ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 726 นักบุญมรรคาบู๊
ฉินมู่ลังเล การช่วยชีวิตนักบุญคนตัดไม้ก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่การร่วมทางกับหูปู้กุยเพื่อไปพบกับซวีเซิงฮวาและสร้างสรรค์วิธีการหลอมรวมสมบัติเทวะทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเพื่อเหินทะยานไปยังปราสาทสวรรค์ ก็ดูน่าสนใจและเปี่ยมด้วยความหมาย
ยิ่งไปกว่านั้น นักบุญคนตัดไม้เป็นเทพเจ้าในขั้นศาลาหยก เขาคงไม่ตายต่อให้แช่อยู่ในร่องน้ำครำไปสักปีสองปี ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้ หากว่าเขาไม่ดึงอาจารย์ขึ้นมาและปล่อยให้แช่อยู่อย่างนั้น ก็คงไม่รู้จะอธิบายตนเองอย่างไร
แต่กระนั้น ต่อให้วัวแก่ออมมือให้แก่เขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเขาจะเอาชนะยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ
ชาวนาเฒ่าเป็นยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ และเขาเป็นบัลลังก์จักรพรรดิที่ย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊อีกต่างหาก จากตำหนักชิดฟ้าไปยังบัลลังก์จักรพรรดิ มันมีช่องว่างที่ห่างชั้นกันสุดจะเปรียบปาน พุทธเจ้าท้าวสักกะอยู่ในขั้นตำหนักชิดฟ้า แต่เขาก็ยังไปวิงวอนร้องขอคัมภีร์เที่ยงแท้จากพุทธเจ้าพรหมอย่างไร้ยางอาย นั่นแสดงให้เห็นว่าการบรรลุถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดินั้นยากเย็นเพียงใด
เมื่อเขากำลังลังเลอยู่นั่นเอง ชาวนาเฒ่าก็พลันเดินลงมาจากบัลลังก์จักรพรรดิ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นอันทำให้เขาดูชราภาพเป็นอย่างยิ่ง “ซานตัว พวกเขาผ่านการทดสอบแล้ว”
วัวแก่อึ้งไปเล็กน้อย เขารีบถาม “นายผู้เฒ่า เขายังไม่ผ่านด่านทดสอบของข้า อย่าว่าแต่ด่านทดสอบของนายผู้เฒ่าทำไมนายผู้เฒ่าจึงกล่าวว่าพวกเขาผ่านการทดสอบล่ะ”
ชายนาเฒ่าเดินลงมาตามขั้นบันไดของตำหนักชิดฟ้า และวัวแก่ก็รีบลงจากท่ายืนสองขาและเดินตามหลังเขาไปด้วยสี่ขาเหมือนกับวัวธรรมดาตัวหนึ่ง ชาวนาเฒ่าส่ายหัวไปมา “จุดประสงค์ของการทดสอบแห่งวังสู้วัวนั้นเพื่อให้เด็กๆ ทั้งหลายได้ตรึกตรองเข้าใจและย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ เพื่อให้พวกเขาตรึกตรองเข้าใจหนทางที่จะทำให้ข้ามพ้นสะพานเทวะและเหาะเหินไปยังสวรรค์เบื้องบน เพื่อให้ความหวังแก่ผู้สืบสันดานของพวกเรา ก่อนนั้นข้าเคยคิดว่า หากว่ามีใครที่เอาชนะข้าได้ เขาก็จะสามารถสร้างสรรค์หนทางนี้ขึ้นมา”
เขาเดินลงมาและเรียกฉินมู่กับหูปู้กุย เขาเพ่งพิศมองทั้งสองคนและใบหน้าอันธรรมดาสามัญของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเหมือนทุ่งนาที่เพิ่งผ่านรอยไถ เขาแย้มยิ้มออกมา “แต่ข้าพลันระลึกขึ้นมาได้ การข้ามพ้นสะพานเทวะและเหาะตรงไปยังปราสาทสวรรค์ เป็นสิ่งที่ข้าเคยทำมาก่อน ข้าเป็นคนแรกที่สะพานเทวะขาดหายไป ข้ามิได้ศึกษามันมากนัก ดังนั้นหนทางของข้าจึงไม่เหมาะแก่คนอื่นๆ”
ฉินมู่และหูปู้กุยตกตะลึงและมองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตา
ใครกันที่สามารถทำลายสะพานเทวะของครูบาสวรรค์วิชาบู๊ลงไปได้
ในเมื่อครูบาสวรรค์วิชาบู๊สามารถเข้าสู่เขตขั้นเทวะโดยมีขั้นวรยุทธที่หายไปหนึ่งขั้น ทำไมเขาถึงไม่ถ่ายทอดวิธีการของตนให้แก่ผู้คนแห่งโลกสู้วัว
แต่ทว่า เทพสงครามทั้งสามสิบหกตนแห่งอัครนครหยกไม่ประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้มาก่อนหน้านั้นแล้วว่าชาวนาเฒ่าเป็นบุคคลเช่นนี้
“ข้าเพิ่งจะคิดได้ทะลุปรุโปร่ง สิ่งที่ข้าทำได้ ใช่ว่าคนอื่นจะสามารถทำได้”
ชาวนาเฒ่ากล่าว “ข้าได้อุทิศทั้งชีวิตของข้าให้แก่มรรคาบู๊ และข้าไม่มีสิ่งอื่นใดในหัวใจ มีเพียงแค่ความจริงใจ ความไร้เดียงสา แม้ว่าข้าจะมีวิชาและทักษะอันมหัศจรรย์ แต่คนอื่นๆ ไม่สามารถร่ำเรียนไปได้ และพวกเขาก็ไม่อาจสำเร็จเชี่ยวชาญมัน พวกเขาไม่อาจเหาะเหินไปยังปราสาทสวรรค์ได้เหมือนที่ข้าทำ ต่อให้หูปู้กุยฝึกปรือจนถึงระดับชั้นของข้า และเหาะไปยังปราสาทสวรรค์ ก็เท่ากับว่าเขาเพียงแต่เดินตามรอยเท้าของข้า วิชาฝึกปรือของเขามิอาจช่วยให้ผู้คนแห่งโลกสู้วัวเหาะขึ้นไปยังปราสาทสวรรค์ คนตัดไม้กล่าวได้ถูกต้อง นี่ไม่ใช่วิธีการที่จะแก้ปัญหาของวังสู้วัว”
หางตาของเขาสั่นระริก และเขามองไปที่ฉินมู่ “คนตัดไม้มาตามหาข้าและบอกข้าว่า นักปฏิรูปทั้งหลายแห่งสันตินิรันดร์อาจจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาของวังสู้วัว ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อเขา แต่ในตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว ถึงอย่างไร คนตัดไม้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปทั้งหมด เขาได้รับศิษย์ที่ดีมาคนหนึ่ง…หูปู้กุย เจ้าสามารถออกไปจากโลกสู้วัวได้ในตอนนี้”
ความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นมาในหัวใจของฉินมู่ และเขารีบถาม “ถ้าเช่นนั้น ครูบาสวรรค์ ข้าสามารถไปดึงอาจารย์ข้าออกมาจากท้องร่องได้หรือไม่”
ชาวนาเฒ่ามีสีหน้าดำทะมึน และใบหน้าของเขายิ่งยับย่นเหมือนกับถูกวัวแก่ไถกรุยมาเป็นร้อยๆ ครั้ง มองไม่เห็นรอยยิ้มของเขามีแต่รอยย่น “ข้าไม่เหมือนคนตัดไม้ ที่เต็มไปด้วยคำพูดเหลวไหลและผายลมออกมาอย่างง่ายดาย ข้ากระทำตามที่พูดเสมอ และข้าบอกเอาไว้ว่าใครก็ตามที่กล้าไปดึงเขาออกมา จะต้องรับสามหมัดจากข้าเสียก่อน หากว่าเจ้าต้องการจะดึงเขาขึ้นมา เจ้าก็จะต้องต้านรับสามหมัดจากข้า!”
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจเมื่อชาวนาเฒ่าเงื้อกำปั้นของเขาขึ้นมา ด้วยบรรยากาศอันกร้าวแกร่งน่ายำเกรงที่อยู่บนจุดสุดยอดของมรรคาบู๊ เขาก็ซัดต่อยไปยังฉินมู่ด้วยหมัด
ตึง
ท่วงทีอันเขื่องโขของเขายิ่งใหญ่ไร้ประมาณ แต่กำปั้นของเขาเบาหวิวราวปุยนุ่นเมื่อมันแตะเข้ากับหน้าอกของฉินมู่
เขาเคาะไปอีกสองครั้ง และเสียงตึงดังสนั่นก็ออกมาจากหน้าอกของฉินมู่
ชาวนาเฒ่ารั้งหมัดกลับมาและยิ้มหยัน “ต่อให้เจ้าสำเร็จวิญญาณบู๊ย่างกรายสู่เต๋า เจ้าก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นัก กายเนื้อของเจ้ายังขาดพร่อง จงพากเพียรต่อไป และอย่าปล่อยให้กายาจ้าวแดนดินของเจ้าเสียเปล่า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ฉินมู่ทั้งประหลาดใจแกมยินดี “ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว”
ชาวนาเฒ่ายิ้มออกมาและนำทุกๆ คนเดินออกจากหมู่ปราสาทสวรรค์ “แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่เลว ไม่เลวเลยสักนิด คนตัดไม้นี่ไม่ได้ดีแต่ปากไปทั้งหมด เขายังมีฝีมือความสามารถอยู่บ้างที่สั่งสอนเจ้าได้ดีขนาดนี้ อืม แต่ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เจ้าเป็นกายาจ้าวแดนดิน หากว่าข้าเป็นคนสอนเจ้า เจ้าก็จะมีแต่ล้ำเลิศยิ่งกว่านี้! คนตัดไม้ยังคงไม่ได้เรื่อง เขาก็ยังคงสู้ข้าไม่ได้อยู่ดี!”
ทุกคนดูจะสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เทพสงครามคนอื่นๆ ก็ดีใจสุดๆ และติดตามพวกเขาไป
ฉินมู่มองไปรอบๆ และมองไปที่พวกเขา เทพเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้มีนามกระเดื่องเลื่องลือไปทั้งโลกหล้า ชาวนาเฒ่าถึงกับเป็นยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิที่มีกิตติศัพท์โด่งดัง กระนั้นพวกเขาก็บริสุทธิ์และเรียบง่าย ราวกับว่าพวกเขาคือชาวนาที่พบเห็นได้ทั่วไป
พวกเขาคือกลุ่มคนที่น่ารักกลุ่มหนึ่ง
แต่พวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่หัวแข็งดื้อรั้นด้วยเช่นกัน
ยากที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อใดที่พวกเขายอมรับความผิดพลาดของตนเอง พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้ปากจะบอกว่าไม่ยินยอมพร้อมใจก็ตาม
ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นผู้คนที่น่ารัก
หูปู้กุยตื่นเต้นดีใจ หลังจากที่ออกมาจากวังสู้วัว เขาก็รีบวิ่งตื๋อลงไปยังโลกสู้วัวเบื้องล่าง และเตรียมที่จะมุ่งหน้าออกเดินทางหลังจากที่ร่ำลาญาติมิตรทั้งหลายแล้ว
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็กำลังงีบสบายอยู่ข้างนอกวังสู้วัวจริงๆ ด้วยเขามิได้ไปดึงคนตัดไม้ขึ้นมาและวิ่งหนี
ฉินมู่รู้สึกรวดร้าวเศร้าใจ นี่คือสัตว์ขี่ของข้า ส่วนนั่นคือสัตว์ขี่ของครูบาสวรรค์วิชาบู๊…อืม ยังมีสัตว์ขี่ของอาจารย์คนตัดไม้ เสือเทพยดาขนดำ และยังมีวัวเขียวของศิษย์พี่ป้าซานอีก…
กิเลนมังกรได้นอนอย่างเต็มอิ่มและเต็มไปด้วยกำลังวังชา แต่ทว่าเขาไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรนักหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมามากกว่าสิบวัน เขาเอาแต่เหลือบมองฉินมู่ด้วยหมายจะออกปากบอกเตือนเขา แต่ก็ไม่กล้า
ในหมู่บ้าน นักบุญคนตัดไม้ถูกดึงขึ้นมา และฉินมู่ก็ง่วนอยู่กับการเชื่อมต่อกระดูกเขากลับเข้าด้วยกัน รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เขา เขาแช่คนตัดไม้เอาไว้ในกระถางยาขนาดใหญ่และต้มเขาด้วยไฟ
คนตัดไม้ถือชามยักษ์เพื่อดื่มยาน้ำ ส่วนชาวนาเฒ่านั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆ เขา วัวแก่นั่งอยู่กับพื้นที่ประตูและกำลังสูบกล้องยาน้ำอันมีเสียงบุ๋งๆ
ฉินมู่นั่งอยู่ข้างๆ วัวแก่และถามเขา “ศิษย์พี่ซานตัว วันนี้ท่านไม่ต้องไปไถนาหรือ”
วัวแก่กล่าวอย่างเชื่องช้า “ข้าไถเสร็จไปแล้ว ข้าเพิ่งจะไปเพาะกล้าธัญพืชมา”
“เจ้าไม่ได้สอนกายาจ้าวแดนดิน เจ้าไม่มีทางสอนได้” ข้างในห้อง ชาวนาเฒ่าปรายตามองคนตัดไม้ และกล่าวอย่างเชื่องช้าด้วยจังหวะจะโคนไม่ต่างจากวัวแก่
คนตัดไม้ซดยาน้ำจนหมดและเรอออกมาอย่างสบายท้อง ก่อนที่จะส่งชามให้แก่เขา “เขาเป็นศิษย์ของข้า ก็ต้องนับว่าข้าสอนเขาสิ เจ้าไม่มีศิษย์ที่โดดเด่นเหนือธรรมดาแบบนี้ เจ้าไม่มีความสามารถแบบนี้ และเจ้าก็สอนไม่ได้ด้วยเช่นกัน”
ชาวนาเฒ่าแค่นเสียงเฮอะ และรับเอาชามเปล่ามา “เจ้าไม่ได้สอนเขาด้วยตนเองอย่ามาทำเป็นกระหยิ่มยิ้มย่องนัก เจ้าเพียงแต่ได้หน้าก็เพราะความบังเอิญอีกแล้ว ในคราวนี้ข้าปล่อยเจ้าไปก็เพราะเห็นแก่หน้าของกายาจ้าวแดนดิน ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าเน่าอยู่ในท้องร่องสักสิบปี จะปล่อยให้เจ้าเปื่อยจนเหลือแต่ปากโม้ๆ ของเจ้า”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “อาจารย์เพียงชี้มรรคา การฝึกฝนย่อมขึ้นกับตัวศิษย์ ข้ามีลูกศิษย์อยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก ใครเป็นผู้สอนเจ้า และเจ้าได้สอนใครบ้าง”
ชาวนาเฒ่าเงียบไป
คนตัดไม้กล่าวอย่างใจเย็น “เจ้านั้นเป็นอันดับหนึ่งในมรรคาบู๊อย่างแท้จริง ในโลกแห่งนี้ ในจักรวาลแห่งนี้ และแม้แต่ในสภาสวรรค์เก่าเดิม ก็อาจจะไม่มีใครที่เหนือไปกว่าเจ้าได้ในมรรคาบู๊ การที่สามารถใช้พลังอำนาจแห่งมรรคาบู๊ของเจ้าเพื่อเหาะเหินไปยังปราสาทสวรรค์ภายใต้เงื่อนไขสภาวะที่ปราศจากสะพานเทวะ ฝึกบำเพ็ญจนกระทั่งกลายเป็นเทพเจ้าบู๊อันไร้เทียมทาน นี่ก็มีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ อย่าว่าแต่ชั่วเวลาสองหมื่นปี ต่อให้หลายแสนปีเวียนผ่านไป ก็คงจะมีแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถทำสำเร็จได้ แต่คนอื่นๆ อาจจะไม่สามารถสำเร็จอย่างที่เจ้ากระทำ เจ้าไม่อาจช่วยผู้คนแห่งโลกสู้วัว”
ชาวนาเฒ่าเงียบงัน
คนตัดไม้กล่าวต่อ “แต่ทว่าการปฏิรูปสันตินิรันดร์กระทำได้ ความบาดหมางของพวกเราเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้ารู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้าตรากตรำไปไม่ใช่น้อย และข้ารู้ว่าเจ้าได้เสาะหาหญิงม่ายและเด็กกำพร้าเหล่านี้หลังจากศึกสงครามเพื่อดูแลพวกเขา เจ้าได้กระทำหลายสิ่งหลายอย่างหลังจากที่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง เจ้าอยากที่จะเสาะหาเส้นทางเอาชีวิตรอดให้แก่พวกเขา แต่เจ้านั้นโง่เขลาเกินไป ด้วยวิธีการของเจ้าผ่านมาสองหมื่นปีก็ยังหาหนทางไม่เจอ”
ชาวนาเฒ่าขู่คำรามเหมือนกับสัตว์ร้ายที่จนตรอก
หลังจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง เขาได้ดูแลเด็กกำพร้าของสหายร่วมรบหลงเหลือเอาไว้ แต่เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูเด็กๆ เหล่านั้นตายจากไปด้วยความชรา
นั่นเป็นความทรมานอย่างสุดจะหยั่ง และถมทับหัวใจเขาด้วยความรู้สึกผิด
“เดินออกมาจากมันเสีย หากว่าเจ้าเดินออกมา เจ้าก็จะกลายเป็นนักบุญมรรคาบู๊”
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่เขาด้วยสายตาอันเวทนา แต่ก็มีความคาดหวังเจือแฝงอยู่ “จักรพรรดิก่อตั้งแต่งตั้งพวกเราให้เป็นครูบาสวรรค์ แต่ข้าเป็นผู้เดียวที่ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ แต่ทว่าจิตเจตนาของเขานั้นก็คือพวกเราทั้งสี่ควรควรถูกเรียกว่านักบุญได้ เจ้านั้นเป็นครูบาสวรรค์วิชาบู๊ และเจ้าเป็นอันดับหนึ่งด้านพลังการต่อสู้ แต่ทว่า นักบุญนั้นมิใช่เพียงแค่พลังการต่อสู้ จงเดินออกมา และเจ้าก็จะเป็นนักบุญมรรคาบู๊เพียงหนึ่งเดียว ครูบาสวรรค์วิชาบู๊แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง!”
ชาวนาเฒ่ายังคงเงียบอยู่
คนตัดไม้มิได้โน้มน้าวเขาต่อ
เขารู้จักพี่ชายเฒ่าของเขาผู้นี้เป็นอย่างดี และรู้ว่าเขาหัวแข็งเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าไม่ใช่เขาจะยืดหยุ่นไม่ได้ เพียงแค่ปากของเขานั้นแข็งและรั้นเป็นอย่างยิ่ง
เขาได้พูดประเด็นของตนออกไปแล้ว และเขาก็จะเข้าใจ เขาจะกลายเป็นนักบุญมรรคาบู๊เพียงหนึ่งเดียว
“ข้าถูกเจ้าโน้มน้าวจนได้ ข้าก็อยากจะเห็นการปฏิรูปสันตินิรันดร์จริงๆ นั่นแหละ”
ชาวนาเฒ่าโพล่งขึ้นมา “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็คงไม่ไปยื่นมือช่วยสันตินิรันดร์ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของพวกเราก่อสร้างขึ้นมาจากศูนย์ ในเมื่อเจ้ายกย่องสันตินิรันดร์เป็นหนักหนา เมื่อปราศจากความช่วยเหลือของพวกเรา พวกเราก็จะต้องสามารถพัฒนาไปถึงระดับอันสูงล้ำของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้ แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากผู้ล้มเหลวอย่างพวกเราด้วย”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเพียงแต่ช่วยพวกเขายื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น พวกเราปล่อยให้พวกเขาถูกสภาสวรรค์เก่ากวาดล้างไปทั้งที่เพิ่งตั้งไข่ไม่ได้หรอก นี่คงไม่ขัดแย้งกับเจตนาของเจ้าหรอกใช่ไหม ระหว่างการเริ่มต้นของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ซากโบราณของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งบางแห่งก็ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา”
ชาวนาเฒ่าเผยยิ้มและกล่าว “เจ้าได้ทำให้ข้าหวนนึกถึงสมัยที่ยังเยาว์ อันที่จริงแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าเป็นคนยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งอยู่ครึ่งหนึ่ง”
“อันที่จริง พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นคนยุคจักรพรรดิสูงส่งอยู่ครึ่งหนึ่ง รวมทั้งจักรพรรดิก่อตั้ง”
คนตัดไม้กล่าว “ชีวิตก็แบบนี้ มันไม่เคยสิ้นสุดไป มรดกสืบทอดก็เช่นเดียวกัน ถูกส่งผ่านจากยุคสมัยหนึ่งไปยังอีกยุคสมัย จิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ของเจ้าจะต้องถูกถ่ายทอดออกไป เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มรดกยุทธของเจ้าหายสาบสูญ”
ชาวนาเฒ่าลุกขึ้นยืนและยิ้มหยัน “แต่ข้าไม่มีทางยกโทษให้เจ้าด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะ หลังจากที่ข้าเดินออกไปจากที่นี่ หลังจากที่ออกไปจากแดนโบราณวินาศ หากว่าข้าอารมณ์ไม่ดีก็จะไปกระทืบเจ้าอีก สวดภาวนากับบรรพชนของเจ้าใด้ดีๆ ก็แล้วกัน จะได้มีวรยุทธเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายขั้น พอที่จะต้านรับหมัดของข้าได้บ้าง”
เขาเดินออกไปจากบ้าน
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนตัดไม้แข็งค้าง ฉินมู่เดินเข้ามาเพื่อเปลี่ยนยาให้กับเขา เขากระซิบ “อาจารย์กับครูบาสวรรค์วิชาบู๊มีความแค้นกันหรือ”
คนตัดไม้ห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาและถอนหายใจ “ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากที่จะเอ่ยถึงอดีต
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และยิ่งสนใจใคร่รู้เข้าไปใหญ่ แต่ทว่าเขาก็ยังคงไม่ปริปาก
คนตัดไม้โมโหจนพูดไม่ออก “สีหน้าอะไรของเจ้าแบบนั้นหา เจ้าอยากจะสอดรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากขนาดนั้นเลยหรือ”
ฉินมู่ไม่ปริปาก
คนตัดไม้ถอนหายใจและกล่าว “ข้าบอกเจ้าไปก็คงไม่เป็นไร อันที่จริงแล้ว เมื่อครั้งกระโน้น เขา ข้า หนอนหนังสือ และชาวประมง ล้วนมีสัมพันธภาพที่ดี แม้ว่าวรยุทธของข้าจะต่ำต้อยที่สุด แต่พวกเขาทั้งหมดก็นับถือข้า จักรพรรดิก่อตั้งให้ข้าเป็นผู้ควบคุมการปฏิรูป และผลักดันข้าขึ้นไปบนเวที มีสำนวนว่าเมื่อบุรุษใดโดดเด่นเกินไป ก็ย่อมจะได้รับความชื่นชมจากสตรี เมื่อครั้งก่อนนั้น เขามีหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาชมชอบ…”
ฉินมู่เปลี่ยนยา และหูของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยชูขึ้น เขารับฟังอย่างตั้งใจ
ข้างนอกประตู วัวแก่ก็หยุดเป่ากล่องยาสูบน้ำ หูของเขาสอดเข้ามาจากข้างนอกบ้าน
กิเลนมังกรที่เดิมทีนอนแผ่ซังกะตายอยู่กับพื้น ในตอนนั้น เขาก็พลันโงหัวขึ้นและบิดหูไปมา