ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 692 รวบรวมผู้ทรงปัญญา
ฉินมู่ยืนอยู่ในความมืดและมองไปรอบๆ เขายังคงเห็นผีเปรตจำนวนหนึ่งในความมืด แต่พวกมันมีไม่มาก และเขาก็เห็นผีเปรตไม่กี่ตนที่ล่องลอยไปโดยไร้จุดหมาย
แน่นอนว่า ผีเปรตเหล่านี้ยังคงอันตรายร้ายกาจ ความเร็วของพวกมันเร็วอย่างสุดกู่ และหากว่าคนธรรมดาเดินเข้าไปในความมืด ผีพวกนี้ก็จะกัดกินพวกเขาไปอย่างไม่เหลือหลอ
ความมืดยังคงมีอยู่ แต่จำนวนของผีเปรตลดน้อยลงไป นี่หมายความว่าการศึกระหว่างเทพีหยินสวรรค์และโอรสหยินสวรรค์ได้จบลงไปแล้ว โอรสหยินสวรรค์เข้าไปในโลกหยินสวรรค์ไม่สำเร็จ และสังหารเทพีหยินสวรรค์ไม่สำเร็จ
การควบคุมของเขาที่มีเหนือโลกหยินสวรรค์อ่อนแอลง และนั่นทำให้จำนวนเปรตที่หลุดออกมาลดน้อยลงไป
เทพีหยินสวรรค์คงจะต้องตรึงสะกดผีเปรตจำนวนไม่น้อยเอาไว้ในโลกหยินสวรรค์
ผลลัพธ์ที่เห็นทำให้ฉินมู่มีกำลังใจเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็กล่าว “รอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะเข้าไปในโลกหยินสวรรค์เพื่อดูลาดเลาสักหน่อย”
“ตกลง”
ก่อนที่เหออีอีจะได้พูดอะไร เอี๋ยนจิงจิงก็ตอบ “ระวังตัวด้วย”
ฉินมู่เหาะเข้าไปในรอยแยกอันนำไปสู่โลกหยินสวรรค์ และเหออีอีก็ถามด้วยเสียงแผ่ว “พี่สาวจิงจิง ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้เขาเข้าไปในที่อันตรายแบบนั้นแต่ลำพัง เจ้าก็เป็นเทพเจ้า ถ้าเจ้าไปด้วยจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ”
เอี๋ยนจิงจิงส่ายศีรษะและอธิบาย “กำลังฝีมือของเขาเลิศล้ำอย่างสุดขั้ว และเขาจะสามารถหลบหนีได้หากว่าเผชิญกับอันตราย หากว่าพวกเราตามเขาเข้าไป พวกเราก็จะกลายเป็นแบ่งแย่งสมาธิของเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพวกเราเผชิญหน้ากับโอรสหยินสวรรค์จริงๆ แม้แต่เทพเจ้าอย่างข้าก็ยังไร้ประโยชน์”
เหออีอีไตร่ตรองถ้อยคำของนาง และจ้องเข้าไปในดวงตานางอย่างลึกล้ำ
ฉินมู่เคลื่อนไหวผ่านรอยแยกภูเขา และผ่านไปนานพักหนึ่งเขาถึงเพิ่งถึงหินปักปันเขตแห่งโลกหยินสวรรค์ เขามองไปรอบๆ และเห็นหอคอยตรึงสะกดอยู่กลางอากาศ บีบรัดห้วงอวกาศแห่งโลกหยินสวรรค์ด้วยแรงกดดัน มันเหมือนกับลูกตุ้มเหล็กที่กดลงไปบนพรมหนา
สถานที่ที่หอคอยตรึงสะกดลงมาไม่มีผีเปรตอีกต่อไป และผีเปรตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตัวสั่นระริกอยู่ที่ขอบฟ้าด้วยแรงกดดัน ท้องฟ้าที่เคยขมุกขมัวก็ใสกระจ่าง แต่มันก็ยังไม่สว่างจ้า
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและเดินต่อไปข้างหน้า ในที่สุดเขาก็พบกับเทพนารีที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บนชายฝั่งทะเล
เทพีหยินสวรรค์นั่งอยู่ที่นั่นด้วยฝ่ามือทั้งสองประคองหน้าของตนเอาไว้ นางจ้องไปที่ทะเลด้วยความเบื่อหน่าย พลางแช่เท้าของนางลงในน้ำทะเลอันตื้นเพียงข้อเท้า
นางไม่มีเสื้อผ้าจริงๆ ปกคลุมร่างกาย และได้แต่ใช้ไอรุ้งที่ก่อขึ้นมาจากแสงเทวะเพื่อปิดคลุมร่างกาย มันให้ความรู้สึกอนารยะและเถื่อนถ้ำแห่งเทพบรรพกาล
ฉินมู่เดินเข้าไปและนั่งอยู่บนชายหาด เขาเลียนแบบนางด้วยการหย่อนเท้าลงไปในทะเล คลื่นใหญ่หนึ่งพลันซัดมาและทำเอาเขาเปียกโชกไปทั้งตัว
เทพีหยินสวรรค์หลุดหัวเราะพรืดและกล่าว “ท่านตัวเล็กเกินไป การต่อสู้ระหว่างโอรสหยินสวรรค์และข้าเพิ่งจะทำให้คลื่นในทะเลกลายเป็นใหญ่คลั่ง”
ฉินมู่บ่นฮึมฮัมแล้วจึงถามด้วยรอยยิ้ม “หรือเทพีกำลังกังวลเรื่องผีเปรตและความมืด”
เทพีหยินสวรรค์วางแขนของนางลงไป นางเอนตัวเท้าแขนไว้ข้างหลังและเงยศีรษะมองขึ้นไปยังท้องฟ้า “ข้าไม่อยากอยู่โดดเดียว ข้าต้องการให้สถานที่นี้คับคั่งมีชีวิตชีวาเหมือนกับแดนปริศนา แดนปริศนานั้นครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง มีเทพเจ้ามากมายมาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่บนร่างกายของเทพสรรพชีวิต สิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่บนแผ่นดินของร่างกายเทพสรรพชีวิต และพวกมันก็มีภูมิอากาศอันรื่นรมย์ ชีวิตของพวกเขารื่นเริงและสอดคล้องกลมเกลียว แม้แต่ภูติบดีก็ยังมีภูติผีนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในเขาของเขา แต่ข้ากลับมีแค่ผีเปรตและโลกมืดมิดอยู่ที่นี่ ผีเปรตพวกนี้โง่เขลา รู้จักแต่จะกัดกิน”
ฉินมู่ครุ่นคิด และคลื่นยักษ์อีกลูกก็ซัดมา เด็กหนุ่มรีบใช้ปราณชีวิตป้องกัน เขาถึงไม่เปียกโชกอีกรอบ “เทพี เพื่อแก้ปัญหาในปัจจุบันของโลกหยินสวรรค์ พวกเราอาจจะต้องการความช่วยเหลือของเทพสรรพชีวิต”
เขาอธิบายแผนการที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเหล่านั้น และเทพีหยินสวรรค์ก็ส่ายศีรษะ “หากว่าพวกเราขโมยดวงอาทิตย์มาแขวนห้อยไว้ที่นี่ เงาแห่งฟ้าก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนปริศนา หากว่าโลกหยินสวรรค์ไม่มีอยู่อีกต่อไป ข้าจะยืนอยู่ทัดเทียมกับเทพสรรพชีวิตได้อย่างไร ไม่ใช่ข้าจะกลายเป็นสาวใช้ของเขาหรอกหรือ จะให้ข้าเจาะส้นเท้าของเขา เขาก็คงไม่ยินยอม และข้าก็ไม่ยินดีเช่นกัน เลือดในเท้าเหม็นๆ ของเขาจะไหลลงมาในโลกของข้า”
ฉินมู่พูดไม่ออก ก่อนที่จะระเบิดหัวเราะ “ข้ามีบันทึกเป็นตายอยู่ที่นี่ บางทีเทพีอาจจะสามารถตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะของโอรสหยินสวรรค์”
“ทักษะเทวะของโอรสหยินสวรรค์ก็แก้ที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ มันไม่มีประโยชน์”
เทพีหยินสวรรค์ส่ายหน้าและอธิบาย “ข้าอยากให้โลกหยินสวรรค์มีสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ แม้ว่าฝีมือความสามารถของโอรสหยินสวรรค์จะไม่เลว แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาผีเปรตได้เช่นกัน”
ฉินมู่เริ่มจะปวดหัวตึ้บ และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปัญญาของคนผู้เดียวไม่เพียงพอ เทพี โปรดรออยู่สักหลายวัน ให้ข้าไปเชื้อเชิญผู้คนที่มีปัญญาญาณอันล้ำเลิศมา และพวกเราอาจจะสามารถหาวิธีการแก้ไขปัญหาผีเปรตและทรายวิญญาณดำได้”
เทพีหยินสวรรค์ตื่นตระหนก “ยังมีผู้คนที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าท่านในโลกหล้านี้อีกหรือ”
ฉินมู่จริงจังเป็นอย่างยิ่ง และเขากล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “เทพีล้อข้าเล่นแล้ว แน่นอนว่าต้องมีผู้คนที่ฉลาดกว่าข้าอยู่ ข้านั้นโง่ทึบเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะกล้าอวดอ้างว่าตนเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้าได้อย่างไร มันยังคงมีหนึ่ง สอง…อืม สี่ ไม่ก็ห้าคนที่ยังฉลาดกว่าข้า!”
เทพีหยินสวรรค์มองไปที่สีหน้าของเขาและหัวเราะเบาๆ “ก็ได้ ท่านไปตามหาพวกเขามาเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นผู้คนสี่ห้าคนที่ฉลาดกว่าท่านเหมือนกัน”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาเป็นเสาหลักแห่งการปฏิรูปสันตินิรันดร์ และก็ยังมีท้าวยมราชแห่งยมโลก เทพีจะต้องตื่นตกใจแน่นอน”
เขานั้นกำลังจะฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไป แต่ทันใดก็ฉุกคิดขึ้นมา และถอยห่างออกไปอีกหลายก้าว ก่อนที่จะขับเคลื่อนสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม
เทพีหยินสวรรค์มองไปที่เขาด้วยความสนอกสนใจ และเห็นว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ได้ผละจากร่าง และออกไปจากโลกหยินสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
เขามั่นใจจริงๆ ว่าผีเปรตจะไม่กัดกินร่างกายของเขา? เทพีหยินสวรรค์ไล่ผีเปรตที่ถูกดึงดูดมาด้วยกลิ่นและครุ่นคิดกับตนเอง
ในโถงบรมศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมายมาตามคำเชื้อเชิญและปรากฏขึ้นในโถงใหญ่
“มีอะไรหรือ จ้าวลัทธิ” ซีอวิ๋นเซี่ยงถาม
“ข้าต้องการหาตัวราชครู นักบุญคนตัดไม้ ซวีเซิงฮวา และบรรพชนแรก”
ฉินมู่กล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องรบกวนขอให้ทุกๆ คนไปตามหาพวกเขา และให้พวกเขามุ่งหน้าไปยังหน้าผาขาดที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง นี่เป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างให้พวกเขาไปเชิญท้าวยมราชและยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์ด้านวิญญาณมาด้วยจำนวนหนึ่งเมื่อพวกเขาผ่านไปทางยมโลก”
“จ้าวลัทธิไม่ต้องกังวล พวกเราจะเสาะหาตัวพวกเขาโดยเร็วที่สุด”
ทุกคนรั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับไป และไม่นานนัก จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็กลับคืนมาสู่ร่างเนื้อ เขาเห็นเทพีหยินสวรรค์มองลงมาที่เขาด้วยความสนอกสนใจด้วยดวงตาดำขลับอันงดงาม
“ท่านไปติดต่อพวกเขาแล้วหรือ” เทพีหยินสวรรค์ตะลึงไปเมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพีไม่ต้องกังวล พวกเขาจะมาถึงที่นี่ภายในไม่กี่วัน เทพี ข้าจะไปหลอมสร้างไจกระบี่อยู่ข้างนอก และจะกลับเข้ามาภายในไม่กี่วัน”
เทพีหยินสวรรค์พยักหน้า และฉินมู่ก็จากไปในทันที
ข้างใต้หน้าผาขาด เหออีอีได้นำหญิงสาวแห่งตระกูลเหอไปปูถนนต่อ ส่วนเอี๋ยนจิงจิงช่วยฉินมู่ควบคุมไฟสวรรค์เพื่อหลอมละลายโครเมี่ยมแดงพุทธชีวากับเหล็กหยินสวรรค์
โครเมี่ยมแดงพุทธชีวามีสันดานพุทธอันเข้มข้น และเมื่อมันถูกหลอมสร้างเป็นสมบัติวิเศษมันก็จะฉายส่องรัศมีพุทธธรรมอันเจิดจ้า ส่วนใหญ่แล้วพวกหลวงจีนจะใช้โลหะชนิดนี้หลอมสร้างเป็นอาวุธ เหล็กหยินสวรรค์เป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมสร้างมหาสมบัติวิญญาณ และโลหะเทวะเช่นนั้นสามารถเก็บกักวิญญาณได้ ดังนั้นมันจึงเข้ากับกับจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่า เมื่อขับเคลื่อนสมบัติวิเศษเช่นนี้ออกไป บรรยากาศผีสางก็จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้
สาเหตุที่เทพีหยินสวรรค์ต้องไปขโมยไฟสวรรค์มาจากเทพสรรพชีวิต นั้นก็เพื่อขัดเกลาบรรยากาศผีสางออกไป
แต่ทว่า ฉินมู่กะว่าจะใช้รัศมีพุทธในโครเมียมแดง และบรรยากาศผีสางในเหล็กหยินสวรรค์เพื่อคัดง้างซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีนี้ เวลาที่เขาขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณออกไป เขาก็จะไม่ดูเหมือนทั้งหลวงจีนและภูตผี
เขาและเอี๋ยนจิงจิงทดสอบอัตราส่วนระหว่างโลหะเทวะทั้งสอง นอกจากการปรับสมดุลระหว่างโลหะเทวะทั้งสองแล้ว เขายังต้องหาระดับความแข็งและความยืดหยุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดด้วย
ฉินมู่ทดสอบเป็นร้อยๆ ครั้ง และในที่สุดเขาก็พบอัตราส่วนทองคำ เขารีบเริ่มหลอมเหล็กและตีไจกระบี่ของตนทันที
เอี๋ยนจิงจิงมองเขาฟาดค้อนตีกระบี่บินอย่างต่อเนื่อง และพวกมันก็ดูซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง นางถามด้วยความฉงนฉงาย “พี่ชายเลี้ยงวัว ข้าได้เห็นกระบี่ที่เจ้าหลอมสร้างขึ้นมา และเจ้าก็สามารถขัดเกลาไจกระบี่จนลื่นไหลประดุจสายน้ำได้ พวกมันถูกขัดเกลาถึงขั้นที่ว่าเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้ดั่งใจคิด หากว่าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้ายังหลอมสร้างกระบี่ไปทีละเล่มอีกเล่า หากว่าท่านแค่หลอมสร้างโลหะเทวะทั้งก้อนให้ถึงขั้นที่มันสามารถลื่นไหลได้ดุจสายน้ำ นั่นจะไม่ประหยัดเวลาและแรงงานกว่าการหลอมสร้างกระบี่แปดพันเล่มหรอกหรือ”
ฉินมู่เพ่งสมาธิไปยังกระบี่ที่เขากำลังหลอมตีอยู่ในมือและกล่าว “อักษรรูนที่ประทับรอยเอาไว้บนกระบี่บินแต่ละเล่มล้วนแตกต่างกัน และอักษรรูนพวกนี้จะต้องสอดคล้องเข้ากันกับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของข้า มีแต่แบบนั้นกระบี่บินจึงจะเหมาะมือกับข้าที่สุด ทำให้ข้าต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าอักษรรูนที่จารึกอยู่บนกระบี่แต่ละเล่มนั้นถูกต้อง…”
ร่างของเขาพลันสั่นเทิ้ม เขาหยุดตีเหล็ก ตกลงไปในภวังค์
เอี๋ยนจิงจิงมองไปที่เขาด้วยความฉงน และพบว่าสีหน้าของฉินมู่ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นทุกที จากนั้นก็เปลี่ยนจากจริงจังกลายเป็นผ่อนคลายและปีติยินดีในที่สุด จากนั้นก็วกกลับมาเป็นสีหน้าไตร่ตรองลึกซึ้ง ภายในะระยเวลาสั้นๆ มีสีหน้าต่างกันไปเป็นสิบแบบ
“เจ้าพูดถูก!”
ฉินมู่ปรบมือและหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “เจ้าพูดถูกต้อง! ข้าเอาแต่แสวงหนทางที่จะหลอมสร้างกระบี่บินแต่ละเล่มให้สมบูรณ์แบบ และจารึกอักษรรูนลงไปอย่างแม่นยำ แต่วิธีการนี้ซับซ้อนเกินไป อันที่จริง ข้าสามารถหลอมสร้างก้อนโลหะเทวะทั้งก้อน และขัดเกลาก้อนโลหะเทวะให้เป็นไจกระบี่”
เขาพลันโผกอดเอี๋ยนจิงจิง และหมายจะยกตัวนางขึ้นมาเหวี่ยงไปมาสองสามรอบ แต่เขาต้องครางกระอักแทน เอวเขาแทบจะหัก
เอี๋ยนจิงจิงเป็นเทพเจ้าในเขตขั้นเทวะ และแม้ว่าร่างกายของนางจะดูแน่งน้อยและบอบบาง แต่น้ำหนักของนางน่าแตกตื่น ฉินมู่ยังคงอยู่ในขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นการจะยกนางขึ้นมาและเหวี่ยงหวือไปรอบๆ จึงเป็นได้แค่ความฝัน
เอี๋ยนจิงจิงหน้าแดงเรื่อ และลอบใช้พลังวัตรของตนเพื่อทำให้ตนเองเบาลง จากนั้นฉินมู่จึงสามารถตื่นเต้นต่อได้ และยกนางเหวี่ยงหมุนไปสองรอบ
“หากว่าข้าหลอมตีไปทีละเล่ม ข้าก็ต้องเสียเวลามาใคร่ครวญว่าจะกระจายอักษรรูนไปตามกระบี่แต่ละเล่มอย่างไร และข้าก็จะต้องแบ่งแยกวิชาฝึกปรือของข้าเป็นแปดพันส่วน ข้าสมองสับสนจากการมุ่งศึกษาพีชคณิตมากไปและลืมวิธีที่ง่ายดายที่สุด”
ฉินมู่วางนางลง และเดินไปมาสองรอบด้วยความดีใจ “ข้าเพียงแต่ต้องหลอมไจกระบี่หนึ่งอันเท่านั้น…ไม่สิ เพียงแค่กระบี่เล่มเดียว…นั่นก็ไม่ใช่อีก ข้าเพียงแต่ต้องหลอมสร้างลูกบอล! ลูกบอลนี้จะเป็นกระบี่ของข้า มีดของข้า และอาวุธวิญญาณอื่นๆ ของข้าทั้งหมด และมันก็จะเป็นวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะอีกด้วย…”
เขาไม่อาจระงับความตื่นเต้น และรีบนำเอาโครเมี่ยมแดงพุทธชีวากับเหล็กหยินสวรรค์ทั้งหมดออกมา เขาหลอมละลายโลหะเทวะเข้าด้วยกันเป็นลูกบอลใหญ่ที่สูงถึงสี่พันคืบ
ฉินมู่รอให้ลูกบอลโลหะเทวะมหึมานี้เย็นตัวลง จากนั้นก็พยายามยกมันดู และก็มาพบว่าเขาไม่อาจยกมันสูงขึ้นจากพื้นได้เลยแม้แต่หุนเดียว มันเหมือนกับมดที่พยายามเขย่าต้นไม้
เอี๋ยนจิงจิงก้าวเข้าไป และก็ขยับมันไม่ได้เช่นกัน ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความหนักใจ
ใบหน้าของฉินมู่แดงขึ้นมาเล็กน้อย เอี๋ยนจิงจิงช่วยเขาควบคุมไฟสวรรค์เพื่อเฉือนออกมาส่วนหนึ่งและถาม “เจ้ายกชิ้นนี้ได้ไหม”
ฉินมู่ลองดูและกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “มันก็ยังหนักไป”
เอี๋ยนจิงจิงควบคุมไฟสวรรค์และตัดลงมาอีกชิ้นหนึ่ง ฉินมู่ยกโลหะเทวะ แต่มันก็ยังหนักแรงเขาอยู่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้ายกมันได้ เมื่อวรยุทธของข้าเพิ่มพูนขึ้นและกายเนื้อก็แข็งแกร่งขึ้น มันก็คงไม่ยากลำบากขนาดนี้”
เอี๋ยนจิงจิงช่วยเขาหลอมและหล่อก้อนโลหะนี้ให้เป็นลูกบอล และลูกบอลโลหะเทวะนี้ก็ใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ ฉินมู่ขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมสูงสามร้อยคืบของเขาเพื่อช่วยเขาหลอมตีลูกบอล และฟาดทุบอักษรรูนที่เปลี่ยนแปลงจากวิชาฝึกปรือของเขาเข้าไปข้างใน เขาใช้วงจรอักษรรูนต่างค้อน และใช้ค้อนนี้ฟาดลงไปบนอาวุธวิญญาณ
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาตีโลหะเทวะเพิ่มความแกร่งไปตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน กระนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าโลหะเทวะนี้จะได้รับการขัดเกลาเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ก็ยังเหาะไปรอบๆ ลูกบอลโลหะเทวะและประทับรอยอักษรรูนต่างๆ กันไปพร้อมๆ กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา หลังจากทำเช่นนี้มาสองสามวัน ลูกบอลโลหะเทวะก็เล็กลงไปนิดหน่อย
“พี่ชายเลี้ยงวัว ทำไมเจ้าไม่หลอมสร้างพวกมันไปทีละอัน”
เอี๋ยนจิงจิงอดไม่ได้ที่จะกล่าว “วิธีการหลอมตีแบบนี้เสียเวลามากเกินไปแทน”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “หากว่าข้าต้องการหลอมสร้างกระบี่แปดพันเล่ม ข้าก็ต้องการโรงงานผลิตหลังหนึ่งเพื่อทำให้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น มันจะใช้พลังงานและเวลามากกว่าที่ข้าลงมือทำด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานผลิตในสันตินิรันดร์ที่ข้าออกแบบ ยังจัดการโลหะเทวะได้อย่างยากลำบากอยู่”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสียงของนักบุญคนตัดไม้ก็ดังมา “ข้าได้ออกแบบโรงงานผลิตใหม่แล้ว และมันก็จะจัดการโลหะเทวะได้ไม่ยากอีกต่อไป”
ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียง และเขาก็เห็นนักบุญคนตัดไม้ ราชครูสันตินิรันดร์ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และซวีเซิงฮวาเดินออกมาจากอุโมงค์สวรรค์ไท่หวง ข้างหลังเขามีเงาที่กำลังแปรเปลี่ยนไปมา และม่านคลุมของความมืดก็กำลังเคลื่อนที่มาพร้อมๆ กับพวกเขา
ท้าวยมราชคลุมร่างอยู่ในผ้าคลุมหลังแห่งความมืด และซ่อนตัวอยู่ในเงาอย่างมิดชิด
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเงยศีรษะขึ้นมองดูไจกระบี่สูงร้อยห้าสิบวา และผงะไปเล็กน้อย เขาส่ายหัวและกล่าว “ใครหลอมสร้างไจกระบี่แบบนี้กัน ป่าเถื่อนเสียจริงๆ เจ้าไม่มีไจกระบี่ของเจ้าอยู่แล้วหรือ”
“มันแตกไปแล้ว”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ข้าพบแหล่งที่มาของความมืด”
ทุกคนหัวใจไหวสะท้าน และนักบุญคนตัดไม้ก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาร้องออกมา “เจ้าพบโลกหยินสวรรค์หรือ เจ้าได้พบกับเทพีหยินสวรรค์?”
“ข้าได้เชิญทุกคนมาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาสุดท้ายของโลกหยินสวรรค์และเทพีหยินสวรรค์”
ฉินมู่นำเอาหนังของเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งออกมา และกางแผ่ลงไป “อาจารย์ ท่านยังจดจำเขาได้ไหม”