ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 682 โลกหยินสวรรค์ หมู่บ้านรื่นเริง
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 682 โลกหยินสวรรค์ หมู่บ้านรื่นเริง
ฉินมู่มองไปข้างหน้า และเขาก็เห็นภูเขาและแม่น้ำสีเทา พื้นดินก็เป็นสีเทา ไม่ไกลนั้น มีเงาดำที่ปรากฏและหายไปมาอย่างไม่อาจจะคาดคะเน ราวกับสัตว์ประหลาดที่ไปๆ มาๆ ราวกับหมอกควันในความมืด พวกมันยากที่จะตรวจจับได้
สัตว์ประหลาดบางตัวก็อยู่ล้อมรอบต้นไม้สีเทาเพื่อลอบมองเขาขึ้นๆ ลงๆ
ฉินมู่ได้ยินเสียงแสกสากข้างๆ หูเขาอีกครั้ง เมื่อสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมาใกล้เขา และความมืดก็ไหลไป ก็จะเกิดเสียงแสกสากขึ้นมา
เขาเดินไปข้างหน้า และแม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์ประหลาดพวกนี้ แต่มันก็ดูแห้งแล้งเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไร มันก็มีต้นไม้ ดอกไม้ และสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จัก และหากว่ามันมีแสงเพียงสักนิด ทิวทัศน์ของที่นี่ก็คงดูแตกต่างออกไป
แม้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจะเข้าใกล้เขา แต่พวกมันก็ยังอยู่ห่างประมาณหนึ่ง และก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก ยากที่ฉินมู่จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดทั้งหลาย ก็ในเมื่อบริเวณนั้นทั้งเทาทึบและขมุกขมัว
ทันใดนั้น หัวใจเขาก็เคลื่อนขยับ เขาหยิบเอาก้อนเนื้อวัวออกมาจากถุงเต๋าตี้
ฟึ่บบบ
เนื้อวัวในมือของเขาหายวับไป ราวกับว่ามีบางอย่างแทะทึ้งไปหมด ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และเขาก็มองเห็นแต่ก้อนเงารางๆ ที่กระโจนขย้ำมายังก้อนเนื้อวัวในมือของเขา เขามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพวกมันคืออะไร!
สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง และความเร็วของพวกมันก็เหนือจินตนาการ สิ่งมีชีวิตแบบไหนนะที่อาศัยอยู่ในโลกหยินสวรรค์
นั่นอธิบายว่าทำไมผู้คนจึงไม่อาจบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในความมืดได้ ก็เพราะว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ทุกหนทุกแห่งที่จะขย้ำเข้ามากัดกินเนื้อพวกเขา
ไกลออกไปนั้น ยังมีเสียงเคี้ยวแทะอยู่ เมื่อฉินมู่มองไปยังที่มาของเสียง เขาก็สามารถมองเห็นสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ข้างหลังก้อนหินและกำลังกัดกินบางอย่าง
เขาเดินไปข้างหน้า และสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็แตกฮือหนีไป เขายังคงมองไม่เห็นอยู่ดีว่าพวกมันหน้าตาเป็นอย่างไร
ท้องฟ้าทั้งมืดและขมุกขมัว ฉินมู่หันกลับไปและยืนยันทิศทางที่เขาเดินจากมา ด้วยไม่ต้องการเดินกลับไปในทิศทางที่ผิดพลาด หลังจากนั้นเขาถึงเดินมุ่งหน้าต่อ
เสียงกระซิบกระซาบมากมายดังมาจากความมืด และบางสัตว์ประหลาดก็มารวมตัวเข้าด้วยกัน พวกมันเหมือนกับปรึกษาหารือบางอย่าง และเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ พวกมันก็แตกกระจายไปราวกับทรายดำที่ถูกลมพัดเป่า
หรือว่าทั้งโลกหยินสวรรค์จะเป็นสีเทาแบบนี้ไปหมด มันไม่มีสิ่งอื่นๆ จริงๆ น่ะหรือ หรือว่าความมืดจะมาจากสถานที่แห่งนี้
ฉินมู่เสาะหาไปทั่ว แต่เขาก็ไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เมื่อในที่สุดเขาข่มระงับความอยากรู้ไม่ได้อีกต่อไป เขาก็นำบันทึกเป็นตายออกมา แล้วส่องไปยังหนึ่งในสัตว์ประหลาดพวกนั้น
สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องโหยหวน ควันดำพวยพุ่งจากร่าง มันตัวเหี่ยวแฟบอย่างรวดเร็ว และล้มลงไปกับพื้น
“นี่คือ…”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบเข้าไปมองดู เขาพบว่าสัตว์ประหลาดที่เหี่ยวแฟบลง ได้กลายมาเป็นหนังมนุษย์!
เหมือนกับเทพเจ้าที่เขาพบเจอหน้าหินปักปันเขตโลกหยินสวรรค์ มีแต่ผืนหนังที่เหลืออยู่!
ฉินมู่ฉงนฉงายและพึมพำ “หรือว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้มีแต่ผืนหนัง ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวเป็นๆ หรอกหรือ”
หัวใจของเขาปั่นป่วน และเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องน่าเหลือเชื่อนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้ หลังจากครุ่นคิด เขาก็เดินลึกเข้าไปต่อเพื่อสำรวจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นความมืดเคลื่อนไหวราวกับทราย และไหลเข้าไปในผืนหนัง สัตว์ประหลาดรีบลุกขึ้นยืน และหายตัวไป ไม่หลงเหลือร่อยรอยเอาไว้
ฉินมู่ตั้งสติและพลันหันหลังกลับ เดินไปยังเส้นทางเดิม เขามายังหน้าหินปักปันเขตและโค้งคารวะ “ผู้อาวุโส ขออภัยที่รบกวนความสงบของท่าน”
มือของเขายกผืนหนังขึ้น และเขาเดินเข้าไปในโลกหยินสวรรค์
เมื่อมาถึงโลกหยินสวรรค์ หนังมนุษย์ที่เขาถืออยู่ก็พลันสลัดหลุดและวิ่งหนีไป มันหายวับอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา!
อย่างที่คิดเลย!
ฉินมู่หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดมีเลือดเนื้อ พวกมันเป็นแค่ผืนหนัง!
ผืนหนังไม่มีเลือดและเนื้อ และเมื่อมันถูกสสารมืดเข้ายึดครอง ความเร็วของมันก็จะเร็วอย่างสุดกู่ เมื่อบันทึกเป็นตายส่องไปที่พวกมัน สสารมืดก็จะพวยพุ่งออกมา และพวกมันก็จะกลายเป็นผืนหนังว่างเปล่า
ทำไมพวกมันถึงกินเลือดและเนื้อล่ะ
ฉินมุ่รู้สึกเหมือนกับกระเถิบใกล้ความจริงไปอีกก้าว แต่เขายังคงห่างไกลกับการเปิดเผยมันอย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าข้าต้องการเปิดเผยความจริงของความมืดนี้ ข้าก็คงจะต้องไปเสาะหาความลับจากโลกหยินสวรรค์
เขาเดินไปข้างหน้า และเสียงแสกสากก็ดังออกมา สัตว์ประหลาดหนึ่งเดินใกล้กับเขา และฉินมู่ก็ตะลึงไป สัตว์ประหลาดตัวนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
มันคือเทพเจ้าแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งที่ถือตะเกียง!
สัตว์ประหลาดที่แปลงเปลี่ยนมาจากหนังเทพเจ้าเข้ามาใกล้เขาและหยุด ฉินมู่เข้าไปใกล้เขา และมันก็รีบหนี แต่ทว่า มันไปได้ไม่ไกลก็หยุด และหันศีรษะกลับมา
ความเร็วของเขาว่องไวปานสายฟ้า และเหนือล้ำกว่าข้าไปไกล สาเหตุที่ว่าเขาเดินๆ หยุดๆ แบบนี้ก็เพื่อให้ข้าตามเขาไป!
ฉินมู่ใจเคลื่อนเล็กน้อย และเขาก็รีบเร่งฝีเท้าของเขาไล่ตามสัตว์ประหลาด
หนึ่งมนุษย์หนึ่งสัตว์ประหลาด วิ่งตะบึงไปในแดนแห่งความมืด ไม่ว่าเมื่อใดที่ฉินมู่เหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งนานเกินไป สัตว์ประหลาดก็จะชะลอความเร็ว หรือแม้กระทั้งหยุดเป็นพักๆ หนึ่งมนุษย์หนึ่งสัตว์ประหลาด อยู่ห่างกันเพียงร้อยห้าสิบวา และเขาก็รออย่างอดทนให้ฉินมู่ฟื้นฟูกำลังวังชา
หลังจากเดินทางแบบนั้นไม่รู้กี่ลี้ ฉินมู่ก็เห็นสีสันอื่นๆ และสายตาของเขาก็เป็นประกาย
ที่นั่นมีขุนเขาเขียวขจีและน้ำใสกระจ่าง เสียงนกและดอกไม้หอม กับทะเลสาบสีคราม อากาศก็ดูจะสดชื่นยิ่งขึ้น
ยังมีเมืองเล็กๆ พร้อมกับสิ่งก่อสร้างตระการในทิวทัศน์อันงดงาม เมื่อมองจากที่ไกลๆ เขาเห็นเงาร่างผู้คนมากมาย และพวกเขาอาศัยอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุข เขาไม่คาดคิดเลยว่าโลกหยินสวรรค์จะมีสถานที่ทำนองนี้
เมื่อสัตว์ประหลาดเดินเข้าไปในหุบเขา สีเทาอันเกาะกุมร่างของเขาก็ดูจะจางหายไปในทันที และเขาก็กลับกลายเป็นเทพเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
ฉินมู่รีบก้าวเข้าไป แต่เขาไม่ย่างเท้าไปในนั้นโดยทันที เขาตรวจตราดูบริเวณโดยรอบก่อน และเมื่อเขามั่นใจว่าไม่มีอันตราย เขาจึงเดินเข้าไปในหุบเขา
เทพมากมายเดินไปๆ มาๆ บนถนน พวกเขากำลังหัวเราะและตะโกนต่อกัน บ้างก็กำลังขับร้องเพลงด้วยเสียงสูง มันเป็นบรรยากาศของเมืองเล็กๆ อย่างแท้จริง
“สหายน้อยที่มาจากแดนไกล พวกเราไม่ได้ต้อนรับเจ้า โปรดอภัย!”
เทพผู้เฒ่าตนหนึ่งที่แต่งกายในแบบบัณฑิตเดินมาจากที่ไกลๆ และหัวเราะฮาๆ เขาต้อนรับฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมืองเล็กของพวกเรายากนักที่จะมีผู้คนมาเยี่ยมเยือน ดังนั้นพวกเราเลยอาจจะทำให้เจ้าต้องรอไปบ้าง โปรดเข้ามาข้างในเถิด”
แม้ว่าเขาจะดูแก่สักหน่อย แต่ก็เต็มไปด้วยกำลังวังชา ใบหน้าแดงแจ่มใส เขาไม่ดูชแรชรา
ฉินมู่ยังคงเยือกเย็นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าสุภาพเกินไปแล้ว ผู้เฒ่า ที่นี่คืออะไรหรือ ข้าเห็นว่าโลกหยินสวรรค์กลายเป็นสีเทาไปหมด แต่สถานที่นี้กลับเต็มไปด้วยชีวิต มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ”
“ที่นี่คือหมู่บ้านรื่นเริงแห่งโลกหยินสวรรค์ และมันเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะมารื่นเริงกัน”
เสียงของเทพผู้เฒ่ากลายเป็นดังก้อง และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “สถานที่นี้ของพวกเราเต็มไปด้วยความงามที่สามารถปลอบประโลมความยุ่งยากในหัวใจของเจ้าได้ และบรรเทาความเหนื่อยล้าในร่างกาย ดังนั้นผู้คนจึงหลงลืมที่จะกลับบ้าน และมักจะมาอยู่ที่นี่ คงจะไม่เกินไปใช่ไหมล่ะที่จะเรียกว่าหมู่บ้านรื่นเริง”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เทพนารีจำนวนมากก็เดินออกมาจากที่ไหนสักแห่ง และพวกนางก็เริ่มร่ายรำและขับร้องเพลง มีทั้งที่สวยสะคราญ ทั้งที่ยั่วยวน ทั้งที่หวานฉ่ำ ทั้งที่เปรี้ยวฝาด ทั้งที่เร่าร้อน และทั้งที่เย็นชา อันร่ายรำเฉียดเขาไป พวกนางแย้มยิ้มและกล่าว “อาคันตุกะจากแดนไกล เมื่อมาถึงหมู่บ้านรื่นเริง เจ้าก็ย่อมจะต้องรื่นเริง!”
ฉินมู่หัวเราะและกอดพวกนางทั้งซ้ายและขวา “โลกหยินสวรรค์เป็นสถานที่อันผ่อนคลายและเพริศแพร้วพิสดารขนาดนี้ ข้าย่อมต้องอาศัยอยู่ที่นี่อย่างรื่นเริงแน่นอน เพียงแต่ว่าข้ามีแค่สองแขน ข้าจะกอดพวกเจ้าไว้ทั้งหมดได้อย่างไร ฮ่าๆๆ”
เทพนารีตนอื่นๆ ก็เริ่มหัวเราะ เทพผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าอาคันตุกะที่นับถือต้องการจะกอดพวกนางทั้งหมด นี่ก็ง่ายดายมาก เพียงแต่อยู่ที่นี่และเป็นเหมือนกับพวกเรา แบบนั้นจะไม่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่นานพอ เจ้าก็จะได้กอดนางคนละหนึ่งหน และไม่เพียงแค่กอดเท่านั้น เจ้ายังร่วมหลับนอนกับพวกนางได้อีกด้วย”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเหมือนกับพวกเจ้าน่ะหรือ แบบนั้น ไม่ใช่ว่าข้าจะกลายเป็นเปรตไปหรืออย่างไร”
“เปรต?”
เทพผู้เฒ่าสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เทพนารีที่ฉินมู่ตระกองกอดเอาไว้อยู่ก็หน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวด้วย สีหน้าของพวกเขากลายเป็นดุดัน “เปรตอะไร เจ้าไปรู้อะไรมา”
“ไม่ใช่ว่าผีที่ตายไปจากความหิวโหยจะเรียกเปรตหรอกหรือ” ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มือของเขาพลันถูกเทพนารีข้างๆ ควบคุมเอาไว้จนเขาขยับไม่ได้ เทพผู้เฒ่ายิ้มหยันและกล่าว “ที่แท้เจ้าก็รู้? แต่มันสายไปแล้ว! พวกข้าหิวเหลือเกิน…”
“งั้นอาคันตุกะที่นับถือและหนุ่มเยาว์ พวกข้าคงได้แต่กินเจ้า!”
“นำตัวเขาไป”
ฉินมู่ถูกเทพนารีทั้งหลายหิ้วปีกไป และพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมือง เทพเจ้ามากมายแห่แหนกันเข้ามา และลิงโลดอย่างเหลือล้นขณะที่รอให้อาหารมาแจกจ่าย
เมื่อพวกเขามาถึงใจกลางเมือง ฉินมู่ก็คลายใจลง เทพผู้เฒ่านั่งลงตรงบัลลังก์หน้าโถงวัง เทพนารีสองตนอันสวยสะพรั่งดุจดอกไม้จับแขนของฉินมู่เอาไว้ และข้างล่างนั้นก็มีเทพเจ้าหลายหมื่นที่ดูหิวโหยอดอยาก
เทพผู้เฒ่าหัวเราะในคอและกล่าว “พวกเราถูกกักอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว และได้แต่กินเลือดเนื้อของตนเองเมื่อยามอดอยาก แม้กระทั่งกระดูกของพวกเราทั้งหมดก็ถูกกลืนกินไป เหลือแต่ผืนหนัง บัดนี้เมื่อคนเป็นๆ หลุดเข้ามา พวกเราก็จะได้กินเนื้ออีกครั้ง”
ข้างล่างนั้น เทพหลายหมื่นปรบมือและโลดเต้นด้วยความดีใจ พวกเขาโหวกเหวกร้องจะกิน
เทพผู้เฒ่ายิ้มให้แก่ฉินมู่และกล่าว “อาคันตุกะที่นับถือ เจ้าไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่เจ้าถูกกิน เจ้าก็จะกลายเป็นหนึ่งในพวกเรา แต่ทว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องหิวโหยอดอยาก”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือหมู่บ้านรื่นเริงของเจ้าหรือ นี่คือวิธีปฏิบัติต่อแขกเหรื่อ? มิน่าล่ะ พวกเจ้าถึงไม่เจริญรุ่งเรืองกัน”
“เอ๋ อาคันตุกะที่นับถือไม่ว้าวุ่นเลยแม้แต่น้อย และถึงกับสามารถหยอกล้อได้อีก หรือว่าเจ้ามีใครให้พึ่งพิง”
เทพผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ทว่า ในโลกหยินสวรรค์แห่งนี้ ต่อให้เจ้ามีเทพสรรพชีวิตหนุนหลัง เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เทพสรรพชีวิตแตะต้องที่นี่ไม่ได้ และภูติบดีก็มาไม่ถึงเช่นกัน! เจ้ามีแต่ต้องรอความตายอย่างเชื่องๆ!”
ฉินมู่กล่าว “งั้นความมืดในโลกหยินสวรรค์นี่มันคืออะไรกัน ทำไมความมืดถึงรั่วไหลจากโลกหยินสวรรค์ไปได้ เมื่อคนกำลังจะตายเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้อย่างหนัก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะช่วยคลายความสงสัยให้แก่ผู้ที่กำลังจะตายผู้นี้ได้หรือไม่”
เทพผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีก็แต่เทพีหยินสวรรค์เท่านั้นที่ตอบคำถามนี้ของเจ้าได้ แต่เจ้าก็จะสามารถไปเจอนานได้ในเร็วๆ นี้ เทพีหยินสวรรค์ ฮี่ๆๆ…”
“ในเมื่อเปรตอย่างพวกเจ้าไม่ยอมตอบคำถาม…”
สี่แขนพลันงอกออกมาจากใต้รักแร้ของฉินมู่ และเขาก็กำลังถือบันทึกเป็นตาย เขาคลี่บันทึกเป็นตายดังพรืด และฉายส่องบันทึกไปทั่วทิศทางพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องไปพบเทพีหยินสวรรค์ด้วยตนเอง”
“อ๊ากกก อ๊าาาา อ๊าาาาา–”
เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วฟ้า เมื่อเทพเจ้านับไม่ถ้วนกุมหน้าเกลือกกลิ้ง ควันดำไหลรั่วจากทวารบนหน้าของพวกเขาอย่างดุเดือด และเทพเจ้าที่เคยดูแข็งแกร่งยิ่งยง ก็เริ่มเหี่ยวแฟบและกลายเป็นผืนหนังอยู่กับพื้น
เทพนารีสองตนที่กำลังคว้าแขนฉินมู่เอาไว้ ก็กลายเป็นถุงหนังสองถุง
ฉินมู่หันกลับไป และมองยังเทพผู้เฒ่าบนบัลลังก์ เขาค่อยๆ เดินไปหาอีกฝ่าย และร่างกายของเทพผู้เฒ่าก็สั่นเทิ้ม เขารีบลุกขึ้นจากบัลลังก์และจ้องไปที่บันทึกเป็นตายในมือฉินมู่
“บันทึกเป็นตายแดนบาดาล…นี่คือบันทึกเป็นตายแดนบาดาล!”
เขาถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่อง พลางพึมพำกับตนเอง “ทักษะเทวะที่เจ้ากำลังใช้เป็นของยุคสมัยแสงฉาน แขนทั้งหกของเจ้า…”
ฉินมู่เดินตรงไปและนั่งบนบัลลังก์ด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลว เจ้ายังคงมีสายตาตัดสินใช้ได้อยู่บ้าง ดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้ากลายเป็นเปรต ก็ยังคงรักษาความทรงจำในอดีตได้บางส่วน ถ้าอย่างนั้น เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมโลกหยินสวรรค์ถึงตกอยู่ในสภาพนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเทพีหยินสวรรค์ หรือว่าโลกหยินสวรรค์แห่งนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับแดนบาดาล”