่อยสายเบ็ดลงไปในบ่อตะวัน ปลาสองตัวกระโดดออกมาจากตะกร้าของเขา และปลาตัวหนึ่งงับเบ็ดเอาไว้ จากนั้นก็แหวกว่ายเข้าไปยังส่วนลึกของบ่อตะวัน ขณะที่ปลาน้อยสีแดงอีกตัวแหวกว่ายไปรอบๆ ในบ่ออันสว่างจ้า ดูไม่รู้ร้อนเลยสักนิด
ฉินมู่ชินชากับภาพพิสดารแบบนี้แล้ว ปลาน้อยสีแดงสองตัวที่สามารถพูดจาและกระโดดโลดเต้นไปมาแม้ว่าจะไม่มีน้ำ ก็เป็นภาพอันน่าแตกตื่นพอแล้ว แต่ภาพที่พวกมันงับเบ็ดตกปลาแล้วแหวกว่ายไปในความร้อนแผดเผานั้นยิ่งน่าแตกตื่น
แต่ทว่า เหตุการณ์น่าแตกตื่นพวกนี้เป็นมาตรฐานประจำวันของแดนโบราณวินาศ มักจะมีปลาใหญ่ที่กระโดดออกมาจากแม่น้ำหย่งอยู่บ่อยๆ และพวกมันก็วิ่งเร็วกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วไปเสียอีก
เมื่อมาถึงปีอันแห้งแล้ง ปลาในแดนโบราณวินาศยังถึงกับเรียกลมเรียกฝนได้ ควบคุมลมฝนเพื่อเคลื่อนย้ายจากทะเลสาบแห้งผากไปยังแหล่งน้ำสมบูรณ์แหล่งอื่นๆ
เขายืนอยู่ข้างๆ บ่อและมองลงไป และก็เห็นแต่ปลาเล็กที่ลากตะขอเบ็ดและสายเบ็ดเข้าไปในส่วนลึกของบ่อตะวัน ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ไม่นานก็ใหญ่หลายร้อยวา และความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น มันไปถึงกองดวงตะวันที่ถูกหลอมสร้างโดยเทพเจ้าอย่างรวดเร็ว และคายตะขอเบ็ดออกมา ใช้ตะขอนั้นเกี่ยวเข้ากับดวงตะวันดวงหนึ่ง
ผู้เฒ่าตกปลาม้วนสายเบ็ดกลับมา และผ่านไปสักพัก ดวงตะวันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบก็ถูกเขาตกขึ้น
ข้างหลังผู้เฒ่าตกปลา จิตวิญญาณดั้งเดิมมอันใหญ่โตมโหฬารพลันปรากฏและยื่นแขนของมันออกไป แขนของมันอุ้มดวงตะวันเทพรังสรรค์เอาไว้ และดวงตะวันก็ค่อยๆ หดเล็กลงๆ จากการถูไปมาบนพื้นผิว
ไม่นานนัก ดวงตะวันก็กลายเป็นลูกบอลกลมๆ อันมีขนาดเท่าแตงโต ผู้เฒ่าตกปลาใช้สายเอ็นมัดมันเอาไว้ และแขวนไว้ข้างๆ บ่อ ก่อนจะตกตะวันต่อ
หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันมีสายตาอันจังงัง และไม่นานนัก คนตกปลาท่าทางธรรมดาก็ได้เกี่ยวดวงตะวันอีกดวงขึ้นมา ก่อนที่จะผูกเอาไว้ข้างๆ บ่อ
ไม่นานนัก เขาก็ตกดวงตะวันขึ้นมาสิบกว่าดวง และพวกมันทั้งหมดล้วนแต่มัดเอาไว้ข้างๆ บ่อ เขาเก็บสายเบ็ด และปลาแดงน้อยทั้งสองก็กระโดดออกมาจากบ่อตะวัน กระโจนกลับเข้าไปในตะกร้าของเขา
ผู้เฒ่าตกปลาพาดคันเบ็ดของเขาและเก็บม้านั่ง เขากล่าว “ข้ายังจะไปที่บ่อจันทราเพื่อตกดวงจันทร์จำนวนหนึ่ง บุตรแห่งฉิน เจ้าจะไปด้วยไหม”
ฉินมู่ผงกหัวรัวๆ และกล่าว “ข้าได้ทุบทำลายเรือจันทราไป และยังทุบทำลายดวงจันทร์บนเรือ ข้ายังอยากจะดูว่าจะมีเรือจันทราอื่นๆ เหลืออีกมั้ย หากว่าไม่มี พวกเราอาจจะต้องไปดูที่แผ่นดินตะวันตก อาจจะมีเรือจันทราอยู่ที่นั่นจำนวนหนึ่ง”
ผู้เม่าตกปลาพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ก็ไปกันเถอะ”
เขาเดินออกจากบ่อตะวัน แต่ฉินมู่ลังเล “อาจารย์ลุง พวกเราไม่มุ่งหน้าไปบ่อจันทราผ่านทางบ่อตะวันนหรอกหรือ หากว่าเราเดินไปบนแผ่นดิน การเดินทางก็จะค่อนข้างยาวไกล ยิ่งไปกว่านั้น บ่อจันทรายังถูกกั้นเอาไว้ที่ฝั่งตะวันตกของแดนโบราณวินาศด้วยสวรรค์หลัวฝูและสวรรค์ไท่หวงอีก”
ผู้เฒ่าตกปลากล่าว “ไม่จำเป็น ข้าต้องการจะแวะไปดูสวรรค์ไท่หวงด้วย”
ฉินมู่จึงได้แต่เรียกกิเลนมังกรมาและกล่าว “การเดินทางค่อนข้างยาวนาน พวกเราขึ้นไปบนมังกรอ้วนกันเถอะ”
กิเลนมังกรที่เดิมทีกำลังอาบแดดอยู่ที่บ่อตะวัน เขาตอบฉินมู่เมื่อได้ยินที่เขาพูด “จ้าวลัทธิ ข้าแบกเทพเจ้าไม่ได้”
ผู้เฒ่าตกปลาดวงตาเป็นประกายและกล่าวชม “กิเลนมังกรองอาจผึ่งผายขนาดนี้เชียว! ทำไมเจ้าไปเรียกเขาว่ามังกรอ้วน”
ฉินมู่ลังเล แต่ก็ไม่บอกเขาไปว่าเดิมทีกิเลนมังกรมีรูปลักษณ์อย่างไร ผู้เฒ่าตกปลากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องแบกข้าหรอก เจ้าเพียงแต่ต้องตามปลาของข้ามาเท่านั้น” หลังจากเขากล่าวจบ ปลาน้อยสีแดงก็กระโดดออกจากตะกร้า
ปลาน้อยสีแดงขยายขนาดขึ้นมาในสายลม และไม่นานก็กลายเป็นคุนสีแดงขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าร้อยห้าสิบวาอันลอยอยู่ในอากาศ
ผู้เฒ่าตกปลากระโดดขึ้นไปบนหลังปลา และครีบของปลายักษ์ก็สั่นเทิ้มไปมาราวกับปีกที่กระพือไป ขณะที่หางก็แกว่งไกวทั้งซ้ายและขวา ความเร็วของมันบนท้องฟ้ารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หัวใจแตกตื่น และเขาก็ฉุดมือของเอี๋ยนจิงจิงเพื่อกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร กิเลนมังกรร้องคำรามเสียงกึกก้องราวกับเสียงมังกรคำรามและกิเลนคำรามผสมกัน ร่างกายของเขาขยายใหญ่อย่างอัศจรรย์ และแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ยักษ์ที่ตัวยาวเก้าสิบวา เขาเหยียบไปบนเมฆอัคคี และไล่ตามคุนแดงยักษ์ไป
ในจังหวะที่เขาย่างเท้า เขาก็รวดเร็วปานสายฟ้า และเพราะว่าเขามีสายเลือดของมังกรเขียว ประกายฟ้าก็จะพุ่งวูบวาบ และอสุนีบาตก็จะครั่นครื้นกลิ้งไปยามที่เขาตะบึงด้วยความเร็วเต็มพิกัด เขาดูเหมือนสัตว์พิสดารครึ่งกิเลนครึ่งมังกรมากยิ่งขึ้นเมื่อร่างของเขาห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้า และที่เท้าก็มีเปลวเพลิง
นี่ยังคงเป็นครั้งแรกอันฉินมู่ได้เห็นความเร็วเต็มพิกัดของกิเลนมังกร เขาทั้งแตกตื่นและปีติยินดี การขัดเกลาด้วยหม้อห้าอัสนีนั้นได้ผลจริงๆ! น่าเสียดายว่าด้วยยอดฝีมือเผ่ามังกรมากมายขนาดนั้น พวกเราสามารถฝึกปรือได้ไม่กี่เดือน หากว่าพวกเราสามารถฝึกปรือแบบนั้นต่อไปอีก มังกรอ้วนก็คงจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะไปแล้ว!
ตอนนั้นกิเลนมังกรบรรลุขั้นวรยุทธเป็นตาย และยาวิญญาณที่เขากินเข้าไปได้แปรเปลี่ยนไปเป็นไขมันอันพอกพูนในร่างกายของเขาทั้งหมด เขานั้นอ้วนจนกลมดิกเป็นลูกบอล และหลังจากที่ไปเคี่ยวกรำในหม้อห้าอัสนีในเมืองหลี ฤทธิ์พลังยาของเขาก็ย่อยสลาย และเข้าไปควบแน่นเป็นลูกแก้วมังกรและลูกแก้วกิเลนของเขา มันเพิ่มพูนวรยุทธของเขาไปอย่างก้าวกระโดด!
ความเร็วของเขาก็ยกระดับขึ้นไปอย่างอัศจรรย์ หากว่าไม่ใช่เพราะต้องไล่ตามคุนแดงยักษ์ให้ทัน กิเลนมังกรก็คงไม่รู้ว่าเขาวิ่งได้เร็วขนาดไหน
บนหลังกิเลนมังกร ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงมองไปยังทิวทัศน์โดยรอบ อันห้อมล้อมไปด้วยสายฟ้า แม้แต่ลมก็ไม่อาจพัดผ่านเข้ามาในโล่อันก่อขึ้นมาจากสายฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง
แม้ว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ กิเลนมังกรก็ไม่อาจไล่กวดคุนแดงยักษ์ได้ทัน ก็ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นเป็นปลาเทพยดาที่ได้ติดตามผู้เฒ่าตกปลามานับปีไม่ถ้วน อีกฟากหนึ่งนั้น กิเลนมังกรยังไม่โตเต็มที่เลยด้วยซ้ำ เขานับได้ว่าเป็นสัตว์พิสดารร่างเด็ก ก็ย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าความเร็วของเขาไม่อาจทัดเทียมคุนแดงยักษ์
กิเลนมังกรพุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ครึ่งวัน แม้ว่าจะมีความอดทนสูงขึ้นมา แต่เขาก็ยังน้ำลายฟูมปากจากความเหนื่อย เขาก็ยังคงไล่ตามคุนแดงยักษ์ไม่ได้อยู่ดี
แม้กระนั้น ฉินมู่ก็ยังคงแตกตื่นและยินดี แม้ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัดไปตลอดครึ่งวันไม่ได้ แต่ก็ยังวิ่งตะบึงไปเป็นหมื่นลี้ด้วยเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่การวิ่งไปเต็มเหยียดตลอดหนึ่งหมื่นลี้นี้ก็จะทำให้เขาเหนื่อยหมดแรงไปพักหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่กิเลนมังกรผอมลง ความอดทนของเขาก็แข็งแกร่งขึ้น
ปลาแดงยักษ์ข้างหน้าหยุดลงและลอยอยู่บนอากาศอย่างสบายๆ กิเลนมังกรรีบวิ่งเข้าไป และผู้เฒ่าตกปลาก็หันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลว ขึ้นมาสิ”
กิเลนมังกรหดย่อร่างลง และกระโดดขึ้นไปบนหลังคุนแดงยักษ์ ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงก็กระโดดขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ผู้เฒ่าตกปลาสำรวจตรวจตรากิเลนมังกรและกล่าวชม “อาชาสวรรค์จริงๆ สัตว์พิสดารนี้ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาก็สามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้ขณะที่แบกเทพเจ้ามาตนหนึ่ง เขาจะโดดเด่นเหนือธรรมดาขนาดไหนกันหลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่”
“แบกเทพเจ้าตนหนึ่ง?”
ฉินมู่และกิเลนมังกรล้วนแต่อ้าปากค้าง เอี๋ยนจิงจิงกล่าวอย่างเอียงอาย “ข้าได้ซ่อมแซมสะพานเทวะเมื่อครึ่งปีก่อน และจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็กระโดดไปที่หน้าปราสาทสวรรค์แล้ว”
กิเลนมังกรกระโดดโหยงด้วยความตกใจและร้องออกมา “ข้าวิ่งได้ไกลขนาดนี้ขณะที่แบกเทพเจ้าอยู่เชียวหรือ ข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว! จ้าวลัทธิ ดูสิ ข้าแข็งแกร่งมากๆ เลยนะ ข้าต้องการเพิ่มอาหาร!”
ฉินมู่ก็ตื่นตะลึงเช่นกัน แต่หูเขากรองคำที่ร้องขอเพิ่มอาหารออกไปโดยอัตโนมัติ “น้องสาวจิง เจ้าฝึกปรือโดยใช้เรือตะวันหรือ มันจะมีปัญหาไหมในเมื่อวรยุทธของเจ้าเพิ่มพูนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้”
ผู้เฒ่าตกปลากล่าว “มันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน หยินและหยางไม่อาจงอกงามได้โดยลำพัง และในเมื่อนางฝึกปรือรวดเร็วขนาดนี้ ก็ย่อมมีข้อเสียเกิดขึ้น รากฐานของนางจำเป็นต้องได้รับการหนุนเสริมอย่างหนักหนาสาหัส”
ฉินมู่รีบกล่าว “พวกเราจะซ่อมแซมได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าตกปลามองไปที่หว่างคิ้วของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีบางอย่างในร่างกายที่สามารถสะกดข่มปราณหยางพิสุทธิ์อันกำลังจะปะทุออกจากร่างของนางได้ เพื่อสร้างความเสถียรแก่รากฐานของนาง มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะหักใจให้ไปหรือไม่เท่านั้น”
“บางอย่างในร่างกายของข้า”
เอี๋ยนจิงจิงหน้าแดงฉาน และนางกล่าวอย่างเอียงอาย “ใช่การฝึกประสานคู่ไหม หัวหน้าเผ่าบอกว่าข้าสามารถฝึกประสานคู่เพื่อปรับสมดุลหยินหยาง…”
“เจ้าคิดอะไรของเจ้า หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันของเจ้าก็เป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่รู้เลยสักสิ่ง”
ผู้เฒ่าตกปลาส่ายหัวและชี้สองนิ้วไปที่หว่างคิ้วของฉินมู่ เขาดึงเอาปราณหยินพิสุทธิ์เส้นหนึ่งออกมาจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณ “สายปราณหยินพิสุทธิ์เส้นนี้ เจ้าน่าจะได้รับมอบมาจากเทพเจ้า ใช่หรือไม่ เจ้าเพียงแต่ต้องมอบปราณหยินพิสุทธิ์นี้ให้แก่เด็กสาวน้อย และมันก็จะไร้ปัญหา เจ้ายินดีไหมล่ะ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นสิ่งที่เทพเจ้าอันตายไปในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมอบให้แก่ข้า ตราบเท่าที่น้องสาวจิงสามารถแข็งแรงดีได้ ทำไมข้าจะไม่ยินดีล่ะ”
………..