ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 722 เร็วปานดาวหาง
ปราณและโลหิตของฉินมู่เห่อเหิมขึ้นมาและลอยไปข้างหน้าพร้อมกับเขาดุจสายรุ้ง จิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ของเขามิใช่เพียงแค่การย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคาบู๊ หากว่าเขาทำเช่นนั้น ก็คงไม่ต่างอะไรจากผู้ฝึกวิชาบู๊คนอื่นๆ ในโลกสู้วัว
เขามิได้จำเป็นต้องแสวงหาหนทางที่จะก้าวข้ามสะพานเทวะไปยังปราสาทสวรรค์จากขั้นเป็นตาย เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ในเมื่อสะพานเทวะของเขาอยู่ครบสมบูรณ์
ที่เขาแสวงหาคือการปฏิรูปของโลกหล้า การพัฒนารุดหน้าของมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ดังนั้นจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ของเขาจึงมิได้ถูกจำกัดไว้เพียงแค่มรรคาบู๊ ในทางตรงข้ามเขาได้เชื่อมต่อจิตวิญญาณแห่งการปฏิรูปในยุคสมัยสันตินิรันดร์เข้ากับจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊
ยุคสมัยแห่งสันตินิรันดร์กำลังละทิ้งของเก่าเพื่อเสนอสิ่งใหม่ พวกมันเหมือนกับเปลวเพลิงที่โหมไหม้บนน้ำมันอันเดือดพล่าน ไฟป่าอันลุกลามไปทั่วท้องทุ่งไม่อาจจะหยุดยั้งได้!
หากว่าจิตวิญญาณเช่นนี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นมรรคาบู๊ มันก็จะเหนือล้ำกว่าการไล่ตามมรรคาบู๊เพียงถ่ายเดียวไปหลายเท่าตัว!
และฉินมู่ได้หยิบยืมโอกาสเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยสันตินิรันดร์ให้กลายเป็นวิญญาณบู๊ของเขา!
เขามายังโถงวังแห่งที่สอง และที่นั่นก็มีผู้บาดเจ็บมากมายข้างหน้า เทพเจ้าที่พิทักษ์โถงวังนั้นคงจะเป็นผู้ลงมือ
ฉินมู่เดินเข้าไปในโถง และข้างในเป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ไม่ปรากฏเงาร่างของหูปู้กุยและคนอื่นๆ
“ข้าใช้เวลาตรึกตรองจิตวิญญาณมรรคาบู๊กี่วันกันแน่” ฉินมู่มองไปยังรอยเลือดที่พื้น แต่รอยเลือดเหล่านั้นแห้งไปหมดแล้ว
“ศิษย์คนตัดไม้ เจ้าได้ใช้เวลาสิบวันในการผ่านโถงที่หนึ่ง”
หญิงผู้นั้นมีร่างกายอันล่ำสัน และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของข้าแข็งแกร่งกว่าเขา เจ้ากะว่าจะใช้เวลาเท่าไรล่ะถึงจะผ่านการทดสอบของข้า”
ฉินมู่เผยรอยยิ้ม “สิบ…”
หญิงสาวบ้านขมวดคิ้วและกล่าว “เจ้ามีความทะเยอทะยานไม่น้อย”
“เก้า แปด เจ็ด…”
บนแท่นประหารเทพ เส้นสายอากาศสีเลือดอันเหี้ยมโหดกำลังหมุนวนไปรอบๆ ราวกับพายุหมุนสีแดงสองวง หูปู้กุยได้มาถึงที่นี่แล้ว และท่ามกลางผู้คนห้าสิบคนที่บุกผ่านเข้ามาจากประตูสวรรค์ทักษิณพร้อมๆ กับเขา ตอนนี้เหลือเพียงแค่สองคนที่อยู่ข้างๆ
ที่แท่นประหารเทพ ไม่มีเทพเจ้าคุ้มกันด่าน
แท่นประหารเทพนั้นเป็นด่านทดสอบที่ยากเกินจะเปรียบปานในตนเองอยู่แล้ว ในช่วงเวลาสองหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกวิชาบู๊นับไม่ถ้วนแห่งโลกสู้วัวได้มาทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่
อันที่จริงๆ ด่านทดสอบก็ถูกปรับลดพลานุภาพลงไป และมันมิได้น่าสะพรึงกลัวเท่ากับแท่นประหารเทพที่แท้จริงๆ ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ได้สะกดข่มพลังอำนาจของแท่นประหารเทพให้เหลือเพียงขั้นเป็นตายเท่านั้น
แต่ทว่า ด่านนี้ก็ยังเป็นด่านที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด
“เจ้ามั่นใจหรือเปล่า”
หูปู้กุยปรับสภาวะตนเองและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์น้องหญิงและชาย หากว่าพวกเจ้าไม่มั่นใจ ก็กลับไปเถอะ หากว่าพวกเจ้ากลับไป ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกห้าร้อยปี มีชีวิตอยู่ต่อนั้นดีกว่าอะไรทั้งสิ้น”
หญิงผู้นั้นส่ายศีรษะ “ข้าได้ฝึกปรือมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อวันนี้ ศิษย์พี่หู ก่อนที่จะเข้าการทดสอบนี้ข้าได้แต่งงาน ให้กำเนิดทารกสองคนที่แข็งแรงสมบูรณ์ ข้าได้เติมเต็มความปรารถนาของข้าที่จะทิ้งทายาทเอาไว้ และบัดนี้ข้าก็วางแผนที่จะใช้ชีวิตของข้าเพื่อเติมเต็มความปรารถนาอีกประการหนึ่ง ในคราวนี้ หากว่าข้าไม่สำเร็จ ก็ตายไปข้างหนึ่ง!”
ชายอีกคนแย้มยิ้มและกล่าว “ข้าเองก็แต่งงานและมีบุตรแล้ว แซ่และสายเลือดของบรรพชนข้าสามารถสืบทอดต่อไปได้ ข้าไม่มีอะไรฉุดรั้งเอาไว้อีกต่อไป และข้าพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิต ข้าหมายที่จะแสวงหาอนาคตให้แก่เผ่าพันธุ์ของพวกเรา! เผ่าพันธุ์ของข้าจะต้องมีความหวัง และลูกหลานของข้าจะต้องได้ยืนท่ามกลางทวยเทพในกาลข้างหน้า!”
“พวกเจ้า…รักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อนแล้วฟื้นฟูปราณและโลหิตให้เต็มเปี่ยม แท่นประหารเทพไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า แต่ข้าไม่มีวิธีการปกป้องพวกเจ้า”
หูปู้กุยถอนหายใจและหันไปมองยังสระหยกข้างหลัง โถงวังทั้งหลายเรียงรายกันซับซ้อน และถนนที่ผ่านโถงวังเหล่านี้คือเส้นทางที่เขาทลายฝ่าด่านมาก่อนหน้า
“ข้าไม่รู้ว่าพี่ฉินกำลังทำอะไรอยู่นะ”
เขากล่าวด้วยเสียงเบา “นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว เขาเอาแต่ฝึกวิชาบู๊อยู่ตลอด และเห็นได้ชัดว่าทักษะเทวะมรรคาบู๊ของเขานั้นสนิมขึ้น ข้าสงสัยว่าเขาจะสามารถปลุกวิญญาณบู๊ขึ้นมาและสำเร็จวิญญาณบู๊สถิตร่างหรือไม่”
“วิญญาณบู๊สถิตร่างจะง่ายดายอย่างนั้นได้อย่างไร”
หญิงคนนั้นกล่าว “เมื่อครั้งกระโน้น เพียงเพื่อสำเร็จวิญญาณบู๊สถิตร่าง ข้าได้เข้าไปในป่าหมื่นสัตว์ร้ายเมื่อตอนอายุสิบเอ็ดขวบ ข้าได้ต่อสู้เป็นเวลาสิบกว่าวันสิบกว่าคืนและดิ้นรนจนกระทั่งเนื้อหนังของข้าขาดวิ่นเป็นชิ้นๆ ในท้ายที่สุดข้าก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป และข้าก็ไม่รู้สึกด้วยว่ากำลังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณบู๊ของข้า และก็ได้สังหารราชาหมาป่าและหนีพ้นจากหายนะ”
ชายอีกคนกล่าว “สำหรับข้า เมื่อเด็กหนุ่มสาวอายุสิบสามปีร้อยกว่าคนถูกส่งเข้าไปในโลกมิติมารสงัด จากร้อยกว่าคนนั้นมีเพียงสามคนที่รอดชีวิต ข้าเป็นหนึ่งในนั้น ในปีดังกล่าว ข้าได้ปลุกวิญญาณบู๊ขึ้นมา เวลาของพี่ฉินนั้นสั้นจนเกินไป และข้าก็เห็นว่าเขาอายุเยาว์เกินไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาไม่น่าที่จะปลุกวิญญาณบู๊ของเขาขึ้นมาได้ พวกเราไปที่แท่นและเอามีดเทวะออกมากันเถอะ”
หูปู้กุยพยักหน้า
หญิงนั้นปรับปราณและโลหิตของนาง นางฟื้นฟูกลับมาเต็มกำลังวังชาและเดินขึ้นไปยังแท่นประหารเทพเป็นคนแรก นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอสักครู่ ให้ข้าทดสอบมีดก่อน ข้าอยากจะรู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมมรรคาบู๊ของข้าจะสามารถป้องกันหนึ่งมีดจากแท่นประหารเทพได้หรือไม่!”
ขณะที่นางยืนอยู่บนแท่นประหารเทพนั่นเอง สะเก็ดสายของลมกระหายเลือดก็พุ่งตัดกันและย่อหดลงอย่างรวดเร็วราวกับแสงโลหิตที่พุ่งวนรอบคอของนาง ไม่ว่านางจะดิ้นรนหรือสะบัดไปมากเท่าไร ก็ไม่อาจหลบหลีกสองแสงโลหิตนี้ได้ และก็ไม่อาจขับไล่มันกลับไป!
ในจังหวะนั้นเอง โถงใหญ่ตรงหน้าสระหยกก็พลันสั่นสะท้านและสร้างฝุ่นคลีตลบไปทั่วทิศ!
หูปู้กุยกำลังมองไปยังสถานการณ์บนแท่นประหารเทพ และหันกลับไปเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขาเห็นประตูหลังของวังแห่งนั้นถูกระเบิดกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า และเส้นสายปราณและโลหิตพวยพุ่งกรีดนภามุ่งตรงไปยังโถงวังถัดไป!
“หรือว่าจะเป็นพี่ฉิน”
หูปู้กุยตกตะลึง ไม่ทันที่เขาจะหันกลับไปมองที่แท่นประหารเทพ เขาก็เห็นประตูหลังของโถงแห่งที่สองถูกพังทลายเละเป็นชิ้นๆ และสายรุ้งยาวของปราณและโลหิตก็พวยพุ่งต่อไปข้างหน้า ทะยานไปยังโถงวังที่สาม!
“เร็วจริงๆ!”
หัวใจของหูปู้กุยสั่นสะท้าน และประตูโถงวังแห่งที่สามก็ระเบิดเปิดเปิง ดวงตาที่สามของหูปู้กุยเปิดออก และเขาก็พลันเห็นสถานการณ์ที่ประตูถูกระเบิดให้กระเด็นออกไป
เขานั้นเป็นเผ่าเทพสามตา และดวงตาที่สามของเผ่าเทพสามตาเป็นเนตรเทวะโดยธรรมชาติ เนตรเทวะนี้ทรงพลานุภาพแข็งแกร่ง และมันสามารถมองหยั่งถึงโลกใต้ดินแทงทะลุุไปถึงแดนใต้พิภพ
เขาพลันมองเห็นร่างที่กำลังเหาะเหินของฉินมู่ออกจากจุดอันประตูระเบิดออกมา
ร่างของฉินมู่ครึ่งนั่งครึ่งยองอยู่กลางอากาศ และแขนของเขาก็กางออกไปเหมือนนกอินทรีหิวโหยที่โฉบขย้ำใส่เหยื่อ ขาข้างหนึ่งของเขาเหยียบไปบนหน้าอกของชาวนากำยำ
ตูม!
ฉินมู่ฟาดชาวนาผู้นั้นลงบนพื้น และมวลอากาศอันเกรี้ยวกราดก็กวาดซัดไปทั่วสารทิศ
ที่โดนเขาเหยียบอยู่คืออาจารย์อากู่
หูปู้กุยมีสีหน้าพิลึกประหลาดและรำพึงในใจ อาจารย์อากู่ผู้นี้ไม่ชอบที่จะต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณแห่งหมัด และมักจะลงมือต่อสู้ด้วยตนเอง เมื่อเขาต่อสู้กับพวกเขา เขาได้ปิดผนึกวรยุทธของตนเองเอาไว้ โดยปิดทั้งปราสาทสวรรค์และสมบัติเทวะสะพานเทวะ แต่ทว่า ดูเหมือนเขาจะพบกับคู่ต่อสู้สูสีเข้าแล้ว…
เมื่อเขากำลังนึกถึงอาจารย์อากู่ กระดูกของเขาก็รู้สึกเจ็บร้าวอีกครั้ง ด่านทดสอบของอาจารย์อากู่สาหัสทรหดที่สุด และได้ชัยชนะมาอย่างยากลำบากที่สุด
กระนั้นฉินมู่ก็สามารถเป่าอาจารย์อากู่กระเด็นออกจากโถง และเหยียบร่างเขาลงกับพื้น
“ความเร็วอัศจรรย์อะไรอย่างนี้!”
หูปู้กุยและชายอีกคนทึ่งใจไม่รู้จบ แรงทะยานของฉินมู่นั้นไม่ต่างจากอาชาโลดแล่น และเขาก็ทลายฝ่าโถงวังเป็นสิบๆ เพื่อตะลุยเข้าไปในสระหยก!
ชาวนาเหล่านั้นที่อารักขาสระหยกมีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งและขั้นวรยุทธอันสูงล้ำ ขั้นวรยุทธที่ล้ำเลิศแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพรสวรรค์เลิศล้ำปานใด และทุ่มเทความพยายามไปมากแค่ไหน แต่ทว่า แรงทะยานของฉินมู่ก็ไม่เชื่องช้าลงเลยสักนิด เขาทลายฝ่าทุกๆ โถงด้วยความเร็วอันน่าสะท้านขวัญ!
“เขาสำเร็จมรรคาบู๊ของตนแล้วหรือ”
หูปู้กุยและชายอีกคนคิดมาถึงตรงนี้ก็เห็นฉินมู่ถลันออกมาจาประตูแตกหักของโถงวังสุดท้าย ปราณและโลหิตข้างหลังเขากรีดผ่านเวหา และย่างเท้าเขาก็เหยียบลงไปบนยอดสระหยก ยืนอยู่เหนือระลอกคลื่น เขาพุ่งทะยานมายังแท่นประหารเทพอย่างเร่งร้อน
แท่นประหารเทพอยู่สูงล้ำขึ้นไป และแม้ว่ามันจะมีนามว่าแท่น แต่มันเหมือนกับภูเขาหยกลูกหนึ่งอันมีขั้นบันไดมากมายนับไม่ถ้วน
พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นร่างของฉินมู่ และเห็นก็แต่สายรุ้งสีเลือดที่พุ่งผ่าห้วงนภา มันพุ่งทะยานตรงไปยังยอดเขาด้วยความเร็วน่าแตกตื่น!
“ข้าต้านทานต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
ทันใดนั้นบนแท่นประหารเทพ เสียงของหญิงผู้นั้นก็ดังมา และหูปู้กุยก็รีบหันไปทางแท่น หญิงผู้นั้นหันกลับมาและเผยยิ้มสว่างสดใส “ศิษย์พี่หู ศิษย์พี่หลู่ เจอกันใหม่ใน…”
แสงโลหิตสาดส่องรอบๆ คอของนางเมื่อนางถูกตัดศีรษะในทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมด้วยเส้นสายแสงโลหิตสองเส้น!
หูปู้กุยและศิษย์พี่หลู่มีสีหน้าอันเศร้าสลด “ศิษย์น้องหญิง ลาก่อน…”
ในตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งวาบผ่านพวกเขาและ สร้างลมโหมพัดเสื้อผ้าพวกเขาให้ปลิวพึ่บพั่บ
เงาร่างนั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากฉินมู่ เขาขึ้นไปบนแท่นประหารเทพโดยไม่หยุดยั้ง และยื่นมือออกไปเคาะ ความมืดพลันพวยพุ่งออกมาจากแท่นประหารเทพเมื่อแดนใต้พิภพปรากฏอยู่บนพื้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของหญิงสาวก็ถูกตัดศีรษะออกไป และนางกำลังร่วงลงไปยังแดนใต้พิภพ
เขาขยับมือขึ้นและลง นิ้วดีดออกไป และอักษรรูนแปลกประหลาดก็กระโดดออกจากปลายนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นนิพนธ์ใต้พิภพอันพิสดาร และหมุนวนไปรอบๆ คอของหญิงสาว
นิพนธ์พิสดารเรียงร้อยเป็นชุดอักษรรูนใต้พิภพซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนและยากจะเข้าใจ พวกมันฝังประทับลงไปในคอของหญิงผู้นั้น
ในเวลาเดียวกัน ศีรษะของจิตวิญญาณดั้งเดิมนางก็เหาะเหินเข้ามา และมันก็ถึงกับเชื่อมต่อเข้าบนจิตวิญญาณดั้งเดิมอันไร้หัว
กายเนื้อของนางร่วงหล่นลงไปยังแท่นประหารเทพ เลือดสดๆ หลั่งไหลออกจากคอของกายเนื้อของนางและกำลังจะถูกแสงโลหิตดูดกลืนเข้าไป กระนั้นมันก็ไม่ไหลออกมา
เสี้ยวพริบตาสั้นๆ นั้นอันที่จริงแล้วยาวนานราวกับว่ากาลเวลาได้หยุดเคลื่อนไหว
เนื้อและโลหิตที่คอของฉินมู่เต้นดุบดิบเมื่อศีรษะอีกสองข้างงอกเงยออกมา แขนอีกสี่ข้างงอกออกใต้รักแร้ของเขา และพวกมันต่างก็ร่ายเวทมนตร์ออกไป ศีรษะของหญิงสาวลอยตรงไปยังคอของนางภายใต้วงแหวนของอักษรรูนเสกสรร
หึ่งงง–
อักษรรรูนอันพริบพราวทั้งหลายพลันกลายเป็นเข้มข้นเจิดจ้าและสาดแสงออกไป ทำให้ทั้งสองคนข้างล่างมิอาจมองเห็นสถานการณ์บนแท่นประหารได้อย่างชัดแจ้ง เขาเพียงแต่มองเห็นฉินมู่สามเศียรหกกรที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเลือนราง กำลังยกมือของเขาขึ้นมา แดนใต้พิภพที่อยู่บนแท่นประหารหายวับไป และหญิงสาวที่กำลังร่วงหล่นลงมาก็หยุดค้าง กาลเวลาเหมือนจะถูกไขให้ย้อนกลับเมื่อนางย้อนคืนมาสู่ท่วงท่ายืนตรงอีกหน
แสงสว่างสลายจางไป และฉินมู่ก็ยกมือขึ้นเพื่อดีดหญิงสาวออกไปจากแท่นประหารเทพด้วยความเร็วชวนตื่นตระหนก
บนแท่นประหารเทพ แสงโลหิตสูญเสียเป้าหมาย และดูจะโกรธเกรี้ยวเมื่อพวกมันเข้าไปรัดพันรอบๆ คอของฉินมู่
“มีดปริศนาประหารเทพ ข้าเองก็มีหนึ่งเล่ม”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “หากว่าแม้แต่มีดนั้นก็ยังคร่าชีวิตข้าไม่ได้ แล้วกะอีแค่ลมกระหายเลือดสองเส้นอันถูกสะกดข่มให้เหลือเพียงขั้นเป็นตายจะทำอะไรข้าได้”
ปราณและโลหิตพวยพุ่งออกไปจากคอของเขาราวกับมังกรยักษ์ที่ม้วนขนดหาง แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลดังออกมา และเสียงคำรามมังกรก็กึกก้องออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน มันถึงกับขับไล่ลมกระหายเลือดอันก่อขึ้นมาจากมีดปริศนาประหารเทพออกไปได้
ฉินมู่ยกมือขึ้นและเคาะลงไปย้ำๆ ด้วยเสียงเปรี๊ยะปร๊ะกังวาน สายลมอาฆาตสองสายก็ถูกขับไล่กลับไปด้วยการโจมตีของเขา
ฉินมู่เดินไปยังแท่นประหารเทพ และตอนนั้นสายลมกระหายเลือดทั้งสองถึงยอมปล่อยเขาไป พวกมันพลันขยายขนาดและแปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนกระหายเลือดที่ดูเหมือนมังกรโลหิตสองตัวอันเต้นบิดอยู่บนแท่นประหารเทพ
หูปู้กุยตกตะลึงและร้องออกมา “พี่ที่นับถือฉิน ท่านได้สำเร็จเชี่ยวชาญทักษะเทวะกายเนื้อและบ่มเพาะวิญญาณบู๊แล้ว ท่านทำได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร มันเพิ่งผ่านมาเพียงแค่สิบวัน…”
ฉินมู่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแท่นประหารเทพและตอบไปอย่างถ่อมตนด้วยใบหน้าแดงซ่านเล็กน้อย “พูดกันตามตรงแล้ว ข้าคือกายาจ้าวแดนดิน ข้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว ตั้งแต่เมื่อข้ายังเล็ก มันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา หากว่าข้าเรียนได้ช้า ผู้เฒ่าทั้งหลายก็จะบอกว่าข้าสร้างความอับอายแก่ชื่อเสียงของกายาจ้าวแดนดิน จริงๆ แล้วสิบวันนี่ถือว่าช้าไปมาก…”