ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 688 ปรมาจารย์มหาเวท
“ทารกประหลาดฉินงั้นหรือ”
ทารกฉินเฟิงชิงซุ่มอยู่ข้างหลังภูเขาและลอบมองมาอย่างลับๆ ล่อๆ ขณะที่เขารอให้พุทธเจ้าเฒ่าลงมาจากท้องฟ้า เขาโมโหเดือดและกล่าว “ไอ้เจ้าสามหัวกล้าดีอย่างไรถึงมานินทาข้า ข้าจะเด็ดแขนและขาเขาออกทีละอัน”
เขาเหมือนกับแมวที่หมอบซุ่มรอจู่โจมเหยื่อ และถูมือถูเท้าไปอย่างอย่างกระวนกระวาย เขากะจะเข้าไปคร่าตัวพุทธเจ้าเฒ่าในทันทีที่ลงมา
แต่ทว่า พุทธเจ้าเฒ่าไม่ลงมา และกล่าวไป “ขอบคุณฝ่าบาทจักรพรรดิแดงฉานมาก สำหรับการเตือน ขออภัยที่หลวงจีนเฒ่าผู้นี้ไม่ได้ลงไปสนทนา เรียนถามได้หรือไม่ว่าพี่ทางเต๋าเทพสรรพชีวิตและฝ่าบาทจักรพรรดิแดงฉาน พวกท่านทั้งสองมาที่นี่ได้อย่างไร”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตกล่าวพลางถอนหายใจ “เรื่องมันยากจะอธิบายสั้นๆ ไม่มีความจำเป็นต้องยกขึ้นมาเอ่ยอ้างอีก”
พุทธเจ้าเฒ่ามองไปที่พวกเขา และก็เข้าใจขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงไม่เซ้าซี้ต่อ “เกิดอะไรขึ้นกับความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน มันดูเหมือนจะมาจากสถานที่แห่งนี้”
จักรพรรดิแดงฉานกล่าว “มันเป็นเรื่องที่บุตรแห่งฉินก่อขึ้นมา เขากำลังชุบชีวิตเทพีหยินสวรรค์”
“ใครเป็นต้นตอ ฉินมู่หรือพี่ชายของเขา” พุทธเจ้าเฒ่าถาม
“เป็นน้องชายตัวร้ายของข้า!”
ฉินเฟิงชิงผู้ซ่อนอยู่ข้างหลังภูเขาอดไม่ได้ที่จะร้องถามไป “เจ้าจะลงมาหรือไม่ลงมา”
“ไม่ลงหรอก”
พุทธเจ้าเฒ่ากล่าวอย่างเที่ยงธรรม “หากว่าข้าลงไป ข้าก็จะถูกกักขังไว้ด้วยเช่นกัน ฉินเฟิงชิง เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเพราะเจ้าจับข้ากินเข้าไป ก็เลยถูกข้าสะกดข่มอยู่แบบนี้”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตกล่าว “เขากินพวกเราไม่ได้ แต่เขาก็จะฉีกแขนขาของพวกเรามาเล่น ถ้าเจ้าลงมาก็จะพบชะตาเดียวกัน”
พุทธเจ้าเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความชั่วร้ายบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คือความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตถอนหายใจแล้วกล่าว “นั่นก็ไม่น่าสะพรึงกลัวเท่ากับคดข้อเลวทราม ครั้งหนึ่งจักรพรรดิแดงฉานและข้าเคยช่วยน้องชายของเขา ฉินมู่ เพื่อแย่งชิงวรยุทธของเขาไป และในท้ายที่สุด ฉินมู่ก็กลายเป็นคดข้อเลวทราม นั่นคือความสยองขวัญอย่างแท้จริง เขาไม่มีขื่อแปใดๆ ทั้งสิ้น! หากว่าไม่ใช่เพราะความสามารถของข้าสูงกว่าเขา และข้าก็เตรียมหนทางแก้ไว้ล่วงหน้า ข้าเกรงว่า…”
พุทธเจ้าเฒ่าตัวสั่นเทิ้ม “พวกท่านทั้งสองช่างรู้จักหาเรื่องตื่นเต้นเขย่าประสาทจริงๆ หากว่าฉินมู่กลายเป็นคดข้อเลวทรามไปจริงๆ พวกเราจะทำอะไรได้ นี่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องชายของเขาฉินมู่สร้างความอลหม่านเช่นนี้ ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินยิ่งถี่ยิบมากขึ้นทุกที และการปฏิรูปสันตินิรันดร์ก็ได้วิวัฒนาการจากการเปลี่ยนแปลงวิชา กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงมรรคา เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ และก็มีมรรคามากขึ้นกว่าเมื่อสองหมื่นปีก่อนมาก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสภาสวรรค์ถึงกริ่งเกรงว่าสันตินิรันดร์จะผงาดขึ้นมาเป็นสภาสวรรค์อีกแห่ง”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “ก่อนหน้านี้สักหลายปี เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินยังไม่เปลี่ยนแปลงถี่เท่าไรนัก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยบุตรแห่งฉินออกมาจากการฝึกวิชา ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเทพบรรพกาลอย่างพวกข้า การเปลี่ยนแปลงนั้นหมายความว่าพลังอำนาจก็จะเสื่อมถอยลง และนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดี หลังจากที่เทพบรรพกาลถือกำเนิด พวกข้าไม่สามารถไหลไปกับเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ ในเมื่อเต๋าเปลี่ยนแปลงแต่พวกข้าไม่เปลี่ยนแปลง นี่ก็หมายความว่าทุกความเปลี่ยนแปลงในวิชาและเต๋ากำลังทำให้พวกข้าอ่อนแอลง”
พุทธเจ้าเฒ่ากล่าว “ดวงวิญญาณของเทพีหยินสวรรค์ได้แตกสลายเป็นทรายดำละเอียดไปแล้ว งั้นเขาจะฟื้นคืนชีพนางขึ้นมาได้อย่างไร”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “ทักษะเทวะของเขาพาดผ่านหลายระบบ มีทั้งระบบใต้พิภพ เวทมนตร์แดนบาดาล ทักษะเทวะแดนปริศนา ทักษะเทวะเสกสรร มรรคาเทพ มรรคามาร มรรคาพุทธ สำนักเต๋า และอื่นๆ มากมายที่ยากจะเอ่ยถึงหมด เขามีความคิดแผลงๆ มากมาย และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะชุบชีวิตเทพีหยินสวรรค์ได้หรือไม่”
พุทธเจ้าเฒ่าอยากจะเห็นภาพของฉินมู่ตอนที่ร่ายเวทมนตร์ แต่ถ้าเขาออกไป ฉินเฟิงชิงก็จะสามารถทลายเปิดผนึกได้ ดังนั้นจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้
ขณะเดียวกันนั้นที่อีกฝั่งหนึ่ง เปรตในร่างของเทพีหยินสวรรค์ยังคงโถมทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นควันดำ ที่ลอยไปยังที่ห่างไกล เปรตส่วนใหญ่ได้ถูกขับไล่ออกไปแล้ว และเหลือพวกมันอยู่ไม่มาก
และดังนั้น เทพีหยินสวรรค์จึงสงบลง ไม่โจมตีฉินมู่กับเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งต่อ
เทพเจ้ายังคงส่องแสงบันทึกเป็นตายไปยังเทพีหยินสวรรค์ และเขาก็ยังคงกระวนกระวาย เขาไม่กล้าจะผ่อนคลายสักนิด ถัดไปนั้น เขาก็เห็นดวงวิญญาณแตกสลายของเทพีหยินสวรรค์ถูกฉินมู่เพรียกขานกลับมา และใบหน้าอันเหี่ยวยุบของนางก็ค่อยๆ กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิม
ในที่สุด อนุภาควิญญาณทั้งหมดของเทพีหยินสวรรค์ก็ถูกฉินมู่อัญเชิญมา และเปรตทั้งหลายในร่างก็ถูกขับออกไปจนหมดสิ้น เทพีศักดิ์สิทธิ์ก่อนฟ้าดินยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ไหวติง โดยมีหอคอยอยู่ในมือของนาง เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งยืนอยู่บนชั้นบนสุด ส่วนฉินมู่ยืนอยู่บนยอดหลังคา ข้างหลังเขาคือประตูน้อมสวรรค์ที่พลิกผัน
ถ้อยคำเรียงร้อยต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ละคำล้ำค่าประดุจมุกหยก เสียงของเขากัมปนาทดุจสายฟ้า และแสงสว่างจากประตูน้อมสวรรค์ก็ฉายลงไปบนใบหน้าของเทพีหยินสวรรค์
เขานั้นกำลังขโมยพลังอำนาจของเทพสรรพชีวิต และใช้มหิทธานุภาพเสกสรรของเทพสรรพชีวิตเพื่อประกอบสร้างดวงวิญญาณของเทพีหยินสวรรค์ขึ้นมาใหม่
ข้างในร่างกายของเทพีหยินสวรรค์ เม็ดทรายดำจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังประกอบสร้างขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่วิญญาณฟ้าของนางค่อยๆ ก่อขึ้นมา
สีหน้าของฉินมู่ซีดเผือด และเขารู้สึกหวานขึ้นมาในคอ เมื่อเลือดกระอักขึ้นมาถึง
แม้ว่าจะกล่าวได้ว่าเขาขโมยพลังอำนาจของเทพสรรพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนทักษะเทวะของเขา แต่เขาก็ได้เผาผลาญพลังวัตรจากตนเองไปอย่างมหาศาล นอกจากพลังวัตรของเขาแล้ว พลังชีวิตและกายเนื้อของเขาก็ล้วนแต่แห้งเหือดไปด้วย ทำให้เขายากจะทนทานต่อ
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม และเผยร่างสามเศียรหกกรออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์สามเศียรหกกรด้วย
ฉินมู่ควบคุมรัศมีของตนให้เสถียร และเมื่อผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็สามารถประกอบสร้างวิญญาณฟ้าของเทพีหยินสวรรค์ขึ้นมาได้ในที่สุด
ประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังเขาพลันส่งเสียงดังออกมา เมื่อฟ้าละดินพลิกสลับอีกครั้ง แปรเปลี่ยนไปเป็นประตูน้อมสวรรค์แบบปกติ ปราณดำพวยพุ่งออก และนั่นก็คือปราณมารใต้พิภพ ปราณพวกนี้พุ่งไปยังร่างของเทพีหยินสวรรค์ มันไหลรี่ไปยังกระดูกปลายสันหลังของนางอันเป็นตำแหน่งที่วิญญาณดินจะถูกประกอบสร้างใหม่
คราวนี้พลังอำนาจที่ฉินมู่ขโมยมา คือพลังอำนาจของภูติบดี เขาหยิบยืมพลังอำนาจของภูติบดีเพื่อประกอบสร้างวิญญาณดินของเทพีหยินสวรรค์ขึ้นมาใหม่
“แหวะ–”
ศีรษะทั้งสามของฉินมู่อาเจียนโลหิตออกมาจากปาก และเขาพยายามที่จะสะกดข่มจิตวิญญาณของเขาที่เกือบจะแตกทำลาย เขาหมุนประตูไปตามขวางต่อ และขโมยพลังอำนาจจากทั้งเทพสรรพชีวิตและภูติบดีในเวลาเดียวกัน แสงดำและแสงขาวโถมทะลักออกมาพร้อมๆ กัน ส่องไปยังนาภีของเทพีหยินสวรรค์
นั่นคือจุดที่วิญญาณชีพดำรงอยู่
ในบรรดาวิญญาณทั้งสาม วิญญาณฟ้าและวิญญาณดินสามารถฟื้นกลับมาด้วยพลังอำนาจของเทพสรรพชีวิตและภูติบดี แต่ทว่า สำหรับวิญญาณชีวิตแล้ว ฉินมู่ไม่มีข้อมูลการค้นคว้ามากนัก
ความสำเร็จของเขาในแขนงนี้ด้อยกว่าท่านยายซี
แต่ถึงอย่างไร หากว่าเหนือประตูน้อมสวรรค์คือฟ้า และข้างใต้คือดิน โลกมนุษย์ก็ควรจะอยู่กึ่งกลาง ดังนั้นเขาจึงกะที่จะใช้พลังอำนาจของทั้งเทพสรรพชีวิตและภูติบดีไปพร้อมๆ กัน เพื่อดูว่าเขาจะสามารถช่วยเทพีหยินสวรรค์ประกอบสร้างดวงวิญญาณขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่
ฉินมู่พบว่ายากที่จะฝืนทนได้มากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อของเขาหรือจิตวิญญาณดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นพลังวัตรหรือพลังวิญญาณ พวกมันล้วนแต่ไปถึงขีดจำกัด ที่ทำให้เขารู้สึกชุบชูใจขึ้นมาบ้างก็คือว่า ตรงจุดที่พลังอำนาจของเทพสรรพชีวิตและภูติบดีมาบรรจบกันนั้น วิญญาณชีพของเทพีหยินสวรรค์กำลังค่อยๆ รวบรวมเข้าด้วยกัน
เขากัดฟันทนต่อ แต่จิตคิดของเขาเริ่มจะเลอะเลือน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพเจ้า และการขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะอันท้าทายสวรรค์เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อนฟ้าดินนั้นนับว่าเป็นการเอาชีวิตตนไปเดิมพันอย่างแท้จริง!
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ
ในที่สุด วิญญาณชีพของเทพีหยินสวรรค์ก็ประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ ฉินมู่เร่งเร้าพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดของตนและหมายที่จะประกอบสร้างจิตทั้งเจ็ด แต่ทันใดนั้น สายตาเขาก็มืดวูบ และร่างของเขาก็ร่วงลงจากยอดหอคอย
“ปรมาจารย์มหาเวทได้ช่วยข้าประกอบสร้างวิญญาณทั้งสามขึ้นมาใหม่ หยินสวรรค์ไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไร”
ฉินมู่ได้ยินเสียงไพเราะดุจดนตรีที่ข้างใบหูของเขา และเพราะว่าเขาเหือดแห้งหมดแรงจนเกินไป เขาก็ไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นสิ่งใดได้
เทพีหยินสวรรค์ยื่นมือของนางออกไปและคว้าจับเขาไว้ในอุ้งมือ “ขอบคุณปรมาจารย์มหาเวทมากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าได้ถือกำเนิดจากฟ้าและดิน ดังนั้นจึงไม่มีจิตทั้งเจ็ด”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอย และยังคงใช้บันทึกเป็นตายฉายส่องไป เทพีหยินสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ขอบคุณสหายเต๋าผู้นี้มาก”
เทพนี้จึงรีบปิดบันทึกเป็นตาย และนำพู่กันกับกระดาษออกมาเขียนข้อความจำนวนหนึ่ง เทพีหยินสวรรค์ขยับเข้าไปไปใกล้เพื่อมองดู และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีกายเนื้อ และมีเพียงหนังก็ไม่ได้หมายความว่าข้าฟื้นคืนชีพมาโดยสมบูรณ์แบบ”
เทพนั้นเปลี่ยนกระดาษอีกชิ้นและเขียนอีก เทพีหยินสวรรค์กล่าว “เขาไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงแต่ว่าเผาผลาญปราณชีวิตและพลังชีวิตมากเกินไป ข้าได้ใช้หยาดน้ำหยินสวรรค์และปราณหยินสวรรค์เพื่อพยุงชีวิตของเขาเอาไว้ ไม่ต้องกังวล”
เทพนั้นนำเอากระดาษออกมาอีกชิ้นและรีบเขียน ก่อนที่จะยกชูขึ้นสูง
เทพีหยินสวรรค์กล่าว “ข้าจะแก้ปัญหาเรื่องที่ไม่มีกายเนื้ออย่างไรน่ะหรือ ข้าก็ยังไม่มีความคิดดีๆ ข้าถือกำเนิดมาจากฟ้าและดิน เช่นนั้นบางทีข้าอาจจะใช้ดินหยินสวรรค์และหยาดน้ำหยินสวรรค์เพื่อประกอบสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าสำหรับเจ้าแล้ว ในเมื่อไม่มีเลือดเนื้อข้าก็จนปัญญา แม้ว่าข้าจะช่วยเจ้าประกอบสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ แต่ไม่อาจประกอบสร้างสมบัติเทวะของเจ้า”
เทพนั้นสีหน้าหมองลงไป
เทพีหยินสวรรค์ยกหอคอยและเดินตรงไปยังทะเล ด้วยการก้าวไม่กี่ก้าว พวกเขาก็มาถึงใจกลางมหาสมุทร และนางก็ปล่อยให้เขาลอยอยู่บนผิวน้ำ
นางยกมือขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเพื่อรวบรวมลมและเส้นสายปราณหยินสวรรค์ เส้นสายปราณนั้นเข้าไปในหว่างคิ้วของฉินมู่อย่างรวดเร็ว และไหลวนไปทั่วสรรพางค์กายของเขา
เทพีหยินสวรรค์กอบเอาน้ำทะเลอีกกำหนึ่งและปล่อยให้ไหลผ่านนิ้วของนาง ที่หลงเหลืออยู่ใจกลางฝ่ามือคือหยาดน้ำใสดุจแก้วผลึก
เทพีหยินสวรรค์ค่อยๆ บรรจงวางหยาดน้ำนั้นลงบนริมฝีปากของฉินมู่ อันมันซึ่งเข้าไปและสลายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ฉินมู่มีหมอกทั่วทั้งตัวราวกับว่าหมู่เมฆมาโอบอุ้มเขา
เทพีหยินสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์มหาเวท ตื่นเถิด”
ฉินมู่รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันปลอบประโลมที่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็นอนอยู่บนผิวทะเล ใบหน้าของเทพีหยินสวรรค์ปิดบังอยู่ครึ่งฟ้า
เขาลุกขึ้นทันที และรู้สึกได้ว่าความเหนื่อยล้าของเขาหายไปราวกับปลิดทิ้ง ปราณชีวิตของเขาเต็มเปี่ยม และเต็มไปด้วยกำลังวังชา กายเนื้อของเขาก็ดูราวกับจะมีพละกำลังอันไร้ขีดจำกัด ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและยินดี เขายืนบนทะเลและคารวะทักทายเทพีหยินสวรรค์ “ผู้เยาว์แห่งตระกูลฉิน ฉินมู่ น้อมคารวะเทพีหยินสวรรค์”
“ปรมาจารย์มหาเวทสุภาพเกินไปแล้ว”
เทพีหยินสวรรค์ก้มลงไปเพื่อให้ฉินมู่กระโดดขึ้นมาบนฝ่ามือของนาง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์มหาเวทถึงกับสามารถรวบรวมวิญญาณทั้งสามของข้ากลับมาใหม่ได้ ท่านได้ให้ชีวิตใหม่แก่ข้า และข้าก็เป็นหนี้บุญคุณท่าน หยินสวรรค์ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรกับความตื้นตันสำนึกบุญคุณที่ข้ามี โอรสหยินสวรรค์ได้พลิกฟ้าคว่ำดินโลกของข้า และเมื่อข้าฟื้นฟูกายเนื้อกลับมา ข้าก็จะไปสะสางความถูกผิดดีชั่วกับเขา”
น้ำทะเลไหลเข้าไปในร่างกายของนาง และดินก็ไหลเข้าไปเพื่อช่วยประกอบสร้างกระดูกของนาง กายเนื้อของเทพีหยินสวรรค์กลายเป็นของจริงมากขึ้นทุกที และกำลังฝีมือของนางก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างเชี่ยวกราก “ปรมาจารย์มหาเวทมีข้อร้องขอใดหรือไม่”
ฉินมู่สีหน้าแดงเล็กน้อย และเขากล่าว “เทพี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกข้าว่าปรมาจารย์มหาเวท แม้แต่เทพเจ้าข้าก็ยังไม่ได้เป็น และข้าเพียงแต่พยายามอย่างดีที่สุดเท่านั้น การศึกษาค้นคว้าเรื่องวิญญาณทั้งสามของข้ายังด้อยกว่าท่านยาย…”
“ท่านคู่ควรแก่คำเรียกหานี้”
เทพีหยินสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีใครเลยแม้แต่เทพสรรพชีวิตที่รู้จักทักษะเทวะของท่าน แล้วท่านจะไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกหาว่าปรมาจารย์มหาเวทได้อย่างไร”
ฉินมู่หน้าแดงและคิดอยู่เล็กน้อย “ข้ามาจากสันตินิรันดร์ซึ่งอยู่ภายนอก เรียนถามได้หรือไม่ว่า สันตินิรันดร์จะมาเป็นพันธมิตรกับเทพีได้ไหม”
เทพีหยินสวรรค์กล่าวพลางยิ้มละไม “ได้แน่นอน”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าว “แดนบาดาลได้ตั้งศูนย์บัญชาการที่นี่เพื่อควบคุมทรายดำและนำความโกลาหลสู่โลกมนุษย์ เทพีจะสามารถควบคุมการไหลของทรายดำได้หรือไม่”
เทพีหยินสวรรค์ส่ายหัว “ข้าเพิ่งจะฟื้นคืนชีพมา และข้าก็ยังไม่อาจควบคุมโลกหยินสวรรค์ทั้งหมดได้ ข้าไม่มีพลังอำนาจที่จะควบคุมอนุภาคทั้งหลายของทรายดำ”
สายตาของนางเย็นเยียบขึ้นมาเล็กน้อย “แม้ว่าดวงวิญญาณจะถูกบดละเอียดจนมีขนาดเล็กที่สุดและเปลี่ยนเป็นทรายดำ แต่เม็ดทรายดำเหล่านี้ก็ยังคงเป็นชิ้นส่วนของวิญญาณอยู่ดี คุณสมบัติรากฐานของมันไม่มีวันแปรเปลี่ยนไป ท่านรู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
หางตาของฉินมู่กระตุกอย่างแรง เมื่อเขานึกภาพเห็นภูตผีมากมายเข้ามาบดรวมกัน และในสถานการณ์เช่นนั้น พวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างมหึมาอันก่อขึ้นมาจากดวงวิญญาณ!
ทั้งโลกหยินสวรรค์ถูกคลี่คลุมอยู่ในความมืด อันหมายความว่าทั้งโลกหยินสวรรค์คือผีเปรตตัวมหึมา!
“พวกเราล้วนแต่อยู่ในท้องของเปรตตนนี้”
เทพีหยินสวรรค์กล่าว “นี่คือวิธีการที่โอรสหยินสวรรค์ใช้ ไม่นานเขาก็จะรู้ว่าข้าฟื้นคืนชีพมา และเปรตตัวมหึมาไร้ปานเปรียบนี้ก็จะตื่นขึ้น โจมตีข้า และสังหารข้าอีกครั้ง แต่ทว่า เขาจะไม่มีทางทำได้สำเร็จในคราวนี้ ข้าจะต่อสู้กับเขาอีกหน และในคราวนี้ ข้าจะทำให้เขาได้รู้ว่า เงาแห่งสวรรค์มิใช่สถานที่ที่เขาจะย่างกรายเข้ามาได้!”