ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 715 หน้าของจักรพรรดิทักษิณ
“ตำราคำนวณบรมอนุภาคนั้นยังเป็นแขนงที่ว่างเปล่า และหากว่าใครจะวิเคราะห์อนุมานหลักกฎอันสูงส่งที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนออกมาได้ ก็จะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญพีชคณิตจำนวนมาก”
“ทักษะเทวะพลังแม่เหล็กนั้นเรียบง่ายสามัญกว่า จ้าวลัทธิฉินได้ออกแบบสมการออกมาหลายชุดเพื่อให้พวกเราวิเคราะห์อักษรรูนพลังแม่เหล็กแล้ว พวกเราเพียงแต่ต้องวิเคราะห์อนุมานสมการที่ซับซ้อนเหล่านี้ เพื่อกลั่นเอาอักษรรูนพื้นฐานของทักษะเทวะพลังแม่เหล็กออกมาให้มากขึ้น เมื่อทำเรื่องเหล่านั้นสำเร็จ ก็จะสามารถกำหนดเค้าโครงของระบบทักษะเทวะนี้ได้”
ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนปรึกษากัน “ข้าวางแผนที่จะก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้า แต่เหนือฟ้านั้นก็ยังไม่ตกอยู่ในมือของข้า การก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้านั้นเป็นเรื่องจำเป็น มิเช่นนั้นเหนือฟ้าจะไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในสันตินิรันดร์ในอนาคต จิงเอี้ยน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
จิงเอี้ยนกล่าว “จนถึงตอนนี้ แผ่นดินตะวันตกก็ยังไม่ได้ก่อตั้งสถาบัน ทำไมสามีถึงไม่เริ่มเฟ้นหาผู้คนจากที่นั่น มีผู้เปี่ยมความสามารถมากมายในแผ่นดินตะวันตก และทุกๆ แซ่ตระกูลหยั่งรากลึกอยู่ที่นั่น หากว่าสามีก้าวเข้าไปเพื่อก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้าอันทลายกำแพงอคติระหว่างค่ายสำนัก ข้ามั่นใจว่าจ้าวตำหนักสวรรค์แท้จะต้องยินดีช่วยเหลือท่าน การช่วยเหลือท่านนั้นก็เท่ากับการช่วยเหลือตัวนางเองเพื่อแบ่งแยกอำนาจของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลแห่งแผ่นดินตะวันตก”
นางครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยและกล่าว “แผ่นดินตะวันตกนั้นจ้าวลัทธิฉินเป็นผู้ไปยึดครองมาได้ และทุกแซ่ตระกูลแห่งแผ่นดินตะวันตกต่างก็เคารพนับถือจ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเราไปก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้าอยู่ที่นั่น ก็ควรต้องเชื้อเชิญจ้าวลัทธิฉินให้ไปเป็นคณบดี ด้วยชื่อเสียงของเขาและการสนับสนุนจากจ้าวตำหนักสวรรค์แท้ ก็จะไม่มีอุปสรรคกีดขวางอีกต่อไป หลังจากสถาบันเหนือฟ้าก่อตั้งขึ้นมาแล้ว สามีก็จะสามารถบุกโจมตีเหนือฟ้า และกวาดล้างพวกลิ่วล้อที่สภาสวรรค์หลงเหลือเอาไว้ จากนั้นเป็นต้นไป เหนือฟ้าก็จะตกอยู่ในมือของสามี และเมื่อสันตินิรันดร์เข้าไปยึดครองเหนือฟ้า จักรพรรดิก็จะต้องสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่”
ซวีเซิงฮวาดวงตาลุกวาบ และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “จิงเอี้ยน ความคิดนี้ยอดเยี่ยมนัก พวกเราทำแบบนั้นล่ะกัน ถ้าเช่นนี้ ตำราคำนวณบรมอนุภาคและทักษะเทวะพลังแม่เหล็ก มรรคาใดที่สถาบันเหนือฟ้าของข้าควรจะเลือกมุ่งหน้าไปล่ะ”
จิงเอี้ยนครุ่นคิดและกล่าว “สำนักเต๋าได้ก่อตั้งมาเป็นเวลานาน และพวกเขาก็มีรากฐานอันแข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม สถาบันเหนือฟ้ายังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ และสามีก็ไม่มีแต้มต่ออะไรไปต่อสู้กับเจ้าสำนักเต๋า ยิ่งไปกว่านั้นตำราคำนวณบรมอนุภาคน่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง และภายในเวลาไม่กี่ปีก็คงไม่สำเร็จมรรคผลใดๆ ขณะที่สำหรับทักษะเทวะพลังแม่เหล็กแล้ว มันง่ายที่จะเกิดผลลัพธ์ ภายในชั่วเวลาไม่กี่ปี สถาบันเหนือฟ้าของพวกเราก็จะสามารถแบ่งปันความสำเร็จกับสถาบันนักบุญสวรรค์ หยิบยืมเอาชื่อเสียงของสถาบันนักบุญสวรรค์ที่กระเดื่องดังทั่วโลกหล้า เมื่อพวกเราเป็นที่รู้จักยอมรับแล้ว บัณฑิตทั่วทั้งโลกก็จะยินดีมุ่งมาแสวงหาความรู้ในสถาบันเหนือฟ้า”
นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเมื่อเวลานั้นมาถึง การศึกษาวิจัยตำราคำนวณบรมอนุภาคก็คงยังไม่คืบหน้ามากนัก ด้วยชื่อเสียงและและกำลังคนที่สั่งสมมา สามีก็จะสามารถเข้าไปมีเอี่ยวในการศึกษาค้นคว้าตำราคำนวณบรมอนุภาคด้วยได้เช่นกัน”
ซวีเซิงฮวาตกลงใจมั่นเหมาะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีภรรยาเช่นนี้ สามีอย่างข้ายังต้องการอะไรอีก”
สองสามีภรรยาตัดสินใจลงได้ และจิงเอี้ยนก็กล่าว “องค์หญิงจิวเป็นอ๋องชั้นหนึ่งขั้นต่ำในแผ่นดินตะวันตก นางเองก็เป็นวีรชนในหมู่สตรี แผ่นดินตะวันตกนับถือสตรีเพศ และพวกนางก็เชื่อใจนางเป็นอย่างยิ่งด้วย ให้ข้าไปเยี่ยมองค์หญิงจิวสักหน่อย และเชื่อมต่อสานสัมพันธ์กับนาง จากนั้นพวกเราก็จะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ต่อไปยังตำหนักสวรรค์แท้ สามีสามารถไปปรึกษาหารือกับจ้าวลัทธิฉิน และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับจ้าวลัทธิฉิน ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่มีอุปสรรคขัดขวางอีกต่อไป”
ซวีเซิงฮวารีบตัดสินใจและบอกแก่ฉินมู่
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีตำหนักสวรรค์แท้เพียงหนึ่งเดียว และเดิมทีมันเป็นของเหนือฟ้า แต่ทว่า ในช่วงหลายปีมานี้ อิทธิพลอำนาจของมันเหนือแผ่นดินตะวันตกมิได้แข็งแกร่งอีกต่อไป ทำให้อิทธิพลอำนาจของตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกกำลังผงาดขึ้นมา ในช่วงสงบสันติก็ยังไม่เป็นไร แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดความโกลาหลวุ่นวาย แผ่นดินตะวันตกก็จะก่อกบฏอย่างแน่นอน ความคิดของพี่ซวีที่จะก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้านั้นดีเยี่ยม และข้าก็สามารถก้าวเข้าไปรับตำแหน่งกิตติมศักดิ์ได้ เจ้ายังต้องไปเยี่ยมน้องสาวจิวอีกในภายหลัง ในเมื่อรากฐานของนางที่แผ่นดินตะวันตกนั้นหยั่งลึก เสนอความคิดนี้ให้แก่จักรพรรดิพร้อมๆ กับนาง และจักรพรรดิก็จะอุทิศเงินทองจำนวนหนึ่งให้เจ้า เพื่อให้สามารถก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้าได้โดยเร็วที่สุด”
ซวีเซิงฮวาปีติยินดี
ฉินมู่จัดแจงเรื่องเบ็ดเตล็ดทั้งหลายในสถาบันนักบุญสวรรค์จนแล้วเสร็จ และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็กล่าว “มู่เอ๋อ ได้เวลาพวกเราออกเดินทางต่อแล้ว”
ฉินมู่รับคำและกล่าวลาท่านยายซี เขาติดตามคนตัดไม้ ตี้อี้เยว่ และคณะเดินทางจากไป
“ที่หน้ามณฑลป้าโจว มีรูปสลักหินของเทพภัยพิบัติ”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ไม่ทราบว่าราชาสวรรค์จะไปชมดูหน่อยหรือไม่”
ตี้อี้เยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ฉินมู่ติดตามพวกเขาไปที่มณฑลป้าโจว รูปสลักหินนี้ได้มุดออกมาจากเมืองป้าโจว และมันก็สูงเป็นอย่างยิ่ง มันเหมือนกับภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองป้าโจว
รูปสลักหินนี้มีศีรษะนกและร่างกายมนุษย์ ปีกของมันเปิดออกครึ่งหนึ่ง และดวงตาก็คมกล้าไร้ปานเปรียบ มันเป็นรูปสลักหินของสตรี
นางมีขนนกปกคลุมอันมีรอยประทับเพลิงแห่งหงส์แดง และแม้ว่าร่างกายนางจะใหญ่มหึมา แต่นางก็ดูอ่อนหวาน สะคราญโฉม และสง่างาม หากว่าไม่เห็นศีรษะนกและกรงเล็บนกของนาง ก็จะดูงดงามโดยภาพรวม
บริเวณโดยรอบรูปสลักหินได้ก่อกำแพงอิฐขึ้นมาล้อมรอบ แต่ก็ยังมีธูปเทียนอยู่นอกกำแพงเต็มไปหมด นั่นคงเป็นเครื่องไหว้บูชาที่คนทั่วไปผู้โง่เขลาได้ทิ้งเอาไว้
“คนพวกนี้ไม่รู้หรือว่ารูปสลักหินนี่คือเทพภัยพิบัติที่จะฆ่าล้างพวกเขา”
ตี้อี้เยว่ส่ายหัวเมื่อนางยังคงเห็นผู้คนเข้ามาสักการะบูชาและถวายเครื่องกราบไหว้ “การฟื้นคืนชีพของรูปสลักหินนั้นเพื่อนำภัยพิบัติมายังสันตินิรันดร์ คนธรรมดาที่ไร้วรยุทธเหล่านี้จะเป็นพวกแรกที่ตาย เหตุผลอะไรกันที่พวกเขามากราบไหว้บูชาเทพภัยพิบัติอันจะส่งภัยพิบัติมาเข่นฆ่าพวกเขา”
ฉินมู่กล่าว “พี่สาว นี่คือส่วนที่ยากที่สุดในการทลายเทพเจ้าในหัวใจและทลายเทพเจ้าในวิหาร ยิ่งเทพเจ้าน่าสะพรึงกลัวมากเท่าไร ผู้คนธรรมดาที่โง่เขลาก็จะยิ่งนับถือและยำเกรงมากขึ้นเท่านั้น อันทำให้เทพเจ้าได้รับการสักการะบูชาง่ายขึ้น ราชครูพยายามที่จะปฏิรูปขนบของคนธรรมดาสามัญ เพื่อทลายเทพเจ้าในหัวใจผู้คน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะหรือเทพเจ้า พวกเขาก็จะต้องทำงานรับใช้ผู้คนทั่วไป”
ขนนกของรูปสลักหินได้แปรเปลี่ยนจากหินเป็นขนนกของจริงแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันได้ดูดซับปราณและโลหิตจากคนตายไปไม่น้อย มันมีสัญญาณว่ากำลังจะฟื้นคืนชีพมา
เกล็ดบนขาของนางก็เห็นชัด และโลหิตเทวะสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่ากำลังไหลอยู่ใต้ผิวหนังที่คอของนาง
แม้ว่าโหลอวิ๋นชวีจะหนีไปแล้ว แต่ผลพวงที่เขาก่อเอาไว้ก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย รูปสลักหินมากมายใกล้ที่จะฟื้นตื่นขึ้นในเขตแดนของสันตินิรันดร์ และรูปสลักหินในป้าโจวเป็นเพียงหนึ่งในพวกนั้น
แม้ว่าจะไม่มีโหลอวิ๋นชวี รูปสลักหินก็จะฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ช้าก็เร็ว แม้ว่าผู้คนแห่งสันตินิรันดร์ตายไปตามธรรมชาติ พวกเขาก็จะยังคงเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแก่รูปสลักหินอยู่ดี
โหลอวิ๋นชวีเพียงมาเร่งความเร็วของกระบวนการให้พุ่งทะยานไปอีกหลายเท่า
ตี้อี้เย่เดินไปยังตีนของรูปสลักหินและกล่าวด้วยเสียงนุ่ม “ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหญิงใต้จักรพรรดิทักษิณ ศิษย์น้องหญิง เจ้าสามารถกลับไปรายงานกับจักรพรรดิทักษิณได้ บอกนางว่า ศิษย์พี่หญิงของเจ้าตี้อี้เยว่อยู่ในสันตินิรันดร์ ดังนั้นนางลืมไปได้เลยว่าจะส่งภัยพิบัตินี้ลงมา”
เทพีหัวนกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ตี้อี้เยว่หัวเราะคิกคักเบาๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าน่าจะสามารถได้ยินเสียงของข้าอยู่นะ กายเนื้อของเจ้าอยู่ที่นี่ แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าอยู่ที่นั่นกับจักรพรรดิทักษิณ ไม่ว่าอะไรที่ข้าพูดที่นี่ เจ้าย่อมจะต้องได้ยิน”
เสียงปักษาร้องสดใสกังวาลดังออกมาจากเทพีหัวนก และเสียงร้องนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นภาษามนุษย์ “เจ้าก็อยู่ใต้จักรพรรดิทักษิณเช่นกันหรือ หากว่าเจ้าเป็นศิษย์พี่หญิงของข้า ทำไมเจ้าถึงไปช่วยเหลือคนนอก ศิษย์พี่หญิง ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าหรอกนะ แต่หากว่าข้าจากไปเพียงเพราะถ้อยคำของเจ้า แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ข้ากำลังไว้หน้าของเจ้าอยู่ นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมข้าจึงกำลังแนะนำเจ้าอย่างนุ่มนวล”
ตี้อี้เยว่ลูบปอยผมที่ร่วงลงมาจากหน้าผากและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “เจ้าคงเข้ามาทีหลังใช่ไหม ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ว่ามีศิษย์พี่หญิงอย่างข้า และเจ้าก็ไม่รู้วิธีการจัดการเรื่องราวของข้า”
รูปสลักหินขยับทันที หัวนกก้มลงมา และดวงตาที่กลายเป็นหินก็จ้องไปยังตี้อี้เยว่ พลางกล่าว “จัดการอย่างไร โปรดชี้แนะ”
ตี้อี้เยว่ยกมือของนางขึ้นและกดลงไปบนความว่างเปล่า เทพีหัวนกที่มีขนาดเท่าภูเขาพลันหายวับ เหลือไว้แต่เพียงรูของมิติอวกาศแตกหักที่นางเคยยืนอยู่ จากในรูนั้นมีเสียงหวีดร้องของนก!
นางยื่นมือออกไปคว้าและดึงมา เทพีหัวนกก็ลอยลิ่วกลับมาปรากฏในเมืองป้าโจวอีกครั้งด้วยเสียงตูม รูปสลักหินสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่มิติอวกาศแตกหักข้างหลังรูปสลักกลับมาสมานต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก อวกาศก็ซ่อมแซมตนเองจนไม่หลงเหลือตำหนิใด!
ในตอนนั้น เลือดเนื้อของเทพีหัวนกก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก มันก็แปรเปลี่ยนจากรูปสลักหินเป็นเทพเจ้าที่มีชีวิต
เทพีหัวนกยืนอยู่ที่เดิมและเผยสีหน้าแตกตื่น นางไม่กล้าขยับเขยื้อน
นางต้องเปลี่ยนร่างกายของตนให้เป็นหิน ถึงจะส่งตัวเองเข้ามาในสันตินิรันดร์ได้ แต่ทว่า จิตวิญญาณดั้งเดิมของนางมีพลังงานมากจนเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่อาจข้ามผ่านม่านคุ้มกันระหว่างโลกและจุติลงมาในโลกนี้ได้
นางได้แต่รอการเซ่นสังเวยเลือดและเนื้อ เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนพลังงาน แบบนั้นจิตวิญญาณของนางจึงจะสามารถจุติลงมาและฟื้นคืนชีพกายเนื้อได้ และนางจึงจะสามารถส่งภัยพิบัติลงมายังโลก
กระนั้น ตี้อี้เยว่เพียงแค่ยื่นมือออกไปกดลง และก็สามารถฟาดซัดกายเนื้อของนางกลับเข้าไปในวังอีกโลกมิติ
ไม่เพียงแค่ร่างกายของนางกระเด็นกลับมา แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ถูกฟาดกลับเข้าไปในกายเนื้อ!
ตี้อี้เยว่เพียงแค่คว้ากำและดึง ก็ถึงกับดึงกายเนื้อพร้อมจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับเข้ามาในสันตินิรันดร์ และนางก็สามารถฟื้นคืนชีพได้!
พลังวัตรระดับนี้ พลานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ นับได้ว่าทัดเทียมกับอาจารย์ของนาง จักรพรรดิทักษิณ!
นางไม่เคยได้ยินว่ามีศิษย์พี่หญิงเช่นนี้ในสายสำนักมาก่อน!
ตี้อี้เยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ศิษย์น้องหญิง นี่ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า ข้าได้ให้หน้าเจ้าไปไม่น้อยไปเมื่อครู่ อย่าบังคับข้าให้ต้องลงมือ”
เทพีหัวนก รีบก้าวถอยแล้วโค้งคารวะ “ตามบัญชาของศิษย์พี่หญิง”
นางนั้นกำลังจะจากไป แต่ก็พลันตกตะลึง
ตอนนี้นางถูกดึงเข้าในโลกสันตินิรันดร์ และมันมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกที่ขัดขวางหนทางที่นางจะกลับไปยังโลกมิติของตนเอง ด้วยกำลังฝีมือของนาง นางไม่อาจข้ามผ่านม่านคุ้มกันระหว่างโลกได้
เหงื่อเย็นเยียบแตกโซมออกมาที่หน้าผากของเทพีหัวนก และนางก็มองไปยังตี้อี้เยว่
ตี้อี้เยว่ถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องหญิงลืมอะไรไปหรือเปล่า”
เทพีหัวนกตระหนักขึ้นมาและขับเคลื่อนจิตของนาง ในท้องพระคลังแห่งเมืองหลวง ทักษะเทวะส่งภัยพิบัติที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเวทปิดผนึกหลายชั้นต่อหลายชั้นก็สั่นสะเทือน เวทปิดผนึกแตกทำลายเป็นชิ้นๆ ก่อนที่น้ำเต้าสีแดงชาดลูกหนึ่งจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทะยานพุ่งจากท้องพระคลังไปยังป้าโจว
เทพีหัวนกยกมือขึ้นคว้าจับขวดน้ำเต้าแดงและถามอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่หญิง ข้าสามารถกลับได้แล้วหรือเปล่า”
ตี้อี้เยว่ยิ้มนิดๆ และกล่าว “เมื่อศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ใต้จักรพรรดิอุดรลงมาส่งภัยพิบัติ นอกจากจะนำเอาเทพศาสตราของจักรพรรดิอุดรกลับไปแล้ว เขายังทิ้งแขนเอาไว้ข้างหนึ่ง”
เทพีหัวนกสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และปีกข้างหลังนางก็พลันเงื้อขึ้นมาเมื่อมีดเพลิงสับที่ปีกอีกข้างหนึ่ง
เพลิงไฟไหลออกมาจากปีกนั้น และเป็นเพลิงไฟที่กุก่องตระการอย่างเหลือแสน มันก่อขึ้นมาจากนิพนธ์เทพและขนนกจำนวนนับไม่ถ้วน
เทพีหัวนกข่มความเจ็บปวดและวางปีกของนางลง นางก้าวถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ตี้อี้เยว่แย้มยิ้มและกล่าว “ศิษย์น้องหญิง เรียบร้อยแล้วล่ะ จงกลับไปและบอกอาจารย์ของเจ้า บอกนางว่าศิษย์พี่หญิงตี้อี้เยว่อยู่ที่นี่ ข้ามิได้ไปน้อมคารวะอาจารย์เป็นเวลาสองหมื่นปี ช่วยข้าโขกศีรษะคารวะแก่นางแทนข้าสักหนึ่งที”
เทพีหัวนกเหงื่อตกกลิ้งจากหน้าผากด้วยความเจ็บปวด และนางก็ตอบไปด้วยเสียงอันแหบพร่า “ข้าจะต้องไปพบอาจารย์อย่างแน่นอน!”
ตี้อี้เยว่ยิ้มเล็กน้อย “บอกนางว่า หากนางลงมาส่งภัยพิบัติด้วยตนเอง ข้าจะไม่ยั้งมือ ไปเสีย”
นางดีดนิ้ว และเทพีหัวนกก็พลันหมุนติ้ว ร่วงลงใปในห้วงลึกของมิติอวกาศและหายวับ
ตี้อี้เยว่ยกมือของนางและลูบรูในมิติอวกาศอย่างแผ่วเบา อวกาศกลับมาเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยหลงเหลือ
ฉินมู่ถามด้วยความกระวนกระวาย “พี่สาว ท่านให้นางทิ้งปีกเอาไว้ก่อนจะไป นี่จะไม่เป็นเกิดเรื่องยุ่งยากในอนาคตหรอกหรือ นางจะต้องเกลียดแค้นท่านอย่างแน่นอน”
ตี้อี้เยว่แย้มยิ้ม “จะต้องมีเรื่องยุ่งยากในอนาคตเป็นแน่แท้ แต่ว่าความเกลียดแค้นของศิษย์น้องหญิงและชายเหล่านี้ไม่สะดุ้งสะเทือนข้าเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกันอาจารย์ทั้งหลายของข้ากลับเป็นผู้ร้ายกาจพึงระวัง หลักใหญ่ใจความแล้วคือข้าขี้คร้านจนเกินไป ข้าขี้เกียจที่จะไปค้นหารูปสลักหินเหล่านี้ เมื่อศิษย์น้องหญิงและชายของข้าเจ็บช้ำเสียแขน พวกเขาก็จะต้องไปรายงานแก่จักรพรรดิอุดรและจักรพรรดิทักษิณ เมื่อพวกเขารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะรู้ว่าไม่มีทางส่งภัยพิบัติลงมาได้ หากว่าฝืนทำไป ศิษย์ของพวกเขาก็จะต้องประสบเคราะห์กรรม ดังนั้น พวกเขาจะเรียกรูปสลักหินทั้งหมดกลับไป นี่ช่วยไม่ให้ศิษย์ทั้งหมดของพวกเขาต้องเสียแขนด้วย และนี่ก็จะช่วยประหยัดเรื่องยุ่งยากให้ข้าไม่ต้องไปตามหารูปสลักหินทั้งหลาย”
ฉินมู่หยิบปีกของเทพีหัวนก และตี้อี้เยว่อุทานอย่างรีบร้อน “อย่าแตะมัน! นั่นคือไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง…”
ฉินมู่ได้หยิบปีกนั้นขึ้นมาแล้ว และตี้อี้เยว่ก็ตื่นตระหนก นางสำรวจดูมือของเขาและพบว่าปราณชีวิตของฉินมู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนอัคคีที่เล็กละเอียดและซับซ้อนราวกับแก้วผลึก พวกมันป้องกันไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงเอาไว้ และไม่ว่าไฟนั้นจะร้อนแรงและดุร้ายแค่ไหน มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้สักนิด
“นี่คือไฟสวรรค์แดนปริศนา?”
ตี้อี้เยว่กล่าวอย่างแตกตื่น “นี่คือเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไฟสวรรค์ที่เจ้าได้คิดคำนวณด้วยตำราคำนวณบรมอนุภาคอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ผงกศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าใช้ชีวิตยากจนกระเบียดกระเสียรมาตลอดชีวิต และในเมื่อพี่สาวเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นแท่นประหารเทพ ปีกของนางก็น่าจะใช้สร้างมีดเทวะหรือกระบี่เทวะอันล้ำเลิศได้ ดังนั้นข้าจึงจะเก็บมันเอาไว้ก่อน”
เขาวางปีกลงในถุงเต๋าตี้และจัดพื้นที่ข้างในเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงเผาผลาญสมบัติวิเศษอื่นๆ ในถุงเต๋าตี้
ตี้อี้เยว่มองไปและเห็นแขนอีกข้างในถุงเต๋าตี้ มันก็คือแขนของเทพภัยพิบัติที่อยู่ใต้บัญชาของจักรพรรดิอุดรนั่นเอง เขาถึงกับเก็บมันมาด้วยจริงๆ
“น้องชายช่างมัธยัสถ์ เจ้ารู้จักดำรงชีวิตได้ดี” ตี้อี้เยว่กล่าวชม
คนตัดไม้และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมีสีหน้าแปลกประหลาด
หลังจากเดินทางไปไม่กี่วัน พวกเขาจึงไปถึงเมืองหลวง ฉินมู่ไปที่โรงงานผลิตบนแม่น้ำโคลนก่อน และนำเอาไจกระบี่ลงจากหลังกิเลนมังกร เขาให้เครื่องจักรในโครงงานทุบกลึงไจกระบี่
โรงงานผลิตแม่น้ำโคลนเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในสันตินิรันดร์ และมันก็เป็นสถานที่อันเหมาะสมที่สุดที่จะขัดเกลาไจกระบี่อันมีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ โรงงานผลิตอื่นๆ ไม่มีพื้นที่ใหญ่โตขนาดนี้
จากนั้นก็มีข่าวแจ้งมาว่า รูปสลักหินทั้งหมดในสันตินิรันดร์ได้หายไปในค่ำคืน ขณะที่ท้องพระคลังระเบิดแตกออกไปหลายต่อหลายครั้ง เทพศาสตราที่อยู่ในท้องพระคลังก็หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย
มหาภัยพิบัติได้หายวับไปเช่นนั้นเอง
นักบุญคนตัดไม้รอจนฉินมู่จัดแจงเรื่องราวสิ้นสุด แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ พวกเราสามารถไปพบกับราชครูและจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้แล้ว”