ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 679 พบราชันย์ขุนนางอีกครั้ง
“ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ นักไถนา?”
ฉินมู่อดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นครูบาสวรรค์คนนี้ และพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “นักบุญคนตัดไม้นั้นได้รับยกย่องเป็นนักบุญ แล้วครูบาสวรรค์ทุกคนเป็นนักบุญหมดหรือเปล่า”
“ไม่เลย”
ผู้เฒ่าตกปลาส่ายหัวและกล่าว “ท่ามกลางสี่ครูบาสวรรค์ มีก็แต่เขาที่สามารถเรียกได้ว่านักบุญ”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย และเขากล่าว “แต่ท่ามกลางครูบาสวรรค์ทั้งสี่ วรยุทธของอาจารย์คนตัดไม้คงจะอ่อนด้อยที่สุด ใช่หรือไม่”
ผู้เฒ่าคนตัดไม้เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้ม “หากว่าการเป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์วัดกันที่กำลังฝีมือ ก็คงมีนักบุญอยู่ทั่วหัวระแหงในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง คนตัดไม้เป็นนักบุญนั้นไม่ใช่เพราะวรยุทธของเขา แต่เพราะว่าผลงานและความคิดอันโดดเด่นเหนือธรรมดา เขาได้ก่อตั้งหินเส้าให้แก่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเป็นเวลาสองหมื่นปี และเขาเป็นผู้นำของครูบาสวรรค์ทั้งสี่ น่าเสียดายที่มีเวลาเพียงแค่สองหมื่นปี”
ฉินมู่อยากจะถามมากกว่านั้น แต่ผู้เฒ่าได้เพ่งสมาธิกับการตกเบ็ด และไม่บอกเล่าเรื่องราวของครูบาสวรรค์คนอื่นๆ ต่อ
ทำไมอาจารย์คนตัดไม้ถึงได้กลายมาเป็นผู้นำของมหาครูบาสวรรค์ทั้งสี่ได้นะ แล้วใครคือครูบาสวรรค์อีกคนกันล่ะ
ฉินมู่ระงับความสงสัยในใจและขับเคลื่อนนำทางวิญญาณเพื่อเรียกดวงวิญญาณของนักต้อนจันทราจากแดนใต้พิภพ โครงกระดูกนักต้อนจันทราจำนวนนับไม่ถ้วนลุกขึ้นมายืนตามๆ กัน
กิเลนมังกรตัวสั่นเทาและรีบมุดหัวเข้าไปในดิน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นดู
เอี๋ยนจิงจิงเดินเข้าไปปลอบโยนเขา “หมาน้อยตัวใหญ่ อย่ากลัวไปเลย พวกเขาตายไปหมดแล้ว พวกเขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ทันใดนั้น ผู้นำทางความตายก็รีบรุดมาบนเรือกระดาษ และลมเย็นเยือกก็พัดมา เขามายังประตูน้อมสวรรค์แต่ไม่ข้ามออกมายังโลกแห่งคนเป็น เขาตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “คราวนี้เจ้าก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว ข้าจะมีเวลาสงบสุขสักหน่อยเลยไม่ได้รึ”
ฉินมู่รีบคารวะทักทายและกล่าว “ราชันย์ขุนนาง ข้าทนดูผู้คนที่เที่ยงธรรมเหล่านี้ทอดร่างกายกองในที่ร้างไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเชิญดวงวิญญาณของพวกเขาให้มากลบฝังตัวเองไว้ในดิน หลังจากที่กลบฝังแล้ว ข้าจะปล่อยให้พวกเขากลับไปที่แดนใต้พิภพ ละเว้นด้วย ละเว้นด้วย!”
ผู้นำทางความตายสีหน้าอ่อนโยนลง และเขามองไปยังผู้เฒ่าตกปลาที่กำลังตกดวงจันทร์อยู่ เขาดูเหมือนจะพยายามข่มกลั้นความกลัว “ฉินเฟิงชิง ข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล แต่เจ้าจะเอาแต่เรียกผู้คนออกไปจากแดนใต้พิภพครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้นะ หากว่าเจ้าทำแบบนี้ ข้าจะไปตอบภูติบดีว่าอย่างไร! ดวงวิญญาณของคนพวกนี้ รีบๆ คืนพวกเขากลับมาหลังจากที่เจ้าเสร็จธุระ! ภูติบดีจะเขียนเรื่องนี้กาไว้บนหัวเจ้า”
ฉินมู่ให้เหล่านักต้อนจันทราขุดหลุมศพของตนเอง และเขาก็กล่าวกับผู้นำทางความตายข้ามประตูน้อมสวรรค์ “จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีสมุดน้อยไว้คอยจดว่าเขาตัดหัวแต่ละคนไปกี่รอบแล้ว หรือว่าภูติบดีก็มีสมุดน้อยเหมือนกัน ราชันย์ขุนนาง ไม่ทราบว่าความผิดทั้งหลายของข้าโดนกาไปกี่ขีดแล้วในสมุดน้อยของภูติบดี”
ผู้นำทางความตายยิ้มหยันและกล่าว “ของคนอื่นน่ะข้าไม่รู้ แต่ของเจ้าน่ะไม่ใช่สมุดน้อยแน่นอน มันหนาปึกเท่านั้น!”
เขากางแขนแสดงตัวอย่าง “ทั้งหมดนี่คือวีรกรรมอันดีงามของเจ้า!”
ฉินมู่สีหน้าดำคล้ำทันที
นักต้อนจันทราทั้งหลายได้ขุดหลุมศพของตน และจารึกป้ายไว้อย่างเหมาะสม พวกเขานั่งอยู่ในหลุมศพ และโครงกระดูกก็คารวะแก่ฉินมู่ตามๆ กัน “ขอบคุณ กษัตริย์มนุษย์!”
ฉินมู่คารวะตอบกลับไปและกล่าว “ขอให้ทหารผู้เที่ยงธรรมทั้งหลายพักผ่อนโดยสงบ”
โครงกระดูกนักต้อนจันทรานอนลงไป และดวงวิญญาณอันห้าวหาญของพวกเขาก็ลอยขึ้นมา ดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นลอยผ่านเข้าไปทางประตูน้อมสวรรค์ กลับไปยังแดนใต้พิภพ ฉินมู่คารวะเป็นครั้งสุดท้ายและโบกมือให้ ปิดสุสานลงไป
ผู้นำทางความตายกล่าว “ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องในวันนี้ แต่จะจดไว้ว่าเป็นความผิดพลาดหนึ่งครั้ง”
ฉินมู่เดินไปท่ามกลางสุสาน และเขามองไปยังนามบนป้ายหลุมศพ เขาได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายและหันกลับไปตอบ “สงครามที่สวรรค์ไท่หวง บันทึกเป็นตายในมือของอาคันตุกะแดนบาดาล ได้อัญเชิญดวงวิญญาณของเผ่ามารและมารเทวะมากมายกลับเข้าไปในโครงกระดูก ความผิดพลาดนี้ใหญ่หลวงแค่ไหน ภูติบดีได้จดมันไว้หรือไม่”
ผู้นำทางความตายตะลึงไปเล็กน้อยและไม่ปริปาก
ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “แม้แต่ภูติบดีก็หวั่นเกรงจักรพรรดิดำแดนบาดาล? แดนบาดาลเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพมิใช่หรือ เมื่อจักรพรรดิดำไปแบ่งแยกส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพเพื่อสร้างแดนบาดาล ภูติบดีก็ไม่กล้าผายลมออกมาสักคำ อาคันตุกะแดนบาดาลได้ใช้บันทึกเป็นตายเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณมารมากมาย และบูชายัญดวงวิญญาณเหล่านั้นเพื่อทำลายสวรรค์หลัวฝูและสวรรค์ไท่หวง ภูติบดีก็ไม่กล้าผายลมสักคำเช่นกัน!”
ผู้นำทางความตายเดือดดาล “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าไม่กล้าผายลมสักคำ”
ผู้เฒ่าตกปลาหูบิดกระตุก และเขาจับคันเบ็ดไว้แน่น พร้อมที่จะไปช่วยชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ เขาคิดในใจ บุตรแห่งฉินไม่รู้จักกะประมาณความหนักเบาของเรื่องราว ผู้นำทางความตายนี้เป็นร่างแยกของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ และยังไปก้าวร้าวล่วงเกินอีก ยิ่งไปกว่านั้น เขาถึงกับลบหลู่ภูติบดี ราชันย์ขุนนางเทียมสวรรค์คงจะไม่ปล่อยเขาไป…
สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “ข้าเพียงแค่พูดว่าภูติบดีนั้นขี้ขลาดจนเกินไป อย่างน้อยก็พูดอะไรสักอย่างสิ”
“อะไรถึงเรียกว่าขี้ขลาด” ผู้นำทางความตายยังคงโมโห
ฉินมู่ลังเลและเงียบปาก
ผู้เฒ่าตกปลากระวนกระวายสุดๆ และกล้ามเนื้อบนหลังของเขาก็เกร็งเขม็งไปหมด ประสาทของเขาก็เขม็งเกลียวประดุจสายธนูที่พร้อมจะน้าวออกไป พลางครุ่นคิดในใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาลบหลู่ภูติบดี ราชันย์ขุนนางเทียมสวรรค์จะต้องไม่ยอมทนแน่!
ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้นำทางความตายก็ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องกำลังฝีมือของภูติบดี แต่เป็นเรื่องความพร้อมของเขา อิทธิพลอำนาจของแดนบาดาลไม่นับว่าเป็นอะไรเมื่อเทียบกับภูติบดี แต่อิทธิพลอำนาจของสภาสวรรค์ มันยิ่งใหญ่จนเกินไป”
ฉินมู่พองแก้ม “แบบนี้ไม่ใช่ว่าพวกท่านรังแกข้าหรอกหรือ พวกท่านมีความผิดของข้ากองเป็นตั้ง แล้วความผิดของแดนบาดาลล่ะ? หรือว่าภูติบดีจะข่มเหงผู้อ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง”
ผู้นำทางความตายโกรธจนพูดไม่ออก และระเบิดหัวเราะด้วยความพิโรธออกมาหลังจากนั้นพักหนึ่ง “ข้าไม่เถียงกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว ภูติบดีเที่ยงธรรมเสมอ และไม่ใช่ว่าเพราะสภาสวรรค์แข็งแกร่งเขาถึงบันทึกเพียงเล็กน้อย และก็ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าไม่มีคนหนุนหลัง เขาก็เลยบันทึกความผิดเจ้าเสียหนาเป็นปึก สาเหตุที่เจ้ามีความผิดหนาเป็นปึกก็เพราะว่าเจ้าก่อเรื่องชั่วร้ายมากมายจริงๆ”
“พี่ชายของข้าก่อเรื่องพวกนั้น ทำไมถึงมากาไว้บนหัวข้าล่ะ”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “หากว่าอาคันตุกะแห่งแดนบาดาลมาที่สันตินิรันดร์และใช้บันทึกเป็นตายเพื่อปลุกคนตายขึ้นมาบูชายัญพวกเขา แดนใต้พิภพจะทำอะไรได้ ภูติบดีจะทำอะไรได้ ภูติบดีจะกล้าผายลมสักคำไหม”
ผู้นำทางความตายโกรธกริ้ว “เจ้ายังกล้าพูดจาหยาบคายอีก!”
ฉินมู่มีสีหน้ารวดร้าวใจและกล่าวอย่างผิดหวัง “ภูติบดีไม่ได้ไร้หัวใจไปหน่อยหรือ ในเมื่อเขาสามารถธำรงความเป็นธรรมได้ แต่กลับตระหนี่ขี้เหนียวกับข้าแทน ข้าคิดว่าปล่อยพี่ชายข้ากลับแดนใต้พิภพจะดีกว่า…”
ผู้นำทางความตายมองไปที่สีหน้าของเขาจากอีกฟากประตู และเขาก็ยิ้มขึ้นมาทันที “เทพสรรพชีวิตได้ให้ผนึกอีกชั้นกับเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าปล่อยเขาออกมาไม่ได้หรอก เลิกคิดจะหลอกข้าได้ล่ะ!”
ฉินมู่เปิดใบหลิวออก เผยให้เห็นดวงตาที่สามของเขา ผู้นำทางความตายพลันมองเห็นแก้วตาอีกอันในแก้วตาของดวงตาที่สาม มันคือดวงตาของอีกคนหนึ่งที่แอบมองออกมาข้างนอกด้วยความสงสัยใคร่รู้
ผู้เฒ่าตกปลาเบือนหน้าไปนิดหนึ่งและมองอย่างสนอกสนใจไปยังดวงตาที่สามของฉินมู่ เขาถึงกับลืมม้วนสายเบ็ดกลับขึ้นมา
เขาอยากจะดูจริงๆ ว่า มันมีเวทปิดผนึกของภูติบดีอยู่ข้างในจริงๆ ไหม ว่ามันมีร่างแยกของเทพสรรพชีวิตหรือไม่ ทั้งว่ามันมีสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน และพุทธเจ้าพรหมซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาจริงไหม
หากว่าผู้นำทางความตายไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็คงมุดเข้าไปในดวงตาของฉินมู่ เพื่อเข้าไปคารวะแก่ผู้อาวุโสเหล่านั้น
ผู้นำทางความตายสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “ปิดมันเอาไว้! ปิดมันซะ! ถือว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว ให้ข้าคิดดูก่อน…”
ฉินมู่ปิดใบหลิวลงไปอย่างเหมาะเจาะ
ผู้นำทางความตายเดินกลับไปกลับมาบนเรือน้อย และเขาดูยุ่งยากใจเป็นอย่างยิ่ง เขาอยากจะเข้าไปในโลกแห่งคนเป็นเพื่อเจรจาให้รู้ดำรู้แดง แต่ในเมื่อนี่ไม่ใช่เวลากลางคืน เขาก็ออกไปปรากฏตัวไม่ได้
ฉินมู่รออย่างเงียบกริบ และผ่านไปพักหนึ่ง ผู้เฒ่านำทางความตายก็กล่าวพลางถอนหายใจ “ก็ได้งั้น ส่งบันทึกเป็นตายของเจ้ามาให้ข้า และข้าจะประทับรอยทักษะเทวะไว้บนบันทึกเป็นตายของเจ้า เพื่อให้มันสะกดข่มบันทึกเป็นตายของฝ่ายตรงข้ามได้ แบบนี้ได้ไหม”
ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจัง “ราชันย์ขุนนาง แทนที่จะให้ปลา สอนวิธีตกปลาให้จะไม่ดีกว่าหรือ ท่านสอนทักษะเทวะนั้นให้ข้าไม่เลยไม่ดีกว่าหรือ”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัวและกล่าว “เด็กแสบ เจ้ากำลังขุดหลุมให้ข้ากระโดดลงไป ข้าคงจะโง่มากหากว่าเชื่อใจเจ้า หากว่าเจ้าสอนทักษะเทวะให้เจ้า เข้าก็จะใช้มันจัดการกับพวกที่มาจากแดนบาดาล และด้วยนิสัยใจคอของเจ้า เจ้าก็คงจะเผยแพร่ทักษะเทวะนี้ไปทั่วโลกหล้าจนทุกๆ คนเรียนรู้มันได้หมด เมื่อเวลานั้นมาถึง คุณค่าของทักษะเทวะใต้พิภพของข้าก็คงไม่ต่างอะไรกับกอผักกาด”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมาและเผยสีหน้าละอาย เขานำบันทึกเป็นตายออกมายื่นส่งให้ “ราชันย์ขุนนางช่างทรงปัญญา”
“แน่นอนว่าข้าฉลาดพอ”
ผู้เฒ่านำทางความตายหันหลังกลับไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อประทับรอยลงไปในบันทึกเป็นตายนี้ เขาจึงหันกลับและส่งบันทึกกลับไป “ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย ก็อย่าอัญเชิญดวงวิญญาณไปจากแดนใต้พิภพ มันน่าสยองจนเกินไป! ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหรือพี่ชายเจ้าที่เรียกดวงวิญญาณมาเคี้ยวกินเล่น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคนที่ตกดวงจันทร์อยู่น่ะ ความคิดของเจ้าอันตรายเกินไป ทิ้งไปเสียจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเขาจะคว้าหัวเจ้าไปเคี้ยวกิน!”
เขาขึ้นเรือและจากไป
ฉินมู่สลายประตูน้อมสวรรค์และถอนหายใจโล่งอก เขาพลิกเปิดดูบันทึกเป็นตายและตรวจดูทักษะเทวะที่ผู้เฒ่านำทางความตายทิ้งเอาไว้
ผู้เฒ่าตกปลาพึมพำ “ราชันย์ขุนนางเทียมสวรรค์นี้ช่างพูดจาโผงผางเสียจริง? คว้าหัวข้าไปกัดเคี้ยวงั้นหรือ บุตรแห่งฉิน พี่ชายของเจ้าดุร้ายมากหรือ”
ฉินมู่ผงกหัวซ้ำๆ “ดุร้ายสุดๆ! ท่านต้องไม่ไปตอแยเขาเป็นอันขาด!”
ผู้เฒ่าตกปลาเกี่ยวดวงจันทร์ขึ้นมาหนึ่งดวง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็เริ่มถูๆ ดวงจันทร์ในฝ่ามือ เปลี่ยนดวงจันทร์ให้มีขนาดเท่าจาน เขาถามอย่างไม่มียินดียินร้าย “ดูสิ พละกำลังของข้าเป็นอย่างไร”
ฉินมู่ชมเปาะ “ฤทธานุภาพของครูบาสวรรค์นั้นไร้ผู้ต่อต้าน และกำลังฝีมือของท่านก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ท่านนั้นแข็งแกร่งกว่าอาจารย์คนตัดไม้มากนัก”
ผู้เฒ่าตกปลาถาม “แบบนี้ข้าจะสามารถตอแยพี่ชายเจ้าได้หรือไม่”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ และกล่าว “เมื่อข้าถูกพี่ชายจับโยนเข้าไปกักขังในดวงตา ข้าเห็นร่างแยกของเทพสรรพชีวิต และร่างแยกของจักรพรรดิแดงฉาน ถูกทุบตีเสียจนพวกเขายอมศิโรราบ”
ผู้เฒ่าตกปลาสีหน้าซีดเผือด และเขาไม่พูดอะไรอีก เขาจดจ่อกับการตกดวงจันทร์ แขนของเขาที่เคยมั่นคงอย่างสุดแสน ตอนนี้ก็สั่นเทิ้มอยู่เล็กน้อย
ฉินมู่ยังคงศึกษาทักษะเทวะในบันทึกเป็นตายต่อ เดิมทีบันทึกนี้ส่องกระจ่างดุจกระจก แต่ตอนนี้มีอักษรรูนจำนวนหนึ่งปะปนเข้าไปและทำให้มันดูโกลาหลอยู่เล็กน้อย
อักษรรูนเหล่านี้ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ดูคล้ายกับลายมือที่อ่านไม่ออก แต่ทว่า เมื่อชมดูแล้ว ก็สามารถมองเห็นสิ่งอื่น
โครงสร้างอักษรรูนอันสลับซับซ้อนนี้ซ่อนอยู่ภายใต้ลายมือยึกยือชั้นนอก และบางรอยประทับก็ดูเหมือนจะยืนยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากยอดเสายกสวรรค์ บางรอยประทับก็กระหวัดกอดเกี่ยวกันและซับซ้อนจนดูเหมือนใยแมงมุม และมีบางอักษรรูนที่ลอยขึ้นมา แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่องแสงวูบวาบหลากสีสัน
ฉินมู่ไม่เคยเห็นทักษะเทวะที่กุก่องตระการและสลับซับซ้อนขนาดนี้มาก่อน และมันดึงดูดเขาให้จมลงไป เขาก้มหน้าลงไปใกล้กับบันทึกเป็นตายมากขึ้นทุกที เมื่อพยายามที่จะมองดูโครงสร้างภายใน และตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะนี้อย่างสมบูรณ์
เอี๋ยนจิงจิงดึงหัวของกิเลนมังกรขึ้นมาจากดินไม่ได้ ดังนั้นนางจึงมีแต่ต้องเดินมาหาเขา “พี่ชายเลี้ยงวัว หมาน้อยตัวใหญ่ของเจ้าไม่กล้าที่จะ…”
เอี๋ยนจิงจิงมีสีหน้าว่างเปล่า เมื่อเห็นหัวของฉินมู่พลันหายไป!
ในตอนนั้น หัวของฉินมู่ได้มุดเข้าไปในบันทึกเป็นตาย และบันทึกนี้ก็เป็นเพียงชิ้นกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งเท่านั้น หัวของฉินมู่มุดเข้าไปในกระดาษ และไม่มีอะไรโผล่ออกมาจากข้างหลัง มันดูเหมือนว่าหัวทั้งหัวของเขาหายไปจนหมด!
เอี๋ยนจิงจิงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และรีบเข้าไปดึงคอเสื้อของฉินมู่ ฉินมู่มุดหัวออกมาจากบันทึกเป็นตายและถามด้วยความฉงนสงสัย “น้องสาวจิง เกิดอะไรขึ้น”
เอี๋ยนจิงจิงค่อยหายใจหายคอออกเมื่อเห็นว่าเขายังอยู่ดี “หมาน้อยตัวใหญ่ไม่กล้าโผล่หัวออกมา”
ฉินมู่เหลือบมองและพบว่าหัวของกิเลนมังกรยังคงฝังอยู่ในดิน ปล่อยให้ก้นชี้ฟ้า เขานั้นยังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว
“มังกรอ้วน ได้เวลาอาหารแล้ว” ฉินมู่กล่าว
กิเลนมังกรรีบดึงหัวขึ้นมาทันที และกระโดดเข้ามาราวกับสายฟ้า เขาเอาอ่างล้างหน้าออกมาและวางลงไปตรงหน้าฉินมู่ ส่วนเขานั่งลงด้วยขาหลังและจ้องไปที่อ่างล้างหน้านั้นอย่างเชื่องเชื่อ
ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเขาไม่เห็นว่ามียาวิญญาณหล่นลงไปในอ่างล้างหน้าสักเม็ด เขาก็โงหัวขึ้นมามองฉินมู่อย่างฉงนพลางกระดิกหางมังกรหนาใหญ่ของเขาไปมา