ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 730 สถานที่สุดประหลาด
หูปู้กุยไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกัน เขารู้สึกก็แต่ว่าพลังวัตรของเขาเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตที่แผ่ขยายอยู่ในร่างกายของตน
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ วรยุทธของเขามีการเปลี่ยนแปลงอันพลิกโลก หากว่าเขาต้องการให้จิตวิญญาณดั้งเดิมเหาะไปยังปราสาทสวรรค์ เขาก็คงจะทำมันได้อย่างง่ายดาย!
ใครจะคาดคิดว่า เขาจะกลายเป็นผู้ที่สามารถเหาะขึ้นปราสาทสวรรค์ด้วยสมบัติเทวะเพียงชิ้นเดียว
เขานั้นพบกับปัญหาประการแรกหลังจากที่ทลายฝ่าขั้นวรยุทธครั้งยิ่งใหญ่โดยทันที และรีบถาม “ครูบาสวรรค์ ข้าจะบ่มเพาะสมบัติเทวะสะพานเทวะได้อย่างไรหรือ”
ชาวนาเฒ่าหน้าแดงฉานและเขาพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่มีสะพานเทวะ และเขาก็ไม่เคยมีขั้นวรยุทธสะพานเทวะ ดังนั้นเขาย่อมไม่รู้ว่าจะบ่มเพาะเขตขั้นนี้ได้อย่างไร เขานั้นยังหยิ่งผยองโดยสันดาน และไม่อาจจะออกบอกยอมรับว่าเขาไม่รู้ต่อหน้ารุ่นเยาว์ของตนได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชาวนาเฒ่าก็พึมพำ “เรื่องนี้ เจ้าควรจะไปปรึกษาฉินมู่และซวีเซิงฮวา…”
หูปู้กุยมองไปที่ฉินมู่และซวีเซิงฮวา เขาเห็นชายหนุ่มทั้งสองสุมหัวกันและพึมพำอะไรกันอยู่อีกแล้ว
เขาก้าวออกไปข้างหน้า แต่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังสนทนากันเรื่องอะไร
ฉินมู่และซวีเซิงฮวาเขียนบันทึกสะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดินที่ยกระดับแล้วลงไป และทั้งสองคนต่างก็คัดลอกเอาไว้คนละฉบับ พวกเขาเขียนความคิดใหม่ๆ มากมายระหว่างที่คัดลอก และรู้สึกว่าสมบัติเทวะทั้งหมดล้วนแต่สามารถใช้เพื่อบ่มเพาะสะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดินได้
แต่ทว่า ต้นกล้าพฤกษาก่อนฟ้าดินก็จะต้องมีขนาดต่างๆ กันไป ดังนั้นพวกเขาจะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือมากกว่านี้
โดยพื้นฐานแล้ว สะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดินจากขั้นวรยุทธต่างๆ กันก็จะแตกต่างกันไป
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าผู้ฝึกมีขั้นวรยุทธสูงมากเท่าไร การบ่มเพาะมันก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
เมื่อมาถึงขั้นวรยุทธเป็นตาย พวกเขาก็จะต้องใช้ผู้ที่มีกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมอันแข็งแกร่งเหมือนกับหูปู้กุย ถึงจะสามารถต้านทานได้
เมื่อมาถึงขั้นวรยุทธสะพานเทวะ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่มเพาะสะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดินขึ้นมา!
“ข้ามีความคิดดีๆ ที่อาจจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้!”
ฉินมุ่พลันนึกถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ และดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติของเสียงซีอวี่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้แผ่นดินตะวันตก มันสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่มีดวงจิตและมีดวงวิญญาณ การควบคุมปราณชีวิตของนางก็บรรลุขั้นอันอัศจรรย์ล้ำเลิศ หากว่าเจ้าสามารถหลอมรวมวิธีการของนางในการควบคุมพลังชีวาแท้เข้าไปในสะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดินเพื่อควบคุมแรงกดดันได้ เจ้าก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นสะพานเทวะได้อย่างมหาศาล”
ซวีเซิงฮวาดวงตาลุกวาบ และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “สถาบันเหนือฟ้าของข้าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกับตำหนักสวรรค์แท้ ข้าก็สามารถไปปรึกษานางได้!”
ทั้งสองคนไม่มีความคิดวอกแวกเมื่อเริ่มศึกษาค้นคว้า และพวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นใดในโลกภายนอก เมื่อพวกเขาจัดระบบทุกๆ เขตขั้นวรยุทธในสะพานเทวะพฤกษาก่อนฟ้าดิน มันก็ผ่านไปสิบวันให้หลัง
สถาบันเหนือฟ้าได้ก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และมีปราสาทราชวังตั้งเรียงรายสลับกันเป็นชั้นๆ โถงทางเดินยาวพาดข้ามท้องฟ้า สตรีแห่งแผ่นดินตะวันตกมีสุนทรียรสอันพิเศษจำเพาะ และได้ตกแต่งสถาบันแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยความสง่างามราวบทกวี
กระดาษที่ฉินมู่และซวีเซิงฮวาจดบันทึก กองสุมกันเป็นภูเขา และวิชาฝึกปรือในแต่ละเขตขั้นก็หนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคงมีปัญหามากมายที่ยังมิได้แก้ไข
“พี่ซวีกำลังก่อตั้งสถาบันเหนือฟ้ามิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เหล่าบัณฑิตแห่งเหนือฟ้าแก้ไขปรับปรุงวิชาฝึกปรือในแต่ละขั้นวรยุทธสิ มันก็จะเป็นบททดสอบให้แก่พวกเขาด้วย”
ฉินมู่ยืดเหยียดหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าสัญญากับพี่สาวตี้อี้เยว่ว่าจะติดตามนางไปพบกับเทพีหยินสวรรค์ ตอนนี้น่าจะได้เวลาที่ข้าจะจากไปแล้ว”
ซวีเซิงฮวายังคงอิดออดที่จะปล่อยตัวเขาไป “หากว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายๆ วัน พวกเราก็จะสามารถศึกษาค้นคว้าได้อีกมากมายหลายเรื่อง ด้วยวิธีนี้ สถาบันเหนือฟ้าของข้าก็จะมีสิ่งอันเป็นเอกลักษณ์หลายอย่างที่ใช้ดึงดูดบัณฑิตแห่งแผ่นดินตะวันตกได้”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ยังมีพี่หูที่ช่วยสอนวิชาบู๊ ฉีเจี่ยวอี๋ก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในเหนือฟ้าด้วยเช่นกัน ไปเชิญเขามาสิฝีมือความสามารถของเขาก็สูงล้ำเหมือนกันนะ”
ซวีเซิงฮวาส่ายหัว “ฉีเจี่ยวอี๋นั้นมาจากสภาสวรรค์นอกโลก ทำไมเขาถึงจะมาช่วยข้าก่อตั้งสถาบันศึกษาล่ะ”
“เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานของมังกรอ้วน ทั้งยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับราชาสวรรค์เถียนฉู่ หากว่าเจ้าพามังกรอ้วนไปด้วย เขาก็จะไม่สามารถปฏิเสธเจ้าได้”
ซวีเซิงฮวาลิงโลดยินดี และมองไปยังกิเลนมังกร “ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องยืมตัวสหายเต๋าหลงอีกสักหลายวัน!”
กิเลนมังกรได้ยินคำพูดของเขา และแอบดีใจอย่างสุดๆ แต่เขาไม่เผยมันออกมาทางสีหน้า “เจ้ายืมตัวข้าได้ แต่เจ้าจะต้องรับผิดชอบอาหารสามมื้อของข้า จ้าวลัทธิไม่ได้ให้อาหารข้ามาหลายวันแล้ว ดังนั้นข้าคงต้องขอค่าจ้างล่วงหน้าเสียก่อน”
ซวีเซิงฮวากล่าว “ข้าก็ได้ศึกษาศาสตร์แห่งการปรุงยา ข้าจะไม่จ่ายอาหารให้เจ้าอย่างขาดตกบกพร่องแน่นอน”
กิเลนมังกรฟังแล้วถึงค่อยวางใจ ตั้งแต่นี้ไป หากว่าข้าอดอาหารอีก ข้าก็สามารถมาขอเสบียงจากซวีเซิงฮวาได้ จริงสิ ซวีเซิงฮวาพูดง่ายดีออก ข้าอยากรู้จังว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขาได้ไหม หากว่าได้ มื้ออาหารตลอดชีวิตของข้าก็คงไม่แคล้วไปไกล...
สายตาของเขาเป็นประกายวูบวาบ และลอบวางแผนการ
ชาวนาเฒ่าเดินเข้ามาและกระแอมไอ “ข้าก็อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักช่วงหนึ่ง สหายน้อยซวีได้ช่วยเหลือวังสู้วัวของข้าเป็นอย่างมาก และข้าก็จะต้องแสดงความขอบคุณเป็นการตอบแทน แต่ความสำเร็จของเจ้าในด้านกายเนื้อยังคงบกพร่องอยู่ ข้าจะอยู่ที่นี่อีกหลายๆ วันเพื่อชี้แนะเจ้าในด้านการบ่มเพาะกายเนื้อ”
ซวีเซิงฮวาโค้งคารวะ และกล่าวขอบคุณ “ข้านั้นมีข้อสงสัยที่ต้องปรึกษาผู้อาวุโสอยู่จริงๆ นั่นแหละ จ้าวลัทธิฉินได้ถ่ายทอดวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา กับสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม คัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล และยังมีคัมภีร์สักกะอีก ข้าได้ศึกษาวิชาฝึกปรือเหล่านี้ แต่ไม่ว่าข้าจะฝึกปรือพวกมันสักเท่าใด ความสำเร็จเชี่ยวชาญด้านกายเนื้อของขาก็ไม่เคยที่จะก้าวล้ำเหนือจ้าวลัทธิฉินไปได้ ผู้อาวุโสจะช่วยชี้ทางกระจ่างให้แก่ข้าได้หรือไม่”
ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขาชะงักเท้า “ข้าพลันตระหนักขึ้นมาว่าไม่ควรทิ้งมังกรอ้วนเอาไว้คนเดียว ทำไมข้าถึงไม่อยู่ด้วยอีกสองสามวันล่ะเนี่ย”
เห็นได้ชัดว่าเขาก็อยากจะฟังด้วยเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร ชาวนาเฒ่าก็เป็นครูบาสวรรค์วิชาบู๊แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นเป็นครูบาสวรรค์ที่มีพลังการต่อสู้สูงที่สุด และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิเพียงไม่กี่คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
แม้แต่คนตัดไม้ก็ยังกล่าวว่าความสำเร็จด้านมรรคาบู๊ของครูบาสวรรค์วิชาบู๊เป็นสิ่งที่ผู้อื่นได้แต่ฝันใฝ่แต่ไปไม่ถึง ต่อให้หนึ่งล้านปีก่อนหน้านี้หรืออีกหนึ่งล้านปีถัดไป ก็จะไม่มีใครที่มีความสำเร็จเชิงมรรคาบู๊ทัดเทียมกับเขา
หากว่าฉินมู่สามารถมารับฟังการสอนสาธยายของเขาได้ ก็จะย่อมได้มรรคผลอันใหญ่หลวง
ชาวนาเฒ่าปรายตามองเขาและกล่าว “เจ้าได้ย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคาบู๊ไปแล้ว มรรคาของข้าไม่เหมาะสมกับเจ้า การฝืนเรียนมรรคาข้าไป มีแต่จะทำให้เจ้ายิ่งออกห่างจากมรรคาของตน ไสหัวไป”
ฉินมู่ไม่ไปและพึมพำ “ฟังสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่นา ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีความดีความชอบใหญ่หลวงในการช่วยพี่หูบ่มเพาะสมบัติเทวะอีกชั้นหนึ่งอีกด้วย ข้าจะฟังเฉยๆ และไม่ฝึกตาม”
หน้าผากของชาวนาเฒ่ามีเส้นเลือดปูดขึ้นมา “เจ้าเป็นศิษย์ของคนตัดไม้ ข้าจะไม่สอนเจ้า ไม่อย่างนั้นเขาจะมาเสนอหน้าอ้างผลงานเป็นของตนเองอีก”
ไม่ทันที่ฉินมู่จะได้กล่าวอะไร ชาวนาเฒ่าก็กล่าวกับวัวแก่ “ซานตัว นำตัวเขาไปพบกับเทพีหยินสวรรค์”
วัวแก่รับคำ และคลื่นพลังวัตรก็แผ่พุ่งออกมา ฉินมู่ไม่อาจควบคุมร่างกายได้และร่วงลงไปบนหลังของวัวแก่ เขาได้แต่จ้องไปด้วยความจนปัญญา เมื่อวัวแก่แบกเขาตะบึงจากไป
สถาบันเหนือฟ้าออกห่างจากเขาไปทุกทีๆ ฉินมู่ถอนหายใจกับตนเอง และเขาก็ดูหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
ที่ไกลๆ นั้น เด็กสาวมากมายกำลังร่ายรำและขับร้องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่นางชื่นชม แต่ฉินมู่ไม่มีกะจิตกะใจ
วัวแก่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องฉิน นายผู้เฒ่ามิได้ใจแคบขนาดนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะถ่ายทอดวิชาฝึกปรือให้แก่เจ้า แต่เป็นเพราะว่าครูบาสวรรค์ใหญ่ได้ทำให้เขารำคาญใจมากจนเกินไป”
ฉินมู่สนอกสนใจ “อาจารย์คนตัดไม้เคยเสนอหน้าอ้างผลงานของเขาเป็นของตนมาก่อนหรือ”
วัวแก่กล่าว “ครูบาสวรรค์ใหญ่ไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของเขากระเดื่องเลื่องลือมากจนเกินไป ทำให้ทุกๆ คนมักจะมองว่าผลงานทุกๆ อย่างเป็นของเขา หากว่าเป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งก็พอทำเนา แต่ทว่า มันเกิดเรื่องแบบนั้นไปเสียทุกๆ ครั้ง ดังนั้นนายผู้เฒ่าจึงรับไม่ได้”
“เข้าใจล่ะ”
ฉินมู่ถามหยั่ง “ศิษย์พี่ซานตัว วิชาฝึกปรือที่ท่านฝึกนั้นคือวิชาของครูบาสวรรค์วิชาบู๊หรือเปล่า หากว่าเขาไม่ต้องการจะสอนข้า ท่านก็อาจจะสอนได้”
หนิวซานตัวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะสอนเจ้า แต่ข้าไม่ได้เรียนวิชาฝึกปรือบู๊สวรรค์ของนายผู้เฒ่า ข้าเป็นปีศาจ ข้าได้ตรึกตรองเข้ามรรคาเต๋าของข้าเองระหว่างที่เฝ้าดูเขาฝึกวิทยายุทธ และข้าก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ฝึกปรือถึงขั้นตำหนักชิดฟ้า เจ้านั้นเป็นมนุษย์ หากว่าเจ้าเรียนวิชาของข้า มันก็คงจะไร้ประโยชน์ ทุกๆ คนล้วนมีมรรคาเต๋าของตนเอง หากว่าเจ้าเดินไปตามมรรคาของผู้อื่น ก็จะไม่มีวันไล่ตามทันพวกเขาได้ กายเนื้อของซวีเซิงฮวานั้นอ่อนด้อยจนเกินไป ดังนั้นนายผู้เฒ่าจึงจะสอนสั่งเขา แต่ในทางกลับกัน ความสำเร็จเชี่ยวชาญของเจ้าเป็นสุดยอดเลิศล้ำในรุ่นเยาว์แล้ว”
ฉินมู่จึงได้แต่ละวางความคิด
เขาสงบใจลงและใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเพื่อวัดคะเนสมบัติเทวะของตน เขาจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ และเมื่อวัวแก่ไปถึงแดนโบราณวินาศจากฝั่งแผ่นดินตะวันตก ฉินมู่ก็ได้จัดระเบียบข้อมูลของสมบัติเทวะตนเรียบร้อยดี
วัวแก่แบกเขาไปข้างหน้า และดวงตะวันก็คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก
วัวแก่เร่งฝีเท้าพลางคิดในใจ หากว่าข้ารีบสักหน่อย ข้าก็จะสามารถกลับไปหานายผู้เฒ่าได้ก่อนตะวันจะตกดิน
เขานั้นเป็นตัวตนขั้นตำหนักชิดฟ้า เมื่อมองไปทั่วทั้งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งแล้ว ก็มียอดฝีมือระดับนี้เพียงไม่กี่คน ดังนั้นความเร็วของเขาย่อมเหนือจินตนาการ
ในตอนนั้นเอง วัวแก่ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และชะลอฝีเท้าลง เขาหันไปมองที่ฉินมู่บนหลังของเขาและตื่นตระหนก
เขาเห็นฉินมู่เปิดสมบัติเทวะของตน และต้นกล้าของพฤกษาก่อนฟ้าดินก็กำลังงอกเงยขึ้นไปด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนก!
วัวแก่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขากล้าฝึกปรือแบบนี้ด้วยตนเองเชียวหรือ หากว่าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา ข้าก็จะช่วยชีวิตเขาไม่ได้เลยสักนิด! ข้าจะต้องรีบกลับไปที่สถาบันเหนือฟ้า!
ขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้น พฤกษาก่อนฟ้าดินบนแท่นวิญญาณของฉินมู่ก็ได้เติบโตเข้าไปในสมบัติเทวะหกทิศแล้ว สร้างช่องทางเชื่อมต่อของสมบัติเทวะทั้งหลาย สมบัติเทวะสามชิ้นได้เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่ง
ถัดจากนั้น พฤกษาก่อนฟ้าดินก็ทะลวงผ่านม่านคุ้มกันของสมบัติเทวะชาวสวรรค์ และแทงทะลุสมบัติเทวะชาวสวรรค์ออกไป ห้ามหาสมบัติเทวะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!
รัศมีของฉินมู่เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด และมันก็ยังคงไต่สูงขึ้นไปอีก
วัวแก่มองไปที่เขาอย่างกระวนกระวาย และไม่พบว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใด เขาจึงค่อยคลายใจลง เขาคิดกับตนเอง ข้าลืมไปว่าวรยุทธของเขาอยู่เพียงแค่ขั้นชาวสวรรค์ เขานั้นยังมีขั้นวรยุทธต่ำกว่าหูปู้กุยอยู่หนึ่งขั้น ดังนั้นอันตรายจึงลดน้อยกว่ามาก แต่นั่นไม่น่าจะถูกต้อง! แม้ว่าวรยุทธของเขาจะอยู่ในขั้นชาวสวรรค์ แต่ทำไมพลังวัตรของเขาถึงไม่ด้อยไปกว่าหูปู้กุย! อันตรายแล้ว เขาจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ!
ตูม
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และอีกห้ามหาสมบัติเทวะก็ปรากฏ พวกมันคือห้ามหาสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร
และยังมีพฤกษาก่อนฟ้าดินแห่งมรรคามารในห้ามหาสมบัติเทวะเหล่านี้ พฤกษาก่อนฟ้าดินดังกล่าว ก็งอกงามไปถึงสมบัติเทวะชาวสวรรค์ของเขา!
ฉินมู่ครางกระอักและร่างสั่นเทิ้ม กล้ามเนื้อของเขาหายไปหมด เหลือแต่หนังและกระดูก!
หนิวซานตัวกำลังจะวิ่งกลับไปทางสถาบันเหนือฟ้า แต่ทันใดนั้นอักษรรูนก็ไหลเวียนไปรอบๆ กายฉินมู่ อักษรรูนตราประทับลงไปบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง และพวกมันก็ช่วยรักษาเสถียรภาพให้กับกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมเขาที่ใกล้จะพังทลาย
เขาเยียวยาตนเองได้ด้วย?
หลิวซานตัวไม่เชื่อสายตา และได้แต่วางใจลง เขาแบกฉินมู่ต่อไปข้างหน้า
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง และเขาก็เข้าใกล้สวรรค์ไท่หวงเข้าไปทุกที เขาคิดในใจ โลกหยินสวรรค์อยู่ที่ไหน ข้าเคยแต่ได้ยินชื่อสถานที่แห่งนั้น แต่ข้าไม่เคยไปมาก่อน แต่ทว่า ศิษย์น้องฉินกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นจะปลุกเขาขึ้นมาก็คงไม่สะดวก…
เขามายังหน้าผาขาดแห่งแดนโบราณวินาศ และพบว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืดมิด วัวแก่กระโดดลงจากหน้าผาขาด และร่างกายของเขาก็เปล่งแสงเทวะออกมาเพื่อขับไล่ความมืด น้ำตกอันถั่งโถมลงมาจากหน้าผาเกิดสว่างขึ้นมาจากแสงเทวะของเขา และพวกมันก็ดูงดงามด้วยแสงสะท้อนสีหยก
น้ำตกเหล่านั้นรวมกันเข้าเป็นกระแสธารที่ตีนหน้าผา อันกลายไปเป็นแม่น้ำใหญ่ที่ซัดเชี่ยวไปทางทิศตะวันออก ตามช่องทางของสวรรค์ไท่หวง
นี่คือแม่น้ำหย่ง สถานที่อันสุดประหลาดในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
วัวแก่หยุดวิ่งและมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง เมื่อครั้งกระโน้น จักรพรรดิก่อตั้งและครูบาสวรรค์ทั้งหลายได้มาที่นี่ เพื่อสักการะรุ่นอาวุโสอันควรค่า และหวนรำลึกถึงยุคสมัยก่อนหน้านี้ และก็เป็นที่นี่ ที่พวกเขาได้เผชิญกับสิ่งอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อมากมาย
ทันใดนั้น หมอกก็พวยพุ่งออกมาจากความมืด และหมอกสีขาวปานหิมะก็ดูเหมือนไม่กริ่งเกรงแสงเทวะที่สาดส่องออกมาจากร่างของเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนัก มวลหมอกก็ท่วมท้นพวกเขาทั้งสอง
วัวแก่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง และหมอกก็เริ่มจางลงๆ เขาสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างในหมอก และได้ยินเสียงหัวเราะดังมา “วันนี้สภาสวรรค์คึกคักและคึกครื้นจริงๆ ผู้คนไปมากันขวักไขว่ แม้แต่แม่น้ำสวรรค์นี้ก็เต็มไปด้วยเรือสำราญทุกหนทุกแห่ง”
วัวแก่เงยศีรษะ และเห็นเรือสำราญขนาดมหึมาแล่นลอยมาทางทิศของพวกเขา เขารีบหลบและเห็นภาพที่ปรากฏในบริเวณโดยรอบ พลันสว่างจ้าและเต็มไปด้วยสีสัน ราวกับว่าสีสันทั้งหลายยิ่งสดใสแจ่มชัดกว่าเดิม
นี่คือที่ไหน
วัวแก่หัวใจสะท้าน และเขามองไปยังบริเวณรอบๆ เขาเห็นเรือสำราญจำนวนนับไม่ถ้วนแล่นไปด้วยกันในแม่น้ำมหึมา
และที่สองฟากแม่น้ำใหญ่ มีปราสาทราชวังสวรรค์ซ้อนหลั่นกันเป็นชั้นๆ อันล้วนแต่ดูศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมดา