ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 690 การโจมตีจากโอรสหยินสวรรค์
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งกระวนกระวายอย่างระงับไม่อยู่และกระตุกเสื้อของเขาด้วยความแตกตื่น เขาอยากจะให้ฉินมู่ออกไปจากโลกหยินสวรรค์โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้พลอยรับเคราะห์จากเภทภัยที่ไม่จำเป็น แต่ทว่าเขาขยับฉินมู่ไม่ได้
ฉินมู่เอี้ยวศีรษะกลับไป และสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่า ทรายดำทั้งหลายในโลกหยินสวรรค์พลันเข้ามาควบแน่นก่อตัว และเชี่ยวกรากเป็นอย่างยิ่ง พวกมันเป็นกระแสลมหมุนวนในอากาศที่ก่อรูปขึ้นมาจากทรายดำ และมันก็หนาใหญ่เท่ากับมังกร พวกมันพุ่งทะยานไปมาท่ามกลางฟ้าและดินอย่างเกรี้ยวกราด!
กระนั้นก็มีสิ่งแบบนี้เกิดอยู่ทั่วไปในโลกหยินสวรรค์ ทำให้เขามองไปได้ไม่ไกล
“เทพี รักษาตัวด้วย!”
ฉินมู่รู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิชมดูการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ จึงหยิบถุงเต๋าตี้และกอดก้อนผลึกไฟสวรรค์เพื่อเดินทางออกไปพร้อมกับเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขามายังรอยแยกภูเขาอันยาวเหยียด
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งส่ายโงนเงน และเขารู้สึกสติสัมปชัญญะเลือนราง
ฉินมู่ขมวดคิ้ว จิตวิญญาณดั้งเดิมพลันปรากฏข้างหลังเขา เขายื่นถุงเต๋าตี้ให้แก่จิตวิญญาณดั้งเดิม ส่วนตัวเขาขับเคลื่อนวิชามารฟ้าเสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ใช้ปราณชีวิตของเขาต่างเข็ม เขาก็จี้ไปตามร่างกายของเทพเจ้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผนึกที่อาจารย์คนตัดไม้ตรึงไว้บนร่างของท่านนั้นมากเกินไป และมันสะกดข่มดวงวิญญาณของท่านมากเกินไป เขาไม่คาดคิดว่าท่านจะอ่อนแอลงถึงระดับนี้ ให้ข้าช่วยคลายผนึกออกไปจำนวนหนึ่งเถอะ!”
ความเร็วที่เขาร่ายเวทมนตร์นั้นไวเป็นอย่างยิ่ง และเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็รู้สึกดีขึ้น เขาได้ยินเสียงอันนุ่มนวลดังมาจากโลกหยินสวรรค์ “เทพี ไม่ได้เจอกันนานเชียว”
ฉินมู่ได้ยินเสียง และจิตคิดของเขาก็พลันเลอะเลือน เขาแตกตื่นขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่ “เสียงของโอรสหยินสวรรค์บรรจุทักษะเทวะที่ทำให้ดวงวิญญาณสับสน!”
เขารีบลากเทพเจ้าออกไป และพวกเขาก็มุ่งหน้าออกขณะที่ฉินมู่พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรักษาสติแจ่มใสเอาไว้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาตามมาติดๆ
“ยินดีด้วยกับการที่ตายและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ เทพี ข้าถามได้หรือไม่ สหายเต๋าที่ฟื้นคืนชีพเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ”
เสียงของโอรสหยินสวรรค์ยังคงดังมาอย่างนุ่มนวล และไม่เพียงแต่มันนำทักษะเทวะที่ทำให้ดวงวิญญาณมึนชามา มันยังมีความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนรักที่เข้าอกเข้าใจพวกเขาดีที่สุด แต่แน่นอนว่า มันไม่มีผลกับบุรุษเพศ
“สหายเต๋าผู้นี้เหนือธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสร้างสรรค์ทักษะเทวะที่รวบรวมดวงวิญญาณแตกสลายกลับเข้ามาใหม่ได้ บุคคลที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเช่นนี้ ย่อมคู่ควรแล้วที่จะเรียกหาว่าสหายเต๋า ดังนั้นข้าย่อมต้องไปเยี่ยมเยือนเขาด้วยตนเอง เพื่อขอรับการชี้แนะจากเขา เทพี ทำไมเจ้าไม่แนะนำเขาให้ข้ารู้จักสักหน่อยล่ะ”
เสียงของเทพีหยินสวรรค์ดังออกมา กล่าวว่า “ยอดฝีมือผู้นั้นได้จากไปแล้ว โอรสหยินสวรรค์ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดวางแผนร้ายใส่เขา นี่พวกเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาสักพักหนึ่งแล้ว ทำไมพวกเราไม่มาพูดคุยกันสักหน่อยล่ะ”
เสียงของนางทำให้หัวของฉินมู่ปลอดโปร่งทันที และเมื่อเขามองไปรอบๆ เขาก็รู้สึกว่าโลหิตในกายเย็นเฉียบและเหนียวหนืด
ตรงหน้าของเขาคือหินปักปันเขตของโลกหยินสวรรค์!
เขารู้สึกว่าเขากำลังเดินตามรอยแยกออกไป แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะย้อนกลับมายังหน้าหินปักปันเขตโลกหยินสวรรค์อีกครั้ง!
เห็นได้ชัดว่าเขาตกลงไปในกับดักอย่างไม่รู้ตัว และถูกล่อลวงไปด้วยเสียงของโอรสหยินสวรรค์
เขาคิดว่าเขากำลังออกจากที่นี่ แต่ทักษะเทวะที่ซ่อนอยู่ในเสียงของโอรสหยินสวรรค์ได้ทำให้เขาสูญเสียผัสสะด้านทิศทางและสภาพแวดล้อม ทำให้เขาไม่รู้ตัวว่าหันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หากไม่ใช่เพราะเสียงของเทพีหยินสวรรค์ที่ทำลายทักษะเทวะของโอรสหยินสวรรค์ เขาก็คงจะเดินย้อนกลับเข้าไปในโลกหยินสวรรค์
ความสำเร็จด้านดวงวิญญาณของคนผู้นี้ เหนือล้ำกว่าโหลเชียนจ้งไปเป็นหมื่นๆ ลี้!
ฉินมู่ฉวยโอกาสที่เขาฟื้นคืนสติเพื่อดึงเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งไปต่อข้างหน้า
จากข้างหลังเขา เสียงของโอรสหยินสวรรค์ดังมาอีกครั้ง “แน่นอน ได้เวลาที่พวกเราควรจะสนทนากัน แต่สำหรับยอดฝีมือผู้นี้ที่ได้คิดค้นทักษะเทวะรวบรวมวิญญาณขึ้นมาและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน ทำให้ข้าสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง”
จิตคิดของฉินมู่สับสน และเขาก็ชะงักเท้าอีกครั้ง เขาไม่กล้าย่างเท้าต่อไป ด้วยกลัวว่าจะตกกับดักของโอรสหยินสวรรค์
เทพีหยินสวรรค์หัวเราะร่า “นั่นไม่ยากเลย นั่นไม่ยากจริงๆ หากว่ามีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าย่อมจะแนะนำเขาให้เจ้ารู้จัก”
เสียงของนางดังมา และฉินมู่ก็ฉวยโอกาสนี้เพื่อวิ่งตะบึงไปและลากเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งออกจากรอยแยก แสงสว่างส่องมาจากข้างหน้า และฉินมู่ก็ทะยานออกไปเหยียบที่ธรณีประตูหินตรงหน้ารอยแยก ก่อนที่จะหันเหทิศทางกระโดดออกจากหน้าผาขาด
ข้างหลังเขา เทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งถูกแสงอาทิตย์ข้างนอกฉายส่องใส่ และควันดำก็พวยพุ่งออกจากทวารทั้งห้าของเขา เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหนังมนุษย์ ฉินมู่จูงมือของเขาเอาไว้อยู่ และผืนหนังนี้ก็โบกสะบัดร่วงลงมาจากท้องฟ้า
จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็วิ่งถลันออกมาจากรอยแยก และลอยละล่องลงมาพร้อมกับเขา
เอี๋ยนจิงจิง เหออีอี และคนอื่นๆ รออยู่ที่หน้าผาขาดด้วยความกระวนกระวายอยู่หลายวันหลายคืน สวรรค์ไท่หวงถูกเอี๋ยนจิงจิงเจาะจนทะลุแล้ว และถนนก็ได้ปูมาเชื่อมต่อกับอุโมงค์แล้ว แต่กระนั้นฉินมู่ก็ยังคงไม่ปรากฏตัว ทำให้พวกนางกังวลไม่ใช่น้อย
เอี๋ยนจิงจิงกล่าว “มังกรอ้วน เจ้าไม่เห็นจริงๆ หรือว่าพี่ชายเลี้ยงวัวเข้าไปในรอยแยกนั้น”
กิเลนมังกรส่ายหัว “ข้ากำลังนอนกลางวันอยู่ และตอนที่ข้าได้ยินเสียงของจ้าวลัทธิและกะจะเปิดตาขึ้นมองดูว่าเขาอยู่ตรงไหน ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนมีผีอำมากดเปลือกตาข้าเอาไว้ ทำให้ลืมตาไม่ได้…”
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็ฉุดคนผู้หนึ่งเหาะออกมาจากหน้าผา ทำให้พวกเขาประหลาดใจ แต่ทว่าในตอนนั้น พวกเขาก็พลันเห็นคนที่ฉินมู่ลากมาด้วยอ้าปากส่งเสียงโหยหวนเมื่อควันดำพวยพุ่งออกมาจากใบหน้าของเขา และในท้ายที่สุดเมื่อเขากลายเป็นหนังมนุษย์ผืนหนึ่ง ทุกคนก็ตื่นตระหนก
ฉินมู่ลงเหยียบพื้น มือของเขายังคงจับมือของเทพนั้นไว้ เมื่อเขามองไปข้างหลังและมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ และไม่ได้ยินทั้งเสียงของเทพีหยินสวรรค์และโอรสหยินสวรรค์จากรอยแยก เขาถึงระบายลมหายใจโล่งอก
เอี๋ยนจิงจิงมองไปที่ผืนหนังเทพเจ้าอ่อนยวบยาบที่เขาถือเอาไว้ นางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงสั่น “พี่ชายเลี้ยงวัว ของในมือท่าน…”
ฉินมู่รีบวางผืนหนังเทพเจ้าลงกับพื้น และม้วนเขาเก็บราวกับว่ากำลังม้วนเสื้อผ้าหลายชิ้น “นี่คือเทพเจ้าแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งที่ข้าพบในโลกหยินสวรรค์ เขาถูกอาจารย์คนตัดไม้ส่งเข้าไปในโลกหยินสวรรค์เพื่อสอดแนมข้อมูลแหล่งกำเนิดของความมืด เขาไม่มีกายเนื้อ และดวงวิญญาณของเขาถูกผนึกตรึงเอาไว้ในผืนหนัง ข้าจะม้วนเขาเอาไว้ก่อน เมื่อกลางคืนมาถึง เขาก็จะกลับเป็นปกติ”
“โลกหยินสวรรค์? แหล่งกำเนิดของความมืด?”
เอี๋ยนจิงจิงและเหออีอีจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง พวกนางไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
ฉินมู่นำเอาเชือกเส้นเล็กออกมาและมัดเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเอาไว้อย่างดี “มังกรอ้วน เก็บเขาไว้ดีๆ มังกรอ้วนอยู่ที่ไหน”
มังกรอ้วนมุดหัวเข้าไปในอุโมงค์เหลือแต่ก้นโผล่ออกมา เขานั้นตัวสั่นระริกไม่หยุด
ฉินมู่ได้แต่ส่ายหน้า และมัดเทพตนนี้เอาไว้กับหลังตน “อุโมงค์เสร็จแล้วหรือ”
เหออีอีกล่าว “ด้วยความช่วยเหลือจากพี่สาวจิงจิง พวกเราก็ได้ขุดอุโมงค์ทะลุสวรรค์ไท่หวงเสร็จแล้ว อุโมงค์นี้ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เรือตะวันก็สามารถขับผ่านมันไปได้ แต่ทว่า พวกเรายังต้องรั้งดวงตะวันกลับมาเก็บไว้เสียก่อน หนังมนุษย์นี้…”
นางขนหัวลุกเต็มเหยียด
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่ากลัวไปเลย เขาเป็นคนพูดจาง่าย เขาเหมือนกับท่านปู่ใบ้เท่านั้นแหละ ทั้งคู่ล้วนแต่มีเรื่องพูดจามากมาย”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเดินตรงไปและวางก้อนผลึกไฟสวรรค์กับถุงเต๋าตี้ลงกับพื้น ฉินมู่รีบนำเหล็กหยินสวรรค์จำนวนหนึ่งออกมา “เพียงแต่ว่าสภาพในตอนนี้ของเขาค่อนข้างประหลาดอยู่สักหน่อย แต่หลังจากที่ข้าสร้างภาชนะบรรจุอันเก็บกักความมืดไว้ให้เขาได้ เขาก็จะกลายเป็นปกติ…หืม ก็ยังคงแปลกประหลาดมากอยู่ดี”
สองสาวหันไปมองกันและกัน และก็เห็นแต่ความงุนงงในดวงตาของอีกฝ่าย
หนังมนุษย์จะมีเรื่องพูดจามากมายได้อย่างไร
พูดเก่งพอๆ กับท่านปู่ใบ้?
นั่นมันพิลึกกึกกือของแท้เลยล่ะ
ฉินมู่นำโต๊ะตีเหล็กขนาดกลางออกมาจากถุงเต๋าตี้ และวางเหล็กหยินสวรรค์ลงบนโต๊ะ เขาวางก้อนผลึกไฟสวรรค์ลงในเตา และคอยคุมปราณชีวิตเพื่อกระตุ้นมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นไฟก็พวยพุ่งขึ้นมา และหลอมละลายทั้งโต๊ะตีเหล็ก ไม่เหลืออะไรเลยสักนิด
ฉินมู่จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทั้งยังจนปัญญา ตรงหน้าเขาเหลือแต่อากาศธาตุ แม้แต่เหล็กหยินสวรรค์ก็ระเหิดหายไปจนหมด!
“ใช้ไฟแบบนี้ปูถนน จะต้องทำให้เสร็จไปอย่างรวดเร็วแน่นอน!” เอี๋ยนจิงจิงกล่าวด้วยความยินดี
เหออีอีมีแต่ความหวาดผวาในดวงตา และนางก็รีบส่ายหัว “หากว่าไฟแบบนี้ถูกใช้อย่างไม่ระวัง มันก็จะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่มีอะไรเหลือ!”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าวด้วยความพิศวง “งั้นเราก็ต้องควบคุมความร้อน”
นางกล่าวอย่างง่ายดาย ราวกับว่าการควบคุมความร้อนนั้นเป็นงานที่เรียบง่ายอย่างสุดๆ
ฉินมู่ใจหวั่นไหวเล็กน้อย และเขากล่าว “น้องสาวจิง นี่คือไฟสวรรค์แห่งแดนปริศนา ข้าควบคุมความร้อนไม่เก่งเท่ากับเจ้า เจ้ามาลองดูหน่อย”
เอี๋ยนจิงจิงก้าวเข้าไปและใช้ปราณชีวิตของนางควบคุมแก้วผลึกไฟสวรรค์ เพลิงไฟพลันดูเหมือนจะกลับมามีชีวิต และยืดเหยียดเรือนเพลิงของมันเพื่อแยกแยะเป็นไฟต่างๆ อันมีรูปทรงแก้วผลึก มันสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่นำเหล็กหยินสวรรค์จำนวนหนึ่งออกมา และควบคุมโลหะอันเหมือนทรายนี้ วางลงไปเหนือไฟ เหล็กหยินสวรรค์ค่อยๆ หลอมละลาย
“ดูสิ มันง่ายใช่ไหมล่ะ” เอี๋ยนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่ลิงโลดอย่างสุดๆ และเขากล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ความสามารถในการควบคุมไฟของน้องสาวจิงเหนือล้ำกว่าใครๆ แม้แต่ข้าก็ยังถูกทิ้งห่างอย่างไม่ติดฝุ่น นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าสามารถเที่ยวไปตามท้องถนนกับข้าเพื่อช่วยผู้คนหลอมตีมีดและลับกรรไกรของพวกเขา ฝีมือเจ้าจะล้ำเลิศแม้ว่าจะเป็นเรื่องการหลอมสร้างตะหลิวหรือตะบวย!”
เขาใช้เหล็กหยินสวรรค์ที่หลอมละลายเพื่อหลอมสร้างนาฬิกาทรายอันละเอียดประณีต และนาฬิกาทรายถึงกับมีขีดบอกทุกๆ ครึ่งชั่วยาม จากนั้นเขาก็สลักอักษรรูนลงไปมากมาย
นาฬิกาทรายนี้คล้ายกับสัประยุทธ์ฟ้าของโอรสหยินสวรรค์ แต่มันเป็นเพียงของลอกเลียนแบบเท่านั้น
ระบบไหลเวียนโคจรที่โอรสหยินสวรรค์ได้จัดตั้งขึ้นมานั้นครบสมบูรณ์กว่า โดยใช้ทรายดำที่หมุนเวียนอยู่ในแดนโบราณวินาศ โลกหยินสวรรค์ และในโลกมิติอื่นๆ
ฉินมู่ได้วางแผนที่จะใช้เหล็กหยินสวรรค์หลอมสร้างนาฬิกาทรายเพื่อเก็บกักทรายวิญญาณดำและปล่อยให้ทรายวิญญาณดำไหลกลับไปกลับมาระหว่างร่างของเทพเจ้าและนาฬิกาทราย
ด้วยวิธีนี้ ระบบไหลเวียนเล็กๆ ก็จะก่อรูปขึ้นมา และตราบเท่าที่ไม่มีความผิดพลาดในการจารึกอักษรรูน เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็จะสามารถสลับไปมาระหว่างรูปลักษณ์ของหนังมนุษย์และตัวมนุษย์ระหว่างกลางวันและกลางคืน
เหล็กหยินสวรรค์เป็นโลหะเทวะจากโลกหยินสวรรค์ และเป็นหนึ่งในของไม่กี่อย่างที่ใช้บรรจุทรายดำได้ ดังนั้นการใช้โลหะเทวะชนิดนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
จากนั้นฉินมู่ก็หลอมสร้างถาดเล็กๆ และถาดนี้ก็มีฟันเฟืองกับชิ้นส่วนมากมายเพื่อจะได้แสดงเวลาอย่างแม่นยำ การปรับแต่งของมันนั้นขึ้นกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก มิได้เป็นไปตามชั่วยามของวันหนึ่งๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆ เฟืองอันประทับเอาไว้ด้วยอักษรรูน และอักษรรูนก็จะสั่นพ้องกับเทพเจ้า เพื่อรักษาระบบไหวเวียนโคจรนี้เอาไว้
แบบนี้ ระบบไหลเวียนโคจรเล็กๆ แห่งโลกหยินสวรรค์ก็จะก่อตัวขึ้นมา
หลังจากที่เขาสร้างมันเสร็จ เขาก็วางนาฬิกาทรายไว้บนถาด และหลอมสร้างสมบัติวิเศษชิ้นน้อยอีกสองชิ้น ในท้ายที่สุด พวกมันก็มีขนาดสองถึงสามนิ้วและบอบบางเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หลอมตีวงแหวนอีกวง และใส่นาฬิกาทรายลงไปกลางวงแหวน มันเหมือนกับจี้ที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาหน่อย และเขาเพียงแต่ต้องหลอมสร้างสร้อยขึ้นมาสำหรับห้อยมันเอาไว้รอบคอของเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อให้ระบบไหลเวียนโคจรนี้ธำรงอยู่ได้ต่อไป
หลังจากที่เขาหลอมสร้างมันเสร็จ เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก และยืดเหยียดหลัง
เอี๋ยนจิงจิงหยิบสร้อยคอประหลาดนี้ขึ้นมาดู นอกจากประโยชน์ใช้สอยของมันแล้ว มันก็ยังสวยงามน่ามอง ทำให้ผู้คนหยิบมาชมแล้วไม่อยากจะวาง
ฉินมู่หันกลับไปมองที่หน้าผา พลางคิดในใจ ไม่รู้ว่าการต่อสู้ระหว่างโอรสหยินสวรรค์กับเทพีหยินสวรรค์จะเป็นอย่างไร หากว่าเทพีหยินสวรรค์ไม่สามารถสกัดโอรสหยินสวรรค์เอาไว้นอกโลกหยินสวรรค์ได้ นางก็คงจะไม่รอดพ้นความตาย…
ในโลกหยินสวรรค์ สตรีร่างมหึมายืนอยู่ใจกลางมหาสมุทร และขับเคลื่อนหอคอยอันสูงลิบลิ่วเพื่อต่อสู้กับโอรสหยินสวรรค์ข้ามโลกมิติ