ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 686 เทพีหยินสวรรค์
อูชวีรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินมู่ เขาตัวใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทารกอ้วนผู้นี้ เขาก็เล็กจ้อยจนน่าเวทนา
ทารกอ้วนยื่นมือออกไปคว้าจับเขา และแม้ว่าเขาจะมีกำลังฝีมือเหนือธรรมดา เขาก็ไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้ ทารกนั้นจับเขาเข้าไปในปาก
“พี่ชายของข้าใช้ชื่อร่วมกัน”
ก่อนที่เขาจะตาย เขาได้ยินเสียงของฉินมู่ “นั่นก็เพราะว่าพวกเราใช้ดวงวิญญาณเดียวกัน ใช้กายเนื้อเดียวกัน”
ทารกอ้วนกลืนเขาเข้าไปในปาก และเริ่มเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เขาพลันคว้าไปทางฉินมู่ด้วยความตื่นเต้น “น้องชายตัวร้าย ตายซะ!”
และตอนนั้นเอง ร่างเนื้อของฉินมู่ก็นำเอาใบหลิวออกมาและแปะลงไปที่หว่างคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา
ไม่ทันที่ทารกตุ้ยนุ้ยจะคว้าฉินมู่เอาไว้ได้ พลังอันไร้รูปลักษณ์ก็กวาดซัดมาและดึงฉุดเขาเข้าไปในเหวลึก
“น้องชายตัวร้าย–”
หลังจากที่ทารกอ้วนหล่นลงสู่พื้น เขาก็พลันนั่งจ้ำเบ้าลงกับพื้นและมองไปรอบๆ เขาตระหนักว่าเขาได้ร่วงตกลงมาในเวทปิดผนึกรูปตัวฉินอีกครั้ง ผู้เฒ่าเคราขาวและจักรพรรดิแดงฉานหลบจากเขาโดยไปซ่อนอยู่ในภูเขา
“น้องชายตัวร้าย ข้าจับเจ้าได้เมื่อไหร่ข้าจะกินให้หมด!”
ทารกอ้วนดิ้นอาละวาด และปีนคลานด้วยแขนขาทั้งสี่ไปยังภูเขา เขากะว่าจะจับตัวร่างแยกเทพสรรพชีวิตและสำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานมาระบายโทสะ “ข้าจะทุบฟาดตัวที่แก่กว่าก่อน แล้วค่อยฟาดไอ้ตัวสามหัว!”
ทั้งสองคนรีบวิ่งหนีเขา และร่างแยกเทพสรรพชีวิตก็บอก “ไม่ต้องกลัวเขา นี่คือเวทปิดผนึกของภูติบดี มันเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด เขาจับพวกเราไม่ได้หรอก!”
จักรพรรดิแดงฉานร้อง “คราวก่อนท่านก็พูดแบบนี้ แล้วพวกเราก็ถูกจับ”
“คราวนี้ต้องไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน!”
ฉินมู่กลับมาเข้าร่างตนและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตรงหน้าเขา ศพของอูชวีจมลงไป และห้วงมิติแดนบาดาลของเขาก็หายวับ
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองและเผยยิ้ม “เทพีหยินสวรรค์ พวกเราพบกันจนได้ แต่ทว่าท่านไม่ต้องเศร้าใจไป ทักษะเทวะของข้าอาจจะช่วยท่านรวบรวมดวงวิญญาณที่ถูกกัดทึ้งให้กลับเข้ามาใหม่…”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เทพีหยินสวรรค์ผู้กำลังยืนอยู่บนทะเล ก็ยกเท้าของนางก้าวเข้ามา
ฉินมู่ขนหัวลุก และไม่ทันที่เขาจะได้ขับเคลื่อนทักษะเทวะใดๆ เขาก็วิ่งตะบึงกลับไปยังสะพาน และไปถึงจุดที่เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งรออยู่ เขาคว้าอีกฝ่ายวิ่งหนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เสียงครืนครันของราชวังถูกบดขยี้ใต้ฝ่าเท้าดังมาจากข้างหลัง หลังจากที่เทพีหยินสวรรค์เหยียบพลาด นางก็หันกายมาและวิ่งไล่
ร่างของนางสูงเยี่ยมเทียมฟ้า และแต่ละก้าวที่นางย่างมาก็ไกลเป็นพันลี้ แต่ทว่า ความเร็วในการย่างเท้าของนางนั้นไม่เร็ว กระนั้นก็ยังไม่มีใครทัดเทียมความเร็วการเคลื่อนที่ของนางได้!
มันเป็นพวกผีเปรตที่กำลังควบคุมร่างของเทพี!
ฉินมู่คาดเดาสาเหตุที่ผืนหนังเทพีหยินสวรรค์ลงมือกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว โดยไม่คิด เขานำเอาบันทึกเป็นตายออกมาและส่องไปที่เทพีอันยิ่งยง เขาคิดในใจ เทพีหยินสวรรค์ถูกผีเปรตกัดกินไปหมดแล้ว ดังนั้นผีเปรตเหล่านั้นจึงมาสิงร่างของเทพีหยินสวรรค์! นั่นก็หมายความว่า เทพีหยินสวรรค์ตอนนี้คือผีเปรตตนหนึ่ง!
เมื่อสาดแสงจากบันทึกเป็นตายไป เทพนารีก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อควันสีดำพวยพุ่งออกมาจาก ดวงตา จมูก ปาก และหูของนาง นางยกเท้าอีกครั้งและไล่ล่าพวกเขาต่อ
นางใหญ่มหึมาเกินไป และบันทึกเป็นตายก็ไม่อาจฉายส่องใส่ทั้งร่างของนางได้!
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตเพื่อควบคุมบันทึกเป็นตายให้ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาวิ่งตะบึงไปอย่างไม่คิดชีวิตและขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์ที่เฒ่าเป๋สอนให้จนถึงขีดสุด เพิ่มพูนความเร็วของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ผู้อาวุโส วิ่ง!”
ฉินมู่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการลากเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งไปด้วย เขาไม่อาจปลดปล่อยพลังเต็มพิกัดออกมา ดังนั้นเขาจึงเร่งเร้าเทพเจ้า
เทพแห่งสันตินิรันดร์วิ่งออกไปทันที และความเร็วของเขายิ่งเร็วกว่าฉินมู่ ทิ้งไปแบบไม่ติดฝุ่น
ฉินมู่ตะลึงและร้องออกมาด้วยความโมโห “รักกันจริงแบบนี้เลยสินะ! ข้าถึงกับปาดน้ำตาให้กับท่านตั้งหลายหยด! หากว่าท่านวิ่งเร็วขนาดนี้ ก็น่าจะพาข้าไปด้วย”
ทันใดนั้น เทพีหยินสวรรค์ก็ยื่นมือออกมาเพื่อคว้าจับเขา ฝ่ามือนั้นมาจากเวิ้งนอกชั้นฟ้าและเสียดสีกับชั้นบรรยากาศของโลกหยินสวรรค์ ทำให้เพลิงไฟลุกติดจากการเสียดสี แต่ทว่าไฟเหล่านั้นแผดเผานางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ฝ่ามือของนางเหมือนกับแผ่นปฐพีผืนใหญ่ที่ร่วงลงมาจากนภากาศ ขณะที่นางคว้าจับฉินมู่
ข้างหลังศีรษะของฉินมู่ บันทึกเป็นตายฉายแสงเจิดจ้า และไม่ทันที่มือของเทพีหยินสวรรค์จะมาถึง นิ้วของนางก็อ่อนปวกเปียกไปตามๆ กันจากการยุบเหี่ยว
แต่ถึงอย่างนั้น หากว่าฝ่ามือนั้นฟาดลงมา ก็เพียงพอที่จะปิดทับฉินมู่!
เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะถูกฝ่ามือครอบทับ อักษรรูนนับไม่ถ้วนก็หมุนวนรอบร่างกายของเขา และทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขาก็พวยพุ่งออกมา อักษรรูนหมุนปั่นรอบตัวเขาอย่างดุเดือดราวกับยันต์กระดาษเหลือง และเมื่ออักษรรูนเหล่านั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน ฉินมู่ก็หายวับไปพร้อมๆ กับพวกมัน
ในพริบตาถัดมา ฉินมู่ปรากฏที่ระยะห่างไปอีกร้อยลี้ และอักษรรูนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏรอบกายเขาอีกครั้ง เขาหายตัวไป และก็ปรากฏห่างออกไปอีกพันลี้
ร่างของเขาพุ่งวูบวาบอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าเขาจะเสี่ยงเผาผลาญพลังวัตรไปทั้งหมด แต่เขาก็ต้องรีบหลบหนีออกจากโลกหยินสวรรค์ก่อนที่เทพีหยินสวรรคืจะไล่ตามมาทัน
ข้างหลังเขา สะพานต่ำพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง จากการกระทืบของเทพีหยินสวรรค์ สะพานยาวพวกนี้ไม่อาจต้านรับน้ำหนักของเทพนารีก่อนฟ้าดินได้เลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่อยู่ไม่ไกลจากฝั่ง และในตอนนั้นเอง สัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนก็วิ่งเข้ามาเกาะกุมตัวเขาในจังหวะที่เขากำลังจะเคลื่อนย้ายระยะไกล
“ไสหัวไป!”
ฉินมู่ขับเคลื่อนบันทึกเป็นตาย และสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็กลายเป็นผืนหนัง ข้างบนหัวเขา ฝ่ามือเทพีหยินสวรรค์ฟาดลงมาอย่างอำมหิต!
ตูม!
ทะเลแห่งโลกหยินสวรรค์สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง และพื้นดินบนฝั่งก็เขย่าอย่างไม่รู้จบ รอยแยกน่าแตกตื่นยืดยาวออกไปทั่วทิศทาง ลาวาพวยพุ่งออกมาจากรอยแยก แต่กระนั้นลาวาก็เป็นสีเทาด้วยเช่นกัน
เทพีหยินสวรรค์ยกฝ่ามือขึ้น และสะพานก็หักขาด ทะเลแห้งเหือดไป และก้นทะเลอันแห้งผากก็ปรากฏ น้ำทะเลที่เดิมทีอยู่ที่นั่นระเหยเป็นไอไปสิ้น!
เมื่อนางยกฝ่ามือขึ้น ก็มีอักษรรูนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ใต้ฝ่ามือนาง ที่ใจกลางของอักษรรูนทั้งหลายคือไจกระบี่ขนาดมหึมาที่เหมือนกับลูกกลมเล็ก และไจกระบี่นั้นก็ถูกฟาดยุบเข้าไปข้างหนึ่ง!
ฟู่
อักษรรูนแผดเผา ทำให้ลูกบอลเหล็กหายไป ปรากฏอีกทีที่เมืองริมทะเล
เทพีหยินสวรรค์ฉงนสงสัยเมื่อนางไม่เห็นว่าฉินมู่เคลื่อนย้ายระยะไกลไปทางไหน นางมองไปรอบๆ แต่ก็หาตัวเขาไม่พบ
ในเมืองเล็กๆ นั้น เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งโผล่หัวออกมาและเห็นว่าไจกระบี่กลิ้งเคร้งๆ ไปมาในเมือง ฉินมู่กระเด้งกระดอนไปมาในไจกระบี่ขณะที่ลูกบอลเหล็กกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ
ในไจกระบี่ ฉินมู่ค้ำยันกระบี่ไร้กังวลเอาไว้ ใช้มันเป็นแกนต้าน เทพีหยินสวรรค์แทบจะทำเขาบี้แบนไปพร้อมๆ กับไจกระบี่ และเขาก็ได้ใช้กระบี่ไร้กังวลเป็นตัวยันไม่ให้แหลกเหลวตายไปในน้ำมือเทพีหยินสวรรค์
แต่ทว่า ไจกระบี่ได้บุบบี้ผิดรูปไปจากการฟาดตี
เมื่อไจกระบี่เด้งกลับมาอีกครั้ง ลูกบอลเหล็กนี้ก็เปิดออก และแยกตัวออกจากกันเป็นกระบี่แปดพันเล่ม ฉินมู่กระโดดออกมายืดเหยียดร่างกาย เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง กระบี่แปดพันเล่มก็กรูกันกลับเข้ามารวมเป็นไจกระบี่เล็กๆ ที่ร่วงลงมาในฝ่ามือของเขาอีกครั้ง
ทันใดนั้น เสียงแคร้กก็ดังออกมาจากฝ่ามือ และไจกระบี่ขนาดจิ๋วระเบิดออก แปรเปลี่ยนเป็นผงละเอียดที่ร่วงลงจากท้องฟ้า
ฉินมู่สีหน้ามืดดำเมื่อเขามองไปที่ฝ่ามือ นอกจากกระบี่ไร้กังวลในฝ่ามือของเขาแล้ว ก็เหลือแต่ผงเหล็กอยู่กองหนึ่ง
เขาได้ต้านทานฝ่ามือของเทพีหยินสวรรค์หนึ่งครั้งโดยที่ไม่ตาย แต่ไจกระบี่ที่ใช้สกัดป้องกันการโจมตีจากนางได้สลายเป็นผุยผง!
ก่อนหน้านี้มันยังได้รับการค้ำยันจากปราณชีวิตของเขา แต่ทันทีที่ฉินมู่ถอนปราณชีวิตออกจากไจกระบี่ มันก็ทานทนความเสียหายไม่ได้อีกต่อไป และระเบิดออกมาเป็นผงละเอียดยิบ
ถ้าเก่าไม่ไป ใหม่ก็ไม่มา…
ฉินมุ่รู้สึกปวดอย่างจั๋งหนับในหัวใจ มันเป็นอาวุธวิญญาณที่เข้ากับเขาได้ที่สุดนับตั้งแต่เขาสร้างขึ้นมาตอนที่เพิ่งเริ่มสำเร็จเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ มันเป็นอาวุธวิญญาณที่เขากะว่าจะใช้มันไปชั่วชีวิต แต่มันแหลกสลายเป็นผุยผงไปเสียแบบนี้
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณนั้นได้แลกเปลี่ยนกับซีอวิ๋นเซี่ยง โดยการนำสมบัติทั้งหมดของเขาไปจำนำจนหมดเนื้อหมดตัว
เพื่อที่จะขัดเกลากระบี่จนเหมือนสายน้ำไหล เขาก็ได้หลอมมันในไฟมารและไฟหลี แบบนั้นไจกระบี่ของเขาจึงสมบูรณ์ แต่ในตอนนี้ นอกจากกระบี่ไร้กังวลแล้ว กระบี่เล่มอื่นๆ ของเขาก็แหลกไปหมด เขาจะไม่รวดร้าวได้อย่างไร
โชคยังดีว่า ข้าหลอกตุ๋นเอาโครเมี่ยมแดงพุทธชีวามาได้กองหนึ่งจากพุทธเจ้าท้าวสักกะ โลหะชนิดนี้เป็นโลหะอันมีเฉพาะในพุทธเกษตร จำนวนที่ข้าหลอกตุ๋นมาได้ เพียงพอที่จะทำไจกระบี่จากโลหะนี้ล้วนๆ!
ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านออกมา และมองไปยังเทพีหยินสวรรค์สูงเทียมฟ้าที่ยังคงค้นหาตัวเขา
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งวิ่งออกมาอีกครั้ง และมาตรงหน้าฉินมู่
ฉินมู่มีสีหน้ามืดดำ และความโมโหของเขาก็ยากจะทุเลา “เจ้าทิ้งข้า!”
เทพนั้นหน้าแดงด้วยความอายและยื่นมือออกไปเพื่อดึงเขา เขาทำท่าวิ่งออกไป แต่ไม่สามารถดึงเขาไปด้วยได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขายักไหล่อย่างจนปัญญา
“ข้าเห็นล่ะ”
ฉินมู่ตระหนักขึ้นมาทันที “ท่านไม่มีวรยุทธและกายเนื้อ และแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็หายไป ดังนั้นท่านเลยฉุดข้าวิ่งไปด้วยไม่ได้ ก็ได้ ข้าไม่โกรธแล้ว ข้าต้องการให้เจ้าช่วยหาที่สูง สถานที่ที่ข้าสามารถส่องบันทึกเป็นตายไปยังใบหน้าของเทพีหยินสวรรค์ได้”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งวิ่งออกไปจากเมืองทันที และเมื่องเห็นว่าฉินมู่ไม่ตามไป เขาก็เลยหยุดกวักมือเรียก
ฉินมู่รีบรุดไปข้างหน้า และทั้งสองคนก็จากไปยังที่ไกลๆ พวกเขามาถึงหอคอยสูงข้างๆ ทะเล ฉินมู่มองขึ้นและตื่นตระหนกเมื่อพบว่าหอคอยนี้สูงปานไหน โลกหยินสวรรค์ขมุกขมัวเป็นอย่างยิ่ง และเขามองไปได้ไม่ไกลนัก แต่ทว่าเมื่อฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า เขาก็มองไปได้หลายสิบลี้ กระนั้นด้วยการปลุกเนตร เขาก็มองไม่เห็นยอดหอคอย
หมอกสีเทาอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ โคนหอคอย และเขาก็ไม่รู้ว่าหอคอยนี้สูงสักเท่าไร
ตัวหอคอยดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาจากโลหะเทวะบางชนิดที่สะท้อนเงามะเมื่อมสีดำ
หอคอยนี้เอาไว้ทำอะไร มันดูเหมือนจะสูงกว่าตึกแสงฉานสยบสวรรค์ในมือของชื่อซีเสียอีก
เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เห็นเทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งกระโดดขึ้นไปอย่างเร็วรี่ และปีนขึ้นไปตามชายคาของแต่ละชั้นหอคอย ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาขาเทวะขโมยสวรรค์ และวิ่งขึ้นไปข้างบน หนึ่งกระโดดหนึ่งวิ่ง พุ่งทะยานไปยังยอด
เมื่อฉินมู่มาถึงจุดสูงสุดของหอคอย เทพเจ้าก็รอเขาอยู่แล้ว เขาเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ฉินมู่อุทานในใจและนำบันทึกเป็นตายออกมา มอบให้แก่มือของเทพเจ้าตนนั้น “ข้าจะร่ายเวทมนตร์อยู่ที่ยอดหอคอย และท่านก็จงยืนที่นี่ เมื่อข้าล่อเทพีหยินสวรรค์มา ท่านก็เปิดบันทึกนี้ออก และใช้บันทึกส่องแสงไปยังนาง”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งผงกหัวซ้ำๆ และขณะที่เขาจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคานั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงพึ่บๆ ข้างหลัง เขาหันกลับไปและพบว่าเทพเจ้าเปิดบันทึกเป็นตาย และมองไปยังหน้าบันทึกที่มีแสงส่องออกมา ก่อนจะเหี่ยวแฟบลงไป
ฉินมู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาดึงบันทึกเป็นตายที่กำลังส่องแสงใส่เขาออกมา
เมื่อไม่มีแสงส่องจากบันทึกเป็นตาย ทรายดำก็ไหลกลับมา และอัดเข้าไปในผืนหนังของเทพเจ้า ไม่นานนัก เขาก็พองกลับขึ้นมาใหม่
ฉินมู่ส่งบันทึกเป็นตายให้กับมือเขาอีกครั้งและบอก “นี่คือด้านหน้า! นี่คือด้านหลัง! อย่าใช้ผิด หากว่าท่านใช้ผิด พวกเราได้ตายคู่แน่!”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งผงกหัวและทุบหน้าอกปึกๆ
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและตะโกน “เทพีหยินสวรรค์ ข้าอยู่ที่นี่–”
เสียงของเขาก้องออกไป และมือของเขาก็ถูเข้าด้วยกัน ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นปราณชีวิตหงส์แดง อันเขาก็ขยายลูกไฟขนาดใหญ่ออกมา แสงของมันเหมือนดวงตะวันอันเจิดจ้าที่ส่องสว่างแก่บริเวณโดยรอบ
รอบข้างเงียบกริบ และเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็ถือบันทึกเป็นตายเอาไว้อย่างกระสับกระส่าย เขาไม่กล้าละวางการป้องกัน
ในตอนนั้น แผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อฝีเท้าอันหนักหน่วงดังมา