ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 725 ย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดาร
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 725 ย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดาร
เทพเจ้าในอัครนครหยกตกตะลึง และพวกเขาก็มองไปยังฉินมู่ “เขาคือกายาจ้าวแดนดินที่ครูบาสวรรค์ใหญ่เอ่ยอ้างถึงอย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่ราชครูสันตินิรันดร์หรือ”
ในเสี้ยวระยะเวลาสั้นๆ แขนทั้งหนึ่งพันของฉินมู่ย้อนกลับมาเป็นหกแขน และทักษะเทวะทั้งหมดก็เข้ามาหลอมรวมกันในจังหวะนั้นเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังฝ่ามือหกซัดไปต้านรับลมกระโชกดงสนสะท้านหุบผาของหูปู้กุย
ย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดาร
นั่นคือทักษะเทวะมรรคาบู๊ของเขา
ลมกระโชกดงสนสะเทือนหุบผาของหูปู้กุยมีเจตจำนงแห่งสายลม ร่างของเขาประดุจต้นสน อันแยกเงาออกเป็นร้อยพันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นป่าสน เมื่อทักษะเทวะของเขาพวยพุ่งออกไปจากกำปั้น มันก็เหมือนลมกระโชกผ่านดงสน และกระนั้นพลานุภาพของมันก็สามารถสะท้านสะเทือนทั้งหุบผาได้
มหาทักษะเทวะของฉินมู่ได้หลอมรวมเอาวิชาบู๊ทักษะเทวะกายเนื้อทั้งหมดที่เขาเคยร่ำเรียนมาก่อน แขนทั้งหนึ่งพันและฝ่ามือทั้งหนึ่งพันของเขาก่อนนั้นนั้นคือการหลอมรวมกระบวนท่าและทักษะเทวะ
วิชาบู๊ของเฒ่าหม่า คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย ได้กลายมาเป็นสุดยอดประหลาดพิสดารในมือของเขา เจตจำนงของหมัดแตกต่างออกไป และเมื่อพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกมันก็กลายเป็นย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดาร
ทักษะเทวะที่หมายจะโอ้อวดทัศนียภาพอันมหัศจรรย์ของสุดยอดวิชาพิสดารอันแตกต่างกันไป
สมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และชาวสวรรค์ปรากฏ แต่สิ่งที่แปลกไปคือเขาไม่มีสมบัติเทวะเจ็ดดาว และยังมีสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และชาวสวรรค์อีกชุดหนึ่งสะท้อนอยู่ข้างล่าง!
ด้านบนเป็นมรรคาเทพ และด้านล่างคือมรรคามาร
เทพและมารสะท้อนซึ่งกันและกัน เกาะเกี่ยวเป็นหนึ่ง
เทพสงครามสามสิบหกตนในอัครนครหยกเข้าใจในที่สุดว่า ทำไมฉินมู่จึงสามารถต้านทานมหาทักษะเทวะของหูปู้กุยได้ทั้งๆ ที่อยู่ในขั้นชาวสวรรค์
หูปู้กุยนั้นอยู่ในขั้นเป็นตาย และได้ฝึกวรยุทธจนสมบูรณ์แบบ นั่นก็เพราะว่าทุกๆ คนในโลกสู้วัวล้วนติดอยู่ที่ขั้นเป็นตายและไม่อาจจะก้าวต่อไปอีกขั้นได้ ดังนั้นโลกสู้วัวจึงได้พัฒนาแต่ละขั้นวรยุทธจนสมบูรณ์แบบ
หูปู้กุยเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
กล่าวได้ว่าในขั้นเป็นตายนี้ ไม่มีใครที่จะมีพลังวัตรเข้มข้นเท่ากับเขา
เมื่อฉินมู่กับหูปู้กุยต่อสู้กัน ฉินมู่ถึงกับสามารถสูสีทัดเทียมได้ นั่นแสดงว่าพลังวัตรในขั้นชาวสวรรค์ของฉินมู่มิได้แตกต่างจากขั้นเป็นตายของหูปู้กุยมาก
เมื่อเทพสงครามทั้งสามสิบหกเห็นสมบัติเทวะของฉินมู่ พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุของพลังวัตรอันเข้มข้นของฉินมู่
เขาฝึกปรือทั้งมรรคาเทพและมรรคามาร และมีสมบัติเทวะทั้งสองมรรคา เขานั้นอาจจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ทำเช่นนี้ได้นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สมเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ครูบาสวรรค์ใหญ่มิได้โกหก!เทพสงครามสามสิบหกตนตื่นตระหนก
เมื่อนักบุญคนตัดไม้มายังหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ ของพวกเขาเพื่อโน้มน้าวชาวนาเฒ่า เขาได้กล่าวถึงกายาจ้าวแดนดินและอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี
เมื่อครั้งนั้น ชาวบ้านทั้งหลายล้วนได้ฟังและสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับการปฏิรูปสันตินิรันดร์ พวกเขาก็สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งต่ออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี
เพียงแต่ว่าในขณะนั้น นักบุญคนตัดไม้ได้ถูกเป่ากระเด็นลงไปในท้องร่องด้วยฝีมือของชาวนาเฒ่า จนกระดูกหักไปทั้งร่าง แต่โชคดีที่ว่า ชาวนาเฒ่ามิได้ใช้กำลังมากมายอะไร ดังนั้นเขาจึงยังไม่ตาย แต่ทว่า นั่นจึงทำให้ชาวบ้านทั่งหลายไม่ทันได้รู้ว่าใครคือกายาจ้าวแดนดินและใครคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์
ชาวนาเฒ่ามีความบาดหมางลึกล้ำกับคนตัดไม้ และปัญหาระหว่างพวกเขามิได้มีแค่เรื่องการจัดอันดับครูบาสวรรค์เท่านั้น มันยังมีความแค้นอื่นๆ เกี่ยวพันอยู่ด้วย
เมื่อฟังจากที่วัวแก่กล่าว ดูเหมือนว่ากายาจ้าวแดนดินก็คือทายาทของจักรพรรดิก่อตั้งที่มาตามหาคนตัดไม้ แต่ทว่า พวกเขาก็ยังคงไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร มีก็แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นฉินมู่ทลายฝ่าเขตขั้นเต๋าในชั่วพริบตา และบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมมรรคาเต๋า ย่างกรายสู่มรรคาบู๊ในเวลาเดียวกัน และเผยสมบัติเทวะที่สะท้อนระหว่างเทพและมารออกมา พวกเขาจึงต้องเชื่ออย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
จากผู้ฝึกวิชาเทวะที่มิได้มีวิญญาณบู๊ในครอบครอง จนกระทั่งตรึกตรองเข้าใจวิญญาณบู๊ จิตวิญญาณดั้งเดิมมรรคาบู๊ และกระทั่งเข้าใกล้ที่จะคิดค้นมหาทักษะเทวะมรรคาบู๊ของตนได้ ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน ผู้คนเช่นนี้จะไม่เป็นกายาจ้าวแดนดินได้อย่างไร
แต่ทว่า พวกเขาไม่มีวันคิดไปถึงว่าสาเหตุที่ฉินมู่สามารถตรึกตรองเข้าใจวิญญาณบู๊อย่างรวดเร็วก็เพราะเขามีรากฐานอันล้ำเลิศ
รากฐานของเขาล้ำเลิศจนเกินไป
ตั้งแต่เมื่อฉินมู่ได้ประสบความล้มเหลวในการปลุกทารกวิญญาณของเขาเมื่อยังเยาว์ และทุกๆ คนในหมู่บ้านก็ค้นพบว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ เป็นตอนนั้นที่กายาจ้าวแดนดินของผู้ใหญ่บ้านได้ปลุกขวัญกำลังใจพวกเขากลับคืนมา พวกเขาได้ผลักดันทั้งยาวิญญาณและโลหิตของสัตว์วิญญาณทั้งหลายให้แก่ฉินมู่ ทั้งการฝึกฝนของผู้เฒ่าทั้งหลายที่มีต่อฉินมู่ก็ดุเดือดเป็นพิเศษ
ฉินมู่เองก็ไม่เคยมีข้อกังขาเลยว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน และเขาก็ฝึกฝนฝีมืออย่างพากเพียรอุตสาหะด้วยความมั่นใจอันเต็มร้อย
ในตอนนั้น เขาอยู่ห่างจากการปลุกวิญญาณบู๊ไปเพียงลัดนิ้วเดียว
ประเด็นสำคัญที่สุดก็ยังคงอยู่ที่ ‘วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ’ ที่ผู้ใหญ่บ้านสอนให้แก่เขา จริงๆ แล้ววิชานี้คือวิชาเต้าหยินอันดาษดื่นบนท้องถนน แต่กระนั้นฉินมู่ก็สามารถฝึกปรือมันจนถึงขีดขั้นอันสูงลิ่วอย่างไม่มีใครเคยไปถึงมาก่อน
อนึ่ง นั่นก็ไม่ใช่วิชาเต้าหยินธรรมดาๆ แต่มันคือวิชาฝึกปรือที่จักรพรรดิก่อตั้งถ่ายทอดลงมา และเดิมทีมันคือสุดยอดวิชาแห่งตระกูลฉิน แม้แต่คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ก็ยังเป็นเพียงแขนงหนึ่งของวิชานี้
ด้วยรากฐานอันล้ำเลิศ กับวิชาบู๊ที่ฉินมู่เรียนมาในอดีต กับผลงานชั่วชีวิตของอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย และกับทั้งวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิสามวิชาที่เขาได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน รากฐานของเขาก็เหนือล้ำกว่าหูปู้กุยที่ฝึกฝนอย่างพากเพียรมานานปีไปได้อย่างไม่ติดฝุ่น
จิตวิญญาณของการปฏิรูปแห่งยุคสมัยสันตินิรันดร์ได้ตราประทับลงไปในจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ของเขา และมันก็เหนือล้ำกว่าการมีเพียงแค่จิตวิญญาณมรรคาบู๊เพียงถ่ายเดียว ด้วยการสั่งสมที่เข้มข้นมหาศาลเช่นนี้ ก็ไม่แปลกว่าทำไมเขาจึงสามารถตรึกตรองเข้าใจแก่นแกนอันเที่ยงแท้แห่งมรรคาบู๊ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
นั่นมิใช่ข้อสันนิษฐานของวัวแก่และเทพสงครามทั้งหลาย และในทางกลับพวกเขาคาดเดาว่าเป็นเพราะเขาครอบครองกายาจ้าวแดนดิน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉินมู่ก็ไม่เข้าใจสายสนกลในที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ผลักให้เป็นผลงานของกายาจ้าวแดนดิน
พลังฝ่ามือทั้งหกของฉินมู่เข้าไปปะทะตรงๆ กับลมกระโชกดงสนสะท้านหุบผา และพลานุภาพของทักษะเทวะมรรคาบู๊สองแบบอันแตกต่างกันก็ระเบิดออก แต่ด้วยว่ามีเวลาอันจำกัดจำเขี่ย ฉินมู่จึงมิได้ตรึกตรองคิดค้นมหาทักษะเทวะของเขาจนสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงเสียเปรียบเล็กน้อยในด้านพลานุภาพ
แต่กระนั้น ในเมื่อเขามีแขนหกแขน พลานุภาพที่ขาดหายไปจึงถูกชดเชยด้วยการซ้อนทับสามมหาทักษะเทวะเข้าด้วยกัน
มหาทักษะเทวะมรรคาบู๊ทั้งสองระเบิดเมื่อเข้าปะทะ กลายเป็นส่องแสงเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ มันเต่งพองขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ กระแสอากาศรุนแรงโถมซัดออกไปทั่วทิศทางตามพื้น และลมดุดันก็กระโชกซัดเสื้อผ้าของเทพสงครามทั้งหลายที่ยืนอยู่ห่างออกไป
ที่ใจกลางของแสงเจิดจ้า ปราณและโลหิตสองเส้นสายทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้า และฉายส่องออกเป็นรูปเงาของเทพสงครามผู้ยิ่งยงสองตนที่กำลังสู้รบประจัญบาน พวกเขาดูทั้งทะมัดทะแมงและดุดัน
ในที่สุด ลมเชี่ยวกรากก็เคลื่อนไปยังที่ไกลๆ และแสงทั้งหลายก็โรยรา เงารูปอันเกิดจากปราณและโลหิตก็จางหาย
ฉินมู่และหูปู้กุยกระอักเลือดออกมา และรัศมีของพวกเขาก็กลายเป็นแผ่วระโหย
ทั้งสองคนล้มลงไปและยันตัวนั่งกับพื้นพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ขณะที่เขาสูดอากาศเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตนั้น อากาศที่เป่าไปก็ถึงกับนำฟองเลือดออกมาจากปากของพวกเขา
หูปู้กุยมองไปที่ฉินมู่ และฉินมู่ก็มองไปที่หูปู้กุย รอยยิ้มของทั้งคู่ยิ่งมาก็ยิ่งกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น มือของพวกเขาก็เข้าไปจับกันแน่น และเริ่มหัวเราะด้วยเสียงอันกึกก้อง!
วัวแก่และเทพสงครามสามสิบหกตนระบายลมหายใจโล่งอก พวกเขากังวลว่าทั้งคู่จะไม่อาจยอมรับได้ที่การต่อสู้จบลงโดยไม่มีผลแพ้ชนะ และจะลงมือสู้กันต่อ ไม่คาดคิดเลยว่าทั้งสองคนจะมีจิตใจกว้างขวางและให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ของผู้ร่วมมรรคา พวกเขาไม่มีจิตริษยากันเลยแม้แต่น้อย
“พี่หู หากท่านยังอยู่ในโลกสู้วัว ก็ไม่มีอนาคตมากมายอีกต่อไป”
ฉินมู่รู้สึกตื่นเต้นและปาดเลือดที่มุมปากออก เขาสลายร่างสามเศียรหกกรก่อนที่จะแปะใบหลิวกลับไปปิดผนึกดวงตาที่สามเอาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้คนมากมายในโลกข้างนอกนั่นที่ไม่ด้อยไปกว่าข้าและเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิรูปสันตินิรันดร์ก็โหมไหม้ดุจไฟป่า และพวกเขาก็ต้องการผู้เปี่ยมความสามารถอย่างเจ้า เจ้าไม่อยากที่จะข้ามสะพานเทวะและเข้าไปในปราสาทสวรรค์หรอกหรือ ข้าว่าเจ้าน่าจะได้พบกับเพื่อนรักของข้าซวีเซิงฮวา!”
เขามีสีหน้าสีตาอันแสดงอารมณ์ความรู้สึกมาอย่างชัดเจน และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา “ซวีเซิงฮวาเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง เขายังเฉลียวฉลาดอีกด้วย…เขานั้นเป็นอัจฉริยะที่เป็นรองก็เพียงข้า! เขาได้ค้นพบว่าสมบัติเทวะทั้งหมดอันที่จริงแล้วเป็นชิ้นเดียวกัน และเขาวางแผนที่จะหลอมสมบัติเทวะทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เขาได้หลอมรวมสมบัติเทวะหกทิศและเจ็ดดาวเข้าด้วยกันจนสำเร็จไปแล้ว และลดขั้นวรยุทธลงหนึ่งขั้นแก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลาย ในตอนนี้ เขาวางแผนที่จะหลอมรวมเขตขั้นชาวสวรรค์เข้าไปด้วยเช่นกัน”
หูปู้กุยร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า หากว่าผู้ฝึกวิชาบู๊แห่งโลกสู้วัวของพวกข้าไม่มีสมบัติเทวะสะพานเทวะ พวกข้าก็เพียงแต่ต้องหลอมรวมสมบัติเทวะอื่นๆ เท่านั้นน่ะหรือ”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าซวีเซิงฮวาคู่ควรแก่การพบพานหรือไม่”
หูปู้กุยตื่นเต้นอย่างฉุดไม่อยู่ และเขาก็ลุกขึ้น “แน่นอน ข้าต้องไปพบกับเขาให้ได้! ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เจอกับเขา! พวกเราจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ ทำไมพวกเราไม่ไปหาเขากันตอนนี้เลยล่ะ!”
ฉินมู่กล่าวด้วยความลิงโลดยินดี “หากว่าเจ้าได้พบกับเขา จะต้องชมชอบเขาแน่ ๆ เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง”
วัวแก่จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง และเขาก็คิดอยู่ในใจ นี่พวกเขาจะไม่บุกท้าทายด่านทดสอบต่ออย่างนั้นหรือ พวกเขาเพียงแค่ต้องผ่านด่านของข้า ก็จะสามารถเข้าไปในตำหนักชิดฟ้าเพื่อไปท้าทายกับนายผู้เฒ่าซึ่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ…
เทพสามสิบหกตนแห่งอัครนครหยกก็หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง พวกเขางุนงงทำอะไรไม่ถูก
การทดสอบหลักสำหรับผู้ฝึกวิชาบู๊แห่งโลกสู้วัวนั้นก็เพื่อเสาะหาหนทางให้ลูกหลานที่สะพานเทวะขาดหายไป ได้มีวิธีเข้าไปในปราสาทสวรรค์
แต่กระนั้น สองหนุ่มผู้นี้กลับยิ่งจะตื่นเต้นมากขึ้นทุกที เมื่อเขาพูดจากันไปมาราวกับว่าจะหุนหันพากันไปเสียแต่เดี๋ยวนี้
แต่จากที่พวกเขากำลังสนทนากัน ดูเหมือนว่าในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ จะมีบุรุษมหัศจรรย์ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ หากว่าพวกเขาอยากจะออกไปตามหาคนที่ชื่อซวีเซิงฮวานี้ ก็นับว่าควรแก่การอภัย
แต่ถึงอย่างไร เส้นทางแห่งความสำเร็จก็อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ลองท้าทายดูสักหน่อยเลยหรือ
พวกเขาเพียงแต่ต้องเอาชนะวัวแก่ และเข้าไปท้าสู้กับครูบาสวรรค์วิชาบู๊ที่อยู่ในโถงแห่งตำหนักชิดฟ้า พวกเขาอาจจะสามารถข้ามเวหาว่างเปล่าเหนือสะพานเทวะไป และเหาะเหินไปยังปราสาทสวรรค์ได้โดยตรง!
วัวแก่กระแอมไอ “หูปู้กุย ฉินมู่ พวกเจ้าจะไม่เข้ามาหรือ”
หูปู้กุยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และไม่แน่ใจว่าเขาควรจะท้าสู้ต่อดีหรือไม่
ฉินมู่ถามด้วยเสียงเบา “กำลังฝีมือของวัวของครูบาสวรรค์วิชาบู๊เป็นอย่างไร”
หูปู้กุยกระซิบบอก “ข้าไม่เคยเห็นเขาลงมือต่อสู้มาก่อน แต่ข้าได้ยินว่าครูบาสวรรค์วิชาบู๊เป็นยอดคนในขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ และโดยปกติแล้ววัวนี้จะเป็นผู้แบกครูบาสวรรค์วิชาบู๊เข้าไปสู้ศึก การที่จะสามารถแบกยอดยุทธระดับบัลลังก์จักรพรรดิได้ อย่างน้อยเขาก็จะต้องอยู่ในขั้นตำหนักชิดฟ้า ข้าถึงกับเคยได้ยินผู้คนพูดกันว่า หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสหนิวไม่ไยดีอิทธิพลอำนาจ เขาก็คงได้ครอบครองวังสวรรค์หนึ่งวังในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
ฉินมู่คิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่งและส่ายศีรษะ “ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสซานตัว ข้าเคยพบกับยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้ามาก่อน คือพุทธเจ้าท้าวสักกะ ที่ขั้นวรยุทธเดียวกันข้าสู้เขาไม่ได้”
หูปู้กุ่ยสายตาวูบไหว “งั้นทำไมพวกเราไม่ไปพบกับซวีเซิงฮวาเสียก่อนล่ะ และค้นคว้าดูว่าจะหลอมรวมสมบัติเทวะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร หลังจากที่พวกเราทำเช่นนั้นสำเร็จ ก็สามารถกลับมาที่นี่เพื่อผ่านการทดสอบแห่งวังสู้วัวให้เสร็จสมบูรณ์”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่พวกเราสามารถหลอมรวมสมบัติเทวะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว เจ้าก็จะสามารถเหาะเหินไปยังปราสาทสวรรค์ได้โดยตรง การมาท้าทายวังสู้วัวอีกครั้งย่อมไม่มีความหมายอีกต่อไป”
หูปู้กุยเกาหัวแกรกๆ และหน้าแดงขึ้นมา “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้รากฐานของพวกเรายังคงขาดพร่อง จึงไม่สามารถเอาชนะผู้อาวุโสหนิวได้ พวกเราออกจากวังสู้วัวเพื่อไปหาศิษย์พี่ซวีเสียก่อนเถอะ!”
“ตกลง!”
วัวแก่ถลึงตาโมโหไปยังทั้งสองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขาตะโกนไป “พวกเจ้าจะไม่มาสู้หรือ รีบมาเร็วเข้า อย่างมากข้าก็จะออกมือให้กับพวกเจ้า! มาเดี๋ยวนี้!”
หูปู้กุยกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ผู้อาวุโสหนิว…”
“เรียกข้าว่าหนิวซานตัว!”
วัวแก่กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะยั้งมือให้ เจ้ายังต้องการอะไรอีก มาสิ มาสู้กับข้าดีๆ! ฉินมู่ เจ้าจะไม่ไปช่วยอาจารย์เจ้าหรืออย่างไร อาจารย์ของเจ้ายังลอยอยู่ในท้องร่องน้ำครำ หากว่าเจ้าไม่ลากเขาขึ้นมา เขาก็จะเหม็นเน่าจนตาย!”