ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 718 กลิ้งในท้องร่อง
วัวแก่ตัวนั้นมองมาที่เขาก่อนจะปรายตามองกิเลนมังกรก็ซุกหลบอยู่ข้างหลัง เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา “ไอ้หัวทึบเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็เลยหาผู้ช่วยมาอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าเจ้าจะมีผู้ช่วยคนไหน เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้ นี่เจ้ามาเพื่อทวงแค้นให้กับไอ้หัวทึบนี่หรือ”
“หัวทึบ?”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย หรือเขาจะหมายถึงมังกรอ้วน
“พี่ทางเต๋า หากมังกรอ้วนได้ล่วงเกินท่านไปก่อนหน้า ข้าก็ขออภัยด้วย”
ฉินมู่ยังคงรักษามารยาและเอ่ยถาม “เรียนถามได้หรือไม่ว่าชาวนาอยู่แถวๆ นี้ไหม”
วัวแก่เกาเกล็ดที่พุงของตนเองแกรกๆ และพวกมันก็เป็นเกล็ดมังกร จนถึงตอนนี้ฉินมู่จึงสังเกตพบว่าวัวแก่คล้ายคลึงกับวัวเขียวของอธิการบดีป้าซานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองตนดูเหมือนว่าจะเป็นลูกผสมมังกร และล้วนแต่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
แต่ทว่า วัวเขียวนั้นชอบเคี้ยวดอกโบตั๋น ชอบดอกไม้ใบหญ้า และชอบโอ้อวดกล้ามเนื้อ ในขณะที่ วัวแก่ตรงหน้าเขานั้นถือกล้องยาสูบพ่นควันปุ๋ยๆ และจิบชาอยู่ข้างๆ
หรือว่าวัวแก่นี้จะมีเชื้อสายเกี่ยวข้องกับวัวเขียวอยู่บ้าง เขาลอบคิดในใจ
วัวแก่พ่นควันออกมาวงหนึ่งและปรายตามองเขา “เจ้าดูเยาว์วัย ดังนั้นเจ้าไม่น่าจะรู้ว่านายผู้เฒ่าของข้าคือใคร เจ้าเป็นใครกัน และทำไมเจ้าถึงมาถามหานายผู้เฒ่าของข้า”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือศิษย์ของครูบาสวรรค์คนตัดไม้ หนึ่งในสี่ครูบาสวรรค์แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ข้าได้พบกับชาวประมงแล้วเช่นกัน และยังคงมีครูบาสวรรค์อีกสองคนที่ข้ายังไม่ทันได้พบ พี่ทางเต๋าจะช่วยแนะนำเขาให้แก่ข้าได้หรือไม่”
“นายผู้เฒ่าเป็นเพียงชาวนาคนหนึ่ง มีอะไรต้องไปพบเจอ”
วัวแก่เก็บยาสูบของเขาและกล่าว “เมื่อหลายวันก่อน คนตัดไม้คนหนึ่งได้มาตามหาเขาและได้รับบาดเจ็บไป เขานั้นกำลังนอนในท้องร่องเหม็นๆ นอกหมู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนโดยไม่กระดุกกระดิก ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของเขา เจ้าก็สามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าพี่ทางเต๋า”
“คนตัดไม้คนหนึ่ง?”
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “อาจารย์คนตัดไม้ได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ เขาไม่กระดุกกระดิกถึงหนึ่งเดือน? หมู่บ้านไหน”
วัวแก่ลุกขึ้นยืน และกีบเท้าทั้งสี่ของเขาเหยียบลงไปบนพื้น เขาแกว่งหางไปมาและกล่าว “ให้ข้าพาเจ้าไปที่นั่นละกัน แต่เจ้าเลิกคิดไปได้เลยว่าจะดึงตัวเขาขึ้นมา นายผู้เฒ่าบอกว่าปล่อยให้เขาเน่าอยู่ในท้องร่องแบบนั้นนั่นแหละ และใครที่กล้าฉุดเขาขึ้นมาจะต้องรับสามหมัดจากนายผู้เฒ่า สามหมัดของนายผู้เฒ่าแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังถูกต่อยทะลุ!”
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกรให้ตามมา แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะตามไปด้วย เขายังเกรงกลัววัวแก่อยู่มาก แต่วัวแก่นั้นมีใจกว้างไม่น้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมาตัวใหญ่ ไม่ต้องกลัวข้าหรอก เจ้ายังเด็กอยู่ เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าสามารถกดข้าลงต่อยได้สบายๆ”
กิเลนมังกรตาลุกวาว “จริงหรือ”
“ข้าหลอกเล่น”
วัวแก่ดื่มชาที่อยู่บนโต๊ะหิน และด้วยการกวาดลิ้นของเขาทีเดียว ทั้งถ้วยชาและชุดน้ำชาก็หายวับ เขาเดินต่อไปข้างหน้าพลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้ายังเด็กเกินไป ต่อให้เจ้าฝึกปรือไปอีกพันปี ข้าก็ใช้กีบเท้าเดียวสยบเจ้าทีละสามคนได้ ข้าได้ต่อสู้กับมังกรและกิเลนมาจำนวนนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่เด็กๆ อย่างเจ้า หมู่บ้านของพวกข้าอยู่ข้างหน้านี้ มันเป็นหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ”
กิเลนมังกรคอตกลงไปด้วยความผิดหวัง
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่วัว แม้ว่ามังกรอ้วนจะยังเด็กอยู่ แต่ท่านก็ไม่อาจดูแคลนเขาได้ ข้าได้ถ่ายทอดวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้กับเขา มันเป็นวิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ และวรยุทธของเขาก็รุดหน้าไปด้วยความเร็วประดุจเทพยดา เขาอาจจะก้าวล้ำเหนือกว่าท่านไปได้ในอนาคต”
“ชื่อของข้าคือหนิวซานตัว”
วัวแก่แกว่งหางและกล่าว “มันไม่เกี่ยวว่าวิชาฝึกปรือจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่มันขึ้นกับว่ามันเป็นของเจ้าหรือไม่ วิชาฝึกปรือของเขามิใช่ของเขาเอง และเขาก็ยังคงมีสายเลือดของกิเลน วิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาคงจะเป็นวิชาฝึกปรือแห่งเผ่ามังกร ข้าพูดถูกไหม เขาสามารถฝึกปรือมันได้เพียงครึ่ง และอีกครึ่งนั้นก็เต็มไปด้วยช่องโหว่ ถ้าเขาเอาชนะข้าได้นั่นก็คงจะมหัศจรรย์มาก หากว่าเจ้าไม่กรุยทางที่เป็นของเจ้า การฝึกปรือยอดวิชาใดๆ ก็มีแต่เสียเวลาเปล่า”
ฉินมู่หัวใจสะท้านเล็กน้อย ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของศิษย์พี่หนิวซานตัวเหนือล้ำกว่าเทพเจ้ามากมาย ดูเหมือนว่าครูบาสวรรค์ชาวนาจะเป็นครูบาสวรรค์วิชาบู๊อย่างแท้จริง แม้แต่วัวตัวหนึ่งเขาก็สามารถฝึกอบรมจนถึงขีดขั้นนี้ เขาไม่ด้อยไปกว่าจ้าวผู้ครองโลกมิติอย่างฟู่ยื่อลัว
พวกเขามาถึงหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ ในแดนโบราณวินาศ อันอยู่ห่างจากทุ่งนาไปหกเจ็ดลี้
ฉินมู่กวาดสายตาดูทิวทัศน์ของหมู่บ้านภูเขา และพบว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีธารน้ำใสและเนินเขียวชอุ่ม มันตั้งอยู่ข้างๆ ภูเขาลูกหนึ่ง และมีน้ำพุสดชื่นไหลลงมาจากข้างบน ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอยู่หนึ่งร้อย และไม่มีรูปสลักหินเลยแม้แต่น้อย
“ลองไปดูสิ ว่าคนที่นอนอยู่ในท้องร่องใช่อาจารย์เจ้าหรือไม่” วัวแก่แกว่งก้นของมันไปมาและเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
ฉินมู่เดินไปยังท้องร่องที่ทางเข้าหมู่บ้าน และพบเห็นชายผู้หนึ่งนอนหงายหน้าอยู่ในท้องร่องจริงๆ เขาแช่อยู่ในน้ำเหม็นโฉ่วจนกระทั่งใบหน้าซีดขาว
กลิ่นเหม็นวูบหนึ่งแผ่ออกมาจากท้องร่องทำให้ผู้คนอยากโก่งคออาเจียน และชายที่แต่งกายเหมือนคนตัดไม้มีแขนและขาที่หัก จากสารรูปของเขา ดูท่าว่าจะมีกระดูกหักไปหลายท่อนด้วยเช่นกัน มีก็แต่กะโหลกศีรษะที่ยังอยู่ดี
ฉินมู่มองอยู่ครู่หนึ่ง และชายในท้องร่องก็สังเกตเห็นเขาในที่สุด เขาพลิกตัวและฝังหน้าจมลงไปในน้ำครำ บนศีรษะของเขาถึงกับมีผักกาดเน่า และที่ปักเข้าไปในซอกตูดของเขาคือกระดูกไก่อันถูกแทะเนื้อไปแล้ว
ฉินมู่นั่งยองๆ ข้างๆ ร่องน้ำครำและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทำไมอาจารย์ถึงตกระกำขนาดที่ต้องมาลอยอยู่ในท้องร่องเหมือนเรืออับปางแบบนี้”
นักบุญคนตัดไม้พลิกตัวกลับมาจนน้ำกระเพื่อม และแม้แต่ตอหนวดของเขาก็ซีดขาวจากการแช่น้ำมานาน เขากล่าวอย่างเชื่องช้า “ฟ้าฝนยากจะทำนาย คลื่นมรสุมใหญ่หลวงเกินไป ดังนั้นเรือจึงอับปาง”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ออกมาจากท้องร่องได้หรือไม่”
“กระดูกของข้าหักไปจนหมด และวรยุทธของข้าก็ถูกปิดผนึก แม้แต่ดิ้นรนข้าก็ทำไม่ได้”
ฉินมู่ถามอีกครั้ง “อาจารย์มีความแค้นกับครูบาสวรรค์วิชาบู๊หรือ”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “พวกเราไม่เคยดีกัน”
ฉินมู่ผงกหัวและลุกขึ้นยืน เขาเดินตรงไปยังหมู่บ้านและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ฉินมู่ ฉินเฟิงชิง ขอเข้าพบครูบาสวรรค์วิชาบู๊!”
ชาวนาทั้งหลายในหมู่บ้านหยุดเรื่องที่กำลังทำอยู่ในมือและมองไปยังเขา ชาวนาเฒ่า ตัวใหญ่แต่ค่อนข้างเตี้ยคนหนึ่งซึ่งกำลังแปรงขนที่คอวัวแก่ หูของเขากระดิกเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินมู่กล่าว และเขาก็หันไปมองเช่นกัน
ฉินมู่พากิเลนมังกรเข้าไปในหมู่บ้าน แต่บริเวณรอบๆ สงัดเงียบไร้เสียง มีแต่ผู้คนเรือนร้อยที่กำลังจ้องมายังทั้งสอง
กิเลนมังกรหัวใจเต้นตูมตามขณะที่เดินตามฉินมู่ไปอย่างใกล้ชิดด้วยฝีเท้าอันรัวเร็ว เขาลดเสียงลงและกล่าว “จ้าวลัทธิ หมู่บ้านนี้แปลกเหลือเกิน นอกจากชาวนาเฒ่าแล้ว ยังไม่มีคนแก่และเด็ก พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว…”
ฉินมู่แย้มยิ้มและมองไปข้างหน้า เขาเดินตรงไปยังวัวแก่และชาวนาร่างเตี้ยกำยำ พลางอธิบายด้วยเสียงเบา “มังกรอ้วนโตขึ้นแล้ว เจ้าเริ่มจะรู้จักสังเกตรายละเอียดพวกนี้ มันแปลกจริงๆ นั่นแหละที่หมู่บ้านนี้ไม่มีทั้งคนแก่และเด็กๆ”
“หรือว่าวัวแก่จะกินพวกเขาไปจนหมด” กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้ม
ฉินมู่นำเอาใบหลิวออกจากหว่างคิ้วของเขาและกวาดตามองบริเวณโดยรอบ เขาส่ายหัวและกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ สาเหตุที่ไม่มีคนแก่อยู่เลยเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถชราภาพลงไปได้ เทพเจ้าจะแก่เฒ่าไปได้อย่างไร”
“เทพเจ้า?”
กิเลนมังกรกระโดดโหยงด้วยความตกใจและมองไปรอบๆ อย่างขลาดกลัว มีผู้คนหนึ่งร้อยจ้องมองมายังพวกเขา หรือว่าทุกๆ คนในหมู่บ้านจะเป็นเทพเจ้าทั้งหมด
อาจารย์ของจ้าวลัทธินับว่ารำคาญชีวิตจริงๆ ถึงกล้ามาที่นี่เพื่อหาเรื่องต่อยตี! กิเลนมังกรลอบคิดในใจ
ในดวงตาที่สามของฉินมู่ สมบัติเทวะและปราสาทสวรรค์ของชาวบ้านทั้งหลายปรากฏขึ้นมา และสะพานเทวะของพวกเขาก็สมบูรณ์ สะพานเทวะเหยียดยาวออกไปจากสมบัติเทวะของพวกเขาและพุ่งตรงไปยังปราสาทสวรรค์
และท่ามกลางปราสาทสวรรค์ของพวกชาวบ้าน จิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงตระหง่านและน่าเกรงขามอย่างผิดธรรมดาก็ยืนอยู่ในส่วนลึกของปราสาทสวรรค์ เขาไม่อาจมองเห็นตำแหน่งแห่งหนที่จิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านั้นยืนอยู่อย่างแน่นอนได้ แต่เขาสามารถมองเห็นได้ว่าวรยุทธอย่างต่ำที่สุดก็คือผู้คนที่ยืนอยู่ในสระหยก
เขามองไปยังชาวนาเฒ่า แต่เขาไม่อาจมองเห็นวรยุทธของอีกฝ่าย เขามองไม่เห็นวรยุทธของวัวแก่ด้วยเช่นกัน!
“ดูเหมือนว่าที่วัวแก่พูดจะเป็นเรื่องจริง ว่าต่อให้มังกรอ้วนฝึกวิทยายุทธไปอีกพันปีก็ยังสู้เขาไม่ได้”
ฉินมู่แปะใบหลิวกลับไปอย่างเรียบร้อยและเดินไปตรงหน้าวัวแก่และชาวนาเฒ่า เขาโค้งคารวะและกล่าว “บุตรแห่งตระกูลฉินจักรพรรดิก่อตั้ง ฉินมู่ น้อมคารวะครูบาสวรรค์วิชาบู๊”
รอยย่นบนใบหน้าของชาวนาเฒ่าลึกเป็นอย่างยิ่ง ผิวดำมะเมื่อมของเขามีประกายแดงเรื่อๆ และดูเหมือนกับว่าเขาจะกรำแดดกรำฝนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เส้นเอ็นในแขนของเขาก็ปูดขึ้นสูง ข้อนิ้วของเขาหนาโปนและดูเต็มไปด้วยพละกำลัง
เบ้าตาของเขาลึกโหลเข้าไป และเปลือกตาก็หลุบต่ำ เขายังคงแปรงขนให้วัวแก่ และเสียงของเขาก็ดังก้องราวระฆัง “ที่นี่ไม่มีครูบาสวรรค์วิชาบู๊ พวกเราล้วนแต่เป็นชาวนา เจ้ามาตามหาผิดคนแล้ว”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อครูบาสวรรค์วิชาบู๊ไม่ยินดีจะยอมรับตัวตนฐานะของตนเอง งั้นข้าสามารถนำอาจารย์ของข้า คนที่อยู่ในท้องร่องกลับไปได้หรือไม่”
ชาวนาเฒ่ากำหมัดแน่นกร๊อบ และเสียงฟ้าคำรามก็แล่นครืนครันมา ฉินมู่เงยศีรษะมอง เห็นท้องฟ้าพลันมืดมัว ฟ้าแลบแปลบปลาบ และเสียงฟ้าลั่นก็คะนองไปตามริ้วอสุนีบาตที่กรีดผ่านฟ้า ใครก็มองเห็นกำปั้นอันเหมือนขุนเขาสีดำทะมึนปรากฏอยู่ที่ฟากฟ้าเบื้องบนอย่างเลือนรางได้
“หากว่าเจ้าจะเอาไอ้นักต้มตุ๋นเฒ่านั่นไป ก็รับหมัดจากข้าสามหมัดเสียก่อน!”
ชาวนาเฒ่าปรายตามองเขาและส่ายหัว “แต่ร่างกายของเจ้าไม่สามารถต้านทานรับได้”
ฉินมู่ตั้งสติตนเองและรั้งสายตากลับมา “ครูบาสวรรค์เป็นหนึ่งในผู้ที่มีวิทยายุทธสูงสุดในบรรดาสี่ครูบาสวรรค์ ท่านจะสร้างความลำบากให้แก่ผู้เยาว์แห่งตระกูลฉินหรือ”
ชาวนาเฒ่าคลายกำปั้นออกและหวีแปรงขนวัวต่อ เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “สายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้งมันเหนือธรรมดาขนาดนั้นเชียวหรือ เมื่อครั้งกระโน้น มีคนชั่วมากมายท่ามกลางบุตรและธิดาแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และข้าก็สังหารไปไม่ใช่น้อย ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสี่ครูบาสวรรค์นั้นไม่ใช่ข้า ดังนั้นวิทยายุทธสูงล้ำไปจะมีประโยชน์อะไร ก็ยังด้อยกว่าไอ้คนในท้องร่องที่รู้จักใช้ปากฉอเลาะอยู่ดี”
ฉินมู่หัวใจเต้นตึ้กตั้ก และเหงื่อเย็นเยียบก็หยดลงจากหน้าผากของเขา ถึงกับกล้าสังหารบุตรธิดาของจักรพรรดิก่อตั้งตรงๆ เชียวหรือ
ครูบาสวรรค์วิชาบู๊นั้นใจกล้าเหลือเกินจริงๆ!
“ต้องทำอย่างไร ครูบาสวรรค์วิชาบู๊จึงจะยอมปล่อยอาจารย์คนตัดไม้ไป”
ฉินมู่พลันกล่าวอย่างเที่ยงธรรม “ยุทธจักรมีกฎของยุทธจักรพรรดิ และสภาราชสำนักก็มีกฎของสภาราชสำนัก ในเมื่อข้าย่างเท้าเข้ามาในยุทธจักร งั้นพวกเราก็ตัดสินกันด้วยกฎยุทธจักรเถอะ! ผู้เยาว์ฉินมู่มาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตอาจารย์ของข้า ขอครูบาสวรรค์โปรดกล่าวเงื่อนไข!”
ชาวนาเฒ่ายกเปลือกตาที่หลุบขึ้นและหัวเราะในคอ “กฎแห่งยุทธจักร? ยอดเยี่ยม! ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าไอ้คนคุยโตนั่นจะสอนเจ้ามาได้ขนาดไหน! ไอ้คนตัดไม้คดในข้อนั่นอาศัยการคุยใหญ่คุยโตจนได้เป็นอันดับหนึ่งแห่งสี่ครูบาสวรรค์ เจ้าคงไม่ได้เรียนการคุยโม้มาจากเขาหรอก ใช่ไหม”
ฉินมู่หัวเราะร่า และเสื้อผ้าของเขาก็สะบัดปลิวไปโดยไร้แรงลม “ข้าละอายที่จะกล่าว แต่ทว่าตั้งแต่ผู้เยาว์เริ่มจรยุทธจักร ข้าก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยกำปั้นมาตลอด ข้าต่อสู้ฝ่าฟันมา และไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด!”
ชาวนาเฒ่าสำรวจตรวจตราและระเบิดหัวเราะ “เจ้ายังไม่ได้บ่มเพาะวิญญาณบู๊ และกำปั้นของเจ้าก็มีแต่แก่นชีวิตแต่ปราศจากจิตวิญญาณ เจ้านั้นเป็นเพียงแค่คนที่ยังไม่บรรลุเต๋าแต่กลับคุยโตว่าจะเขย่าสวรรค์ มาสิ เปิดวังสู้วัว!”
ในหมู่บ้านภูเขา ชาวนาทั้งหลายลุกขึ้นยืน และร้องคำรามเป็นเสียงเดียวกันพลางต่อยออกไปอย่างพร้อมเพรียง
ข้างหลังหมู่บ้าน ภูเขาขยับแยกออกไปสองข้าง และมิติอวกาศก็ถูกฉีกแยกออก เผยให้เห็นวังสวรรค์อันน่าเกรงขาม วังสวรรค์นั้นตั้งตระหว่างอยู่ท่ามกลางแดนสรวงอันไพศาล
โลกเปิดออกด้วยดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวอันสุกสกาวบนท้องฟ้า มันถึงกับมีประเทศไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ข้างใน
“พวกเราไปวังสู้วัวกัน ด้วยกฎแห่งยุทธจักร!”
ชาวนาเฒ่าหัวเราะในคอ “โดยไม่ไยดีเป็นและตาย!”
ฉินมู่หนังหัวชาดิก และกิเลนมังกรก็ลอบหันหลังกลับ เขากะว่าจะลอบเร้นออกไป แต่หางเขาถูกฉินมู่กระทืบเหยียบเอาไว้ แทบจะทำให้เขาขวัญหนีดีฝ่อตาย