ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 691 การต่อสู้ระหว่างสองตัวตนสุดยอด
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 691 การต่อสู้ระหว่างสองตัวตนสุดยอด
สองยอดฝีมืออันมีกำลังฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิกำลังต่อสู้กันด้วยเวทมนตร์ เวทมนตร์และทักษะเทวะที่พวกเขาใช้ทั้งหลายล้วนแต่กว้างใหญ่ไร้ประมาณและตรงไปตรงมา ก็ในเมื่อการโจมตีและการป้องกันของพวกเขามีหลักการของเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่เรียบง่ายที่สุดและสามัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในทักษะเทวะเพื่อที่จะปลดปล่อยมหิทธานุภาพของทักษะเทวะในระดับอันผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้าทั้งหลายไม่มีวันไปถึง
มันคือทักษะเทวะในเขตขั้นเต๋า เรียบง่าย ได้ผล และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกินจำเป็น กระบี่ริเริ่มภัยพิบัติของฉินมู่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าวิชากระบี่ของเขาย่างกรายสู่เต๋าแล้ว
แต่ทว่า ฉินมู่เพิ่งตรึกตรองเข้าใจเพียงกระบวนท่าเดียว และหลังจากที่เขาร่ายรำออกไป ก็ไม่มีเพลงกระบี่อื่นใดที่สามารถร่ายรำต่อเนื่องได้ แต่ในทางกลับกัน การใช้กระบวนท่าอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องเรียบง่ายธรรมดาสำหรับเทพีหยินสวรรค์และโอรสหยินสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันข้ามโลกมิติ แต่การโจมตีของพวกเขาก็ปราดเปรื่องอัศจรรย์และหลากหลาย แทบจะไม่มีกระบวนท่าไหนที่ซ้ำกัน
จักรพรรดิดำที่กำลังต่อสู้กับเทพีหยินสวรรค์นั้น ก็มีรูปลักษณ์เหมือนกับที่นางบรรยาย เขาเป็นบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยกิริยามารยาท และแม้ว่าเขาจะมีความสูงส่งของจักรพรรดิ แต่เขาก็ไม่เขื่องโขและอวดเบ่งอำนาจเลยแม้แต่น้อย
เขาดูหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยดวงตาที่ยาวเรียวเหมือนกับดวงตานกหงส์เพลิง หนวดของเขาเป็นหน้าจั่ว อันทำให้เขามีเสน่ห์
เขาคือโอรสหยินสวรรค์ ผู้ที่ได้วางแผนลอบทำร้ายเทพีหยินสวรรค์เมื่อครั้งกระโน้น และเข้ามาควบคุมโลกหยินสวรรค์ภายในปราดเดียว
“แม้ว่าเทพีจะตายไปหลายปี แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโชควาสนาในคราวเคราะห์”
โอรสหยินสวรรค์ต่อสู้เป็นเวลานาน และเขาก็ไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไปในโลกหยินสวรรค์ได้เลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงโพล่งขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ปฏิภาณความเข้าใจในเต๋าของเจ้าได้เหนือล้ำกว่าที่เคยเป็นมาก่อน การต่อสู้กับเจ้าข้ามโลกมิติ ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องใช้กลเม็ดนี้”
ลมและเมฆพลันแปรเปลี่ยน และทรายดำนับไม่ถ้วนก็ไหลบ่ามาจากโลกมิติทั้งหมดเข้าไปในโลกหยินสวรรค์ สัตว์ประหลาดจำนวนมากที่แปลงร่างมาจากผีเปรตก็วิ่งตะบึงเข้าไปอย่างเกรี้ยวกราดยังเทพีหยินสวรรค์ และในเวลานั้น ผีเปรตมากมายก็วิ่งพล่านไปทั่วมหาสมุทร!
ไม่เพียงเท่านั้น ทรายดำในโลกหยินสวรรค์ยังกดทับลงมาบนเทพีหยินสวรรค์ พร้อมๆ กับที่ผีเปรตยักษ์แห่งโลกหยินสวรรค์กำลังจะลืมตาตื่น
โลกหยินสวรรค์จมลงไปในความมืดอันปราศจากแสงทั้งมวล
เทพีหยินสวรรค์หัวเราะเบาๆ และนางก็พลันโยนสัประยุทธ์ฟ้าขึ้นไป สัประยุทธ์ฟ้าหมุนอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า และทั้งโลกหยินสวรรค์ก็ปั่นหมุนไปด้วย!
ทะเลส่งเสียงหวีดหวิวและพลิกโถมสู่นภากาศ แผ่นดินกลับมาลอยเหนือศีรษะ เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นปฐพีอันว่างเปล่า ผีเปรตนับไม่ถ้วนร่วงหล่นอย่างช่วยตัวเองไม่ได้เมื่อพวกมันถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ ฟ้าและดินพลิกผันอีกครั้ง และพวกมันถูกซัดฟาดลงอย่างไร้ปรานีอีกหน
การหมุนปั่นของฟ้าและดินได้เคลื่อนขยับทั้งโลกหยินสวรรค์ และเหวี่ยงผีเปรตทั้งหลายไปรอบๆ พวกมันโจมตีเทพีหยินสวรรค์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และทรายวิญญาณดำก็แตกกระจายออกจากกันด้วยแรงสั่นสะเทือน
โอรสหยินสวรรค์ถอนหายใจ และเขาก็ค่อยๆ จางหายไปในความมืดของแดนบาดาล
“เจ้ากระโดดออกมาจากโซ่ตรวนของเทพก่อนฟ้าดินได้จริงๆ และถึงกับเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะจากสัประยุทธ์ฟ้าของข้าได้ ข้ายิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวสหายเต๋าที่ชุบชีวิตเจ้า เขาเป็นใครกันแน่ถึงสามารถสำเร็จเรื่องราวอันน่าแตกตื่นเช่นนี้…”
ใบหน้าของเขาค่อยๆ จมหายไปในความมืดและสาบสูญ “แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังคงไม่อาจสยบผีเปรต และไม่อาจกำราบโลกหยินสวรรค์ได้”
เขานั้นเป็นผู้ที่รู้จักบุกรู้จักถอย เมื่อเขาตระหนักว่าไม่อาจสะกดข่มเทพีหยินสวรรค์ด้วยผีเปรตพวกนี้ เขาก็หยุดเปลืองความพยายาม และสงวนกำลังเอาไว้แทน
เทพีหยินสวรรค์ถอนหายใจโล่งอก และใช้นิ้วเคาะลงไปบนสัประยุทธ์ฟ้าแต่เบาๆ สัประยุทธ์ฟ้าที่กำลังหมุนติ้วอยู่บนเวหาก็ค่อยๆ หยุดลง และในตอนนั้น โลกหยินสวรรค์ก็ขย่มลงมากดทับเทพีหยินสวรรค์อีกครั้ง!
ข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะสังหารผีเปรตยักษ์ในโลกหยินสวรรค์ และทำให้โลกหยินสวรรค์กลับมาอยู่ใต้การควบคุมของข้าอีกครั้ง
เทพีหยินสวรรค์ได้แต่ถูกรุมเร้าด้วยความกังวล
แม้ว่านางจะสามารถหยุดยั้งการรุกรานของโอรสหยินสวรรค์ แต่โลกหยินสวรรค์ก็ยังไม่กลับมาอยู่ในการควบคุมของนาง ผู้ที่ควบคุมโลกหยินสวรรค์ก็ยังคงเป็นโอรสหยินสวรรค์
หากว่านางไม่สามารถแก้ไขวิกฤตใหญ่ของผีเปรตหยินสวรรค์ได้ ก็ยากที่จะแย่งชิงการควบคุมโลกหยินสวรรค์กลับคืนมา
ในขณะเดียวกันนั้น วิกฤตของโลกหยินสวรรค์ก็คือ มันไม่ได้อยู่ใต้การกำกับดูแลของสองแดนดินแห่งภูติบดีและเทพสรรพชีวิต โลกหยินสวรรค์เป็นอิสระ หลุดพ้นจากโลกหล้า และในทางกลับกัน ก็เต็มไปด้วยอันตราย
มีผีเปรตที่หิวโหยตลอดเวลาอยู่ทั่วไปหมด และพวกมันก็กัดกินชีวิตทุกชีวิต ตราบเท่าที่โลกหยินสวรรค์อยู่ใต้เงาของเทพสรรพชีวิต วิกฤติโลกหยินสวรรค์ก็ยังคงดำรงอยู่ จะมีผีเปรตทั่วทุกหนทุกแห่ง และผีเปรตพวกนี้ก็จะกัดกินทุกสิ่งทุกอย่าง
อะไรที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องผีเปรตพวกนี้นะ
เทพีหยินสวรรค์นั่งลงข้างๆ ทะเล และลูบคางของนางด้วยความเบื่อหน่าย หอคอยตั้งสูงตระหง่าน และสะกดข่มสถานการณ์ผิดปกติในโลกหยินสวรรค์ นางครุ่นคิด หากว่าข้าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ข้าก็คงมีแต่ต้องอยู่ตามลำพัง นอกจากข้าแล้ว ชีวิตอื่นๆ ในโลกหยินสวรรค์ก็จะไม่สามารถรอดอยู่ได้ มีก็แต่เมื่อข้าสามารถทำให้มีสิ่งมีชีวิตรอดอยู่ได้ในโลกหยินสวรรค์ วิกฤตินี้จึงจะคลี่คลายลงไป…หากเพียงแต่ปรมาจารย์มหาเวทอยู่ที่นี่ด้วย บางทีเขาอาจจะมีความคิดดีๆ…
นางครุ่นคิดจนปวดหัว ผีเปรตทั้งหลายคือที่มาของวิกฤติโลกหยินสวรรค์ ตัวนางในตอนนี้มิใช่เทพศักดิ์สิทธิ์ก่อนฟ้าดินที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงสามารถเรียนทักษะเทวะอื่นๆ ได้ บางทีนางอาจจะค้นพบหนทางแก้ไข
หากว่าปัญหายากเย็นเรื่องผีเปรตไม่ได้รับการแก้ไข นางก็คงได้แต่ต้องคอยเฝ้าระวังป้องกันอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้น หากว่านางออกไป โอรสหยินสวรรค์ก็จะฉวยโอกาสลอบเข้ามา และแย่งชิงโลกหยินสวรรค์ นางก็จะกลายเป็นไร้บ้าน
ที่แหล่งธารแม่น้ำหย่งในแดนโบราณวินาศ ฉินมู่มิได้มีปัญหารบกวนใจอย่างเทพีหยินสวรรค์ แม้ว่าเทพีหยินสวรรค์และโอรสหยินสวรรค์จะต่อสู้กันดุเดือด และพลิกฟ้าคว่ำดินกันไปหลายรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อแดนโบราณวินาศ
แม้ว่าสัประยุทธ์ฟ้าจะสามารถควบคุมการรุกรานของความมืด แต่ตอนนี้ในแดนโบราณวินาศเป็นเวลากลางวัน ความมืดไม่อาจรุกรานเข้ามาในแดนโบราณวินาศตอนกลางวันได้
“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเทพีหยินสวรรค์ชนะหรือพ่ายแพ้” เหออีอีถามด้วยความกังวล
“หากว่าพวกเราเข้าไปในโลกหยินสวรรค์เพื่อสืบเรื่องราว ถ้าเทพีหยินสวรรค์ชนะก็ดีไป แต่หากว่าเทพีหยินสวรรค์พ่ายแพ้ พวกเราก็คงไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้ากับดัก”
ฉินมู่มองไปที่หน้าผาและกล่าว “พวกเราจะรอจนกว่าฟ้ามืด หากว่าเทพีได้รับชัยชนะ มันก็น่าจะไม่มีความมืดเข้ามารุกรานแดนโบราณวินาศอีกต่อไป หากว่านางพ่ายแพ้ ความมืดก็ยังคงดำรงอยู่”
เอี๋ยนจิงจิงนั่งลงข้างๆ เข้าและจ้องมองหน้าผาไปด้วยกันกับเขา ฉินมู่กล่าวต่อ “ชัยชนะและพ่ายแพ้ของเทพีหยินสวรรค์ไม่ได้เกี่ยวพันกับโชคชะตาของโลกหยินสวรรค์และแดนโบราณวินาศเท่านั้น ข้ารู้สึกว่ามันยังเกี่ยวพันกับโลกหล้าทั้งหมด ทรายวิญญาณดำอัดแน่นอยู่ในโลกหยินสวรรค์ และหากว่าทรายวิญญาณดำแห่งโลกหยินสวรรค์ไม่สามารถสลายไปได้โดยสิ้นเชิง ก็จะยิ่งมีทรายวิญญาณดำในฟ้าและดินมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าเกรงว่าทุกโลกหล้าคงจะถูกผีเปรตเข้ายึดครอง เมื่อเวลานั้นมาถึง โอรสหยินสวรรค์ก็จะเป็นจ้าวผู้ปกครองแห่งทุกโลกมิติ”
เอี๋ยนจิงจิงและเหออีอีอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน
พวกนางได้ยินฉินมู่บอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในโลกหยินสวรรค์แล้ว และพวกนางก็ยังรู้เกี่ยวกับที่มาของทรายวิญญาณดำและผีเปรตอีกด้วย
ทรายวิญญาณดำเกิดขึ้นเมื่อดวงวิญญาณแตกสลาย
ผีเปรตเป็นวิญญาณร้ายไม่มีวันตายชนิดหนึ่งที่ก่อขึ้นมาจากทรายดำ พวกมันหิวโหยอยู่ตลอดเวลา และรู้แต่จะกัดกินเข่นฆ่า
หากว่าดวงวิญญาณแหลกสลายในทุกโลกมิติสะสมพอกพูนมากขึ้นทุกที ก็จะยิ่งมีทรายวิญญาณดำก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกมันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพวกผีเปรตที่ฆ่าไม่ตาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะหรือมนุษย์ธรรมดา พวกเขาก็ยากที่จะป้องกันตัวจากการรุกรานของผีเปรต หากว่าโอรสหยินสวรรค์สามารถควบคุมเปรตพวกนั้นได้ แม้แต่เทพและมารก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป โลกทั้งหมดก็จะล่มสลาย และสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็จะถูกกวาดล้างสิ้นไป ทุกโลกมิติจะจมลงไปในความมืดและความเงียบงัน!
“เทพีจะสามารถทำลายทรายดำและเปรตเหล่านั้นได้ไหม”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าว “โอรสหยินสวรรค์เป็นจักรพรรดิแดนบาดาล และเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่รู้ว่าเทพีหยินสวรรค์จะเอาชนะเขาได้หรือไม่ หากว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิดำ งั้นเราก็คงไม่มีแผนการอะไรที่จะใช้ได้”
“เทพีหยินสวรรค์ตายมานานหลายหมื่นปี นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโอรสหยินสวรรค์ แต่ทว่า หากโอรสหยินสวรรค์ต้องการสังหารนาง เขาต้องจุติเข้าไปในโลกหยินสวรรค์ด้วยตนเอง”
ฉินมู่กล่าว “ตราบใดที่เขาไม่สามารถบุกโจมตีเข้าไปในโลกหยินสวรรค์ได้ เทพีหยินสวรรค์ก็ยังสามารถต้านทานเขาไหว ไม่มีปัญหาหรอก”
เหออีอีกล่าวด้วยความว้าวุ่น “ต่อให้เทพีหยินสวรรค์ป้องกันตัวจากคู่ต่อสู้ได้ แต่นางก็อาจจะไม่สามารถจัดการกับผีเปรตทั้งหลาย หากว่านางมีวิธีจัดการ โลกหยินวรรค์ก็คงไม่มีปัญหาตั้งแต่แรก และนางก็คงจะไม่ถูกพวกมันกัดกินไป”
ฉินมู่กล่าว “ปัญหาในโลกหยินสวรรค์นั้นจิ๊บจ้อย นางจะต้องสามารถคิดหาหนทางแก้ไขได้แน่นอน”
เอี๋ยนจิงจิงดวงตาเป็นประกายนางมองไปที่เขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หากว่าเป็นเจ้า จะแก้ไขอย่างไร”
“ง่ายมาก ผีเปรตหวาดกลัวดวงตะวัน และเมื่อใดที่ดวงตะวันขึ้นในแดนโบราณวินาศ ผีเปรตก็จะล่าถอยไปพร้อมกับความมืด เพื่อไปซ่อนอยู่ในโลกมิติอื่นๆ หรือโลกหยินสวรรค์ นี่แสดงว่าผีเปรตไม่อาจพบเจอแสงตะวันได้”
ฉินมู่กล่าว ตราบเท่าที่นางแขวนดวงตะวันเอาไว้ในโลกหยินสวรรค์ นางก็จะสามารถสยบเหล่านั้นให้เชื่อฟัง หากว่าดวงตะวันส่องแสงทั้งกลางวันและกลางคืน นางก็จะสามารถขับไล่ผีเปรตให้ไปซุกหัวอยู่ที่มุมเดียวมุมหนึ่งของโลกหยินสวรรค์ และพวกมันก็จะไม่สามารถอาละวาดสร้างความปั่นป่วนแก่โลกหยินสวรรค์
เอี๋ยนจิงจิงจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง “ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ดูท่าว่าเทพีจะต้องคิดความคิดนี้ออกอย่างแน่นอน”
ฉินมู่ผงกหัวรับ “เทพีเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง และต่อให้นางหาดวงตะวันไม่ได้ นางก็ยังสามารถเจาะกำแพงเพื่อขโมยแสงสว่าง ตราบเท่าที่นางเจาะส้นเท้าของเทพสรรพชีวิต นางก็จะสามารถหยิบยืมแสงสว่างจากเทพสรรพชีวิตได้”
เอี๋ยนจิงจิงหัวเราะ “แบบนั้นจะเจ็บมากขนาดไหน เทพสรรพชีวิตคงไม่ยอมหรอก”
“ข้ารู้สึกว่าเทพสรรพชีวิตคงยินยอม ต่อให้เขาไม่ยินยอม เขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“เขาไม่สามารถเสาะหาโลกหยินสวรรค์เจอ”
ฉินมู่กล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น หากว่ามีรูที่ส้นเท้าของเขา แสงสว่างของเขาก็จะสามารถสาดส่องลงไปในโลกหยินสวรรค์ และโลกหยินสวรรค์ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนปริศนา มันจะไม่มีเงาแห่งฟ้าอีกต่อไป และเขาก็จะมีจุดอ่อนน้อยลง แต่ทว่า หากเรื่องนั้นเกิดขึ้น โลกหยินสวรรค์ก็จะอาจจะหายสาบสูญไป”
เขายังคงมองไปที่หน้าผาด้วยสีหน้าเยือกเย็น “สองวิธีที่ข้าพูดไปนั้นมิได้แก้วิกฤตผีเปรตจากรากเหง้า มันเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุมากกว่าต้นเหตุ เพื่อแก้วิกฤตผีเปรตอย่างแท้จริงแล้ว ผีเปรตจะต้องถูกทำลาย บันทึกเป็นตายที่โอรสหยินสวรรค์สร้างขึ้นก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ บันทึกเป็นตายไม่อาจลบล้างผีเปรตและทรายดำ ทรายวิญญาณดำและผีเปรตมีต้นกำเนิดจากเงาแห่งฟ้า ดังนั้นผู้เดียวที่สามารถจัดการกับทรายดำและผีเปรตก็คือเทพีหยินสวรรค์”
หญิงสาวทั้งสองผงกศีรษะอย่างแผ่วเบา
ทิวานี้ดูจะยืดยาวไปอย่างไม่มีสิ้นสุด และดวงอาทิตย์ก็ดูจะลอยค้างเติ่งอยู่ทิศตะวันตก ไม่ยอมตกลงไปลับเหลี่ยมเขา ขณะที่ทุกคนกระวนกระวายจากการรอคอย ดวงตะวันก็ค่อยๆ จมลงไปยังขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า
ฉินมู่มองไปที่หน้าผาขาดด้วยความว้าวุ่น และเห็นว่ามีความมืดพวยพุ่งออกจากหน้าผาขาด ความมืดนี้เข้ามาท่วมพวกเขาและกวาดซัดไปทั่วแดนโบราณวินาศในทันที
ฉินมู่หัวใจตกวูบ “เทพีพ่ายแพ้เสียแล้ว…”
ในตอนนั้นเอง ผืนหนังมนุษย์ข้างๆ เขาก็พลันเป็นอิสระจากเชือกที่ผูกเอาไว้ และยืดเหยียดออกมา เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งพองลมและมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้
เอี๋ยนจิงจิงสาดแสงเทวะออกไปเพื่อป้องกันการรุกรานของความมืด เมื่อนางมองไปยังใบหน้าของฉินมู่ นางก็พบว่าสีหน้าของเขาหมองมัว ดูเศร้าและหดหู่
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งมองไปที่คอของตน และเขาเห็นสร้อยคอประหลาดห้อยอยู่ตรงนั้น ข้างๆ เขายังมีกระดานเขียนและดินสอถ่านอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?” เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเขียนบนกระดานไม้และยกมันขึ้นมาถาม
ฉินมู่ไม่พูดอะไร และเทพนั้นก็ยกกระดานขึ้นมาถามอีกครั้ง “การต่อสู้เป็นอย่างไร ใครชนะ”
ฉินมู่ถอนหายใจและเดินเข้าไปในความมืดด้วยตนเอง เทพเจ้างุนงง และเขายกแผ่นกระดานขึ้นถาม “ข้าพลาดอะไรไปหรือ”
ไม่มีใครตอบเขา
เขายังคงอยากจะยกกระดาษขึ้นมาอีกรอบ แต่ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ตัวสั่นเล็กน้อยในความมืด ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผีเปรตในความมืดน้อยมาก!”
เอี๋ยนจิงจิง เหออีอี และเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งตกตะลึง และเอี๋ยนจิงจิงกำลังจะกล่าวอะไร เทพเจ้าก็ได้ยกแผ่นกระดานขึ้นมาถาม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“คนผู้นี้พูดเก่งจริงๆ!” เอี๋ยนจิงจิงกับเหออีอีอึ้งไป หากว่าเขาไม่ต้องเสียเวลาเขียนแผ่นกระดานไม้ และสามารถอ้าปากพูดได้ คงไม่มีใครตัดบทการพูดของเขาได้อย่างแน่นอน