ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 732 แปลงหน้าเปลี่ยนโฉม
“จักรพรรดิก่อตั้ง?”
ฉินมู่เหมือนจะได้ยินไม่ถนัดและถามด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิก่อตั้งคนไหน”
หนิวซานตัวยังคงไม่ได้สติจากความตื่นตระหนกดีนัก และเขาพึมพำราวกับว่ากำลังฝันละเมอ “แน่นอนว่ามีจักรพรรดิก่อตั้งเพียงคนเดียวเท่านั้น จะมีจักรพรรดิก่อตั้งคนอื่นที่ไหนได้อีก เขานั้นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง และแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายไร้ประมาณ เจ้าก็ยังคงสังเกตเห็นเขาได้ในปราดเดียว ไม่ว่าคนอื่นๆ จะโดดเด่นเจิดจ้าสักเพียงไหน สายตาของเจ้าก็จะจ้องจับที่ตัวเขาในเสี้ยวพริบตา เขานั้นมีท่วงทีของผู้นำโดยธรรมชาติ และคนอื่นๆ จะเหนือธรรมดาสักเพียงไหน ก็จะกลายเป็นเพียงดวงดาราที่เคลื่อนคล้อยโคจรรอบตัวเขา…”
ฉินมู่ได้สติขึ้นมา และพลันมองไปยังเรือสำราญลำนั้น
จักรพรรดิก่อตั้ง!
ผู้ก่อตั้งแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง บรรพชนเฒ่าของเขา!
จักรพรรดิก่อตั้งก็อยู่ที่นี่ด้วย!
หรือว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
หัวใจเขาเกิดเจตจำนงอันแรงกล้าขึ้นมา และนั่นก็คือเขาจะต้องไปพบเจอกับจักรพรรดิก่อตั้งให้ได้!
ฉินมู่เหินทะยานขึ้นจากเรือสำราญและไล่ตามเรือสำราญที่จักรพรรดิก่อตั้งยืนอยู่ วัวแก่รีบตามเขาไปติดๆ ขณะที่หญิงสาวบนเรือเดิมนั้นตื่นตระหนก นางถามด้วยรอยยิ้ม “น้องชายคนดี ทำไมจู่ๆ เจ้าก็ไป”
“พี่สาว ข้าได้พบเห็นบางคนที่ข้ารู้จัก!”
ฉินมู่หันกลับมาและประสานมือคารวะ “คนผู้นั้นสำคัญต่อข้าอย่างยิ่งยวด ข้าลืมที่จะบอกกล่าวแก่พี่สาวตอนที่กำลังรีบถลันออกไป โปรดอภัยให้ข้าด้วย! พี่สาวอยู่ที่ไหนหรือ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนและขออภัยอีกครั้งหลังจากที่ข้าเสร็จธุระแล้ว”
หญิงผู้นั้นโบกมือและแย้มยิ้ม “หากว่าเจ้ากำลังเร่งด่วน ก็ไปเถอะ พี่สาวผู้นี้มีแซ่จู นามเฉว้เอ๋อ ข้าอาศัยอยู่ในราชวังหงส์แดง เมื่อเจ้ามีเวลาว่างก็มาหาข้าสิ ราชวังหงส์แดงอยู่ทางทิศใต้ของสภาสวรรค์!”
ฉินมู่ตกปากรับคำและหันกลับไป เขาเพิ่มความเร็วและและไล่ตามเรือสำราญลำนั้น
“มีคนที่ชื่อว่าจูเฉว้เอ๋ออยู่จริงๆ”
วัวแก่ติดตามไปข้างหลังฉินมู่และกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “หงส์แดงเป็นหนึ่งในสี่จักรพรรดิเทวะ และสภาสวรรค์โบราณมีสี่จักรพรรดิเทวะ จักรพรรดิทักษิณนั้นมิใช่ผู้ใดอื่นนอกเสียจากหงส์แดง หญิงผู้นี้ช่างไม่กลัวอายุสั้นเลยจริงๆ ที่กล้าเรียกตนเองว่าจูเฉว้เอ๋อ แต่ทว่า กำลังฝีมือของนางก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน นางทัดเทียมได้กับนายผู้เฒ่า”
ฉินมู่ตกตะลึง “จักรพรรดิทักษิณมาจากเผ่าเทพหงส์แดงอย่างนั้นหรือ จักรพรรดิทักษิณไม่ใช่ฉีเสียอวี๋หรอกหรือ”
วัวเฒ่าอธิบาย “ฉีเสียอวี๋เป็นจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณ เผ่าหงส์เพลิงเก้าหัวตนหนึ่ง นางแตกต่างไปจากจักรพรรดิทักษิณ ฉีเสียอวี๋ผู้นี้ร่ำลือกันว่าเป็นเทพเจ้าจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ในภายหลังนางได้สวามิภักดิ์ต่อศัตรูและละทิ้งอำนาจ แต่ทว่าในเมื่อจักรพรรดิทักษิณยังคงดำรงอยู่ นางจึงไม่อาจเรียกได้ว่าจักรพรรดิทักษิณ เป็นได้เพียงแค่จักรพรรดิแดง”
ฉินมู่จิตใจปั่นป่วน และเขาหันไปมองหญิงผู้นั้น เขาพบว่าเรือสำราญได้แล่นออกห่างไปที่ไกลๆ แล้ว
“จูเฉว้เอ๋อ? ราชวังหงส์แดง? จูเฉว้เอ๋อมีความสัมพันธ์กับจักรพรรดิทักษิณอย่างไรกันแน่”
เขานั้นกำลังรีบร้อนที่จะไล่ตามจักรพรรดิก่อตั้งให้ทัน ดังนั้นเขาจึงละวางเรื่องนี้ไปก่อน และเพ่งสมาธิกับการไล่ตามเรือสำราญที่จักรพรรดิก่อตั้งโดยสารอยู่
จูเฉว้เอ๋อส่งฉินมู่จากไป และนางกำนัลจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาและถาม “ทำไมเทพีจึงดีต่อน้องชายคนนั้นนัก น้องชายผู้นั้นแม้แต่บอกชื่อแซ่ก็ยังไม่บอก!”
“แม้ว่าในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีใครรู้จัก เขาก็จะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกหล้าในหนึ่งมหาสมาคม ข้ามองเขาเป็นบุคคลเช่นนั้น”
จูเฉว้เอ๋อผู้มีดวงตาเรียวชี้ขึ้นไป กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามองเขาเป็นบุคคลเหนือธรรมดาผู้หนึ่ง และเขาจะต้องประสบความสำเร็จในอนาคตอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น วัวที่เขาเรียกว่าศิษย์พี่ก็แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว แม้แต่ในสภาสวรรค์ก็มีตัวตนระดับนั้นอยู่ไม่มาก การที่วัวอันแข็งแกร่งทรงพลังขนาดนั้นติดตามเขามา เด็กผู้นี้ย่อมไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถ พวกเราไปกันเถอะ แล่นไปยังสภาสวรรค์กัน ข้าสงสัยว่าภูติบดีและเทพสรรพชีวิตคงจะมาถึงแล้ว และพวกเราก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขากับฝ่าบาทรอนานเกินไป”
มีเรือสำราญมากมายอยู่ในแม่น้ำสวรรค์ที่กำลังแล่นสลับตัดกันไปมา ขณะที่สัตว์ยักษ์ในแม่น้ำก็สร้างคลื่นกระเพื่อมไประหว่างที่ลากจูงเรือ ฉินมู่มองไปรอบๆ และเขาก็ไม่อาจพบเจอเรือสำราญที่จักรพรรดิก่อตั้งนั่งอยู่ได้
ทันใดนั้น เสียงกู่ร้องต่ำก็ดังมา และแม้ว่ามันจะต่ำทุ้มเป็นอย่างนิ่ง แต่เสียงนั้นก็กึกก้องและสั่นสะเทือนร่างกายไปหมด คุนยักษ์ที่ขนาดยาวกว่าสิบลี้กระพือครีบของมันและกระโดดออกมาจากน้ำ สร้างคลื่นใหญ่มหึมา
ฉินมู่หันไปข้างๆ และเห็นคลื่นที่ซัดฉาดฉานจากคุนยักษ์ที่เหินขึ้นไปบนอากาศ ครีบของคุนยักษ์ตัวนี้เหมือนกับปีกอันกระพืออยู่บนท้องฟ้า พลางกู่ร้องด้วยเสียงลากยาว
ที่นี่ไม่มีผู้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์น่าแตกตื่นอย่างในสันตินิรันดร์ แต่พวกเขามีสัตว์อันอันหายากและพิสดารทุกชนิด อันใช้ในการสัญจรเดินทาง นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“เรือสำราญเข้าไปจอดแล้ว!”
ฉินมู่ดวงตาลุกวาบ เมื่อเขาเห็นเรือสำราญลำนั้นเข้าไปเทียบที่ข้างๆ ท่าเรือหยกตัดเกลียวคลื่น แต่ทว่าบนเรือไม่มีจักรพรรดิก่อตั้งอยู่อีกต่อไป และผู้คนเหล่านั้นที่อยู่กับเขาก็หายไปด้วยเช่นกัน
มีเรือสำราญจำนวนไม่น้อยที่จอดเทียบกับท่าเรือหยก และมีผู้คนหลายคนสวมใส่ชุดโบราณเดินลงจากเรือ ข้างๆ ท่าเรือหยกไม่มีสิ่งใดอื่น มีก็แต่ปลายักษ์หลังเขียวที่ลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ
ผู้คนที่ลงจากเรือ ขึ้นไปต่อบนหลังปลาราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนเกาะเล็กๆ
“นี่คือท่าเรือที่ใช้เปลี่ยนวิธีการเดินทาง!”
วัวแก่กล่าวอย่างรีบร้อน “พวกเขาเปลี่ยนไปขึ้นคุนยักษ์ตัวนั้น!”
ฉินมู่รีบเหินขึ้นไปบนอากาศ และไล่ตามคุนยักษ์ที่แหวกผ่าผิวน้ำขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ วัวแก่ข้างหลังเขาเหยียบไปบนเวหา และสร้างเสียงตึงๆ จากฝีเท้าเมื่อวิ่งตามเขามา ด้วยการเหวี่ยงแต่เบาๆ ฉินมู่ก็ถูกโยนลงไปบนหลังของเขา
วัวแก่รีดเร้นพละกำลัง และมิติอวกาศข้างหน้าเขาก็แทบระเบิดออกมา เมื่อเขาแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเขียวที่วิ่งไล่กวดปลาคุนยักษ์
หนิวซานตัวแบกฉินมู่วิ่งไล่ตามติดปลาคุนที่กำลังกระพือครีบของมัน คุนยักษ์นี้เหนือธรรมดาและมีความเร็วอันยิ่งยวด แต่มันก็ยังคงช้ากว่าวัวแก่ไปมาก
ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ ฉินมู่กลับสงบใจลง เขากล่าวด้วยเสียงเบา “ศิษย์พี่ซานตัว อย่าเพิ่งตามไปชิดพวกเขา”
วัวแก่รีบชะลอความเร็ว และถามด้วยความฉงน “เจ้าไม่ได้อยากไปเจอจักรพรรดิก่อตั้งงั้นหรือ”
“ข้าจะต้องไปพบเขาแน่นอน แต่ข้าไม่รู้ว่านี่คือยุคสมัยไหน พวกเราไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหนและอยู่ในห้วงเวลาใด ข้าสงสัยว่า…”
เขามีสีหน้าประหลาด และกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าสงสัยว่าพวกเราจะได้ย้อนมายังบางจุดของห้วงเวลาในอดีต ที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
วัวแก่ผงกศีรษะและกล่าว “ที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจริงๆ นั่นแหละ แม้ว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจะรุ่งโรจน์เป็นอย่างนิ่ง แต่มันก็ไม่อาจเทียบได้กับยุคสมัยแห่งนี้ สถานที่นี้ดูล้าหลังไม่ทันกาลเป็นอย่างยิ่ง ข้าสงสัยว่าที่นี่คือยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง…”
ฉินมู่วิเคราะห์ต่อ “นี่ก็ไม่ใช่ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งด้วยเช่นกัน ต่อให้ข้าไม่รู้เกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมากนัก ข้าก็รู้ว่าช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง และที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคสมัยแสงฉานด้วย ก็ในเมื่อยุคสมัยแสงฉานเต็มไปผู้คนสามเศียรหกกร แต่ทว่า เทพเจ้าที่นี่มีทุกรูปแบบรูปโฉม”
วัวแกจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้างและร่ำร้องออกมา “หรือว่าเราจะย้อนกลับมายังยุคสมัยอันดึกดำบรรพ์อย่างเหลือแสน หลงฮั่น?”
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาด และเขากล่าวอย่างนุ่มนวล “ศิษย์พี่ ใจเย็นๆ ก่อน แม่น้ำหย่งประหลาดพิสดารนัก ข้าเคยพบกับหมอกแห่งแม่น้ำหย่งมาก่อนเหมือนกัน และถึงกับย้อนเวลาไปยังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งเมื่อสี่หมื่นปีที่แล้วในโลกมิติทะเลทรายที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง เหตุการณ์เล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก”
วัวแก่อ้าปากกว้างและร้องระล่ำระลัก “เจ้าพบเรื่องประหลาดพิสดารด้วย?”
ฉินมู่วิเคราะห์และกล่าว “ข้าได้นำหีบและกิเลนมังกรหลบหนีการไล่ล่าของซิงอ้านไปพร้อมๆ กับผู้สูงศักดิ์ พวกเราย้อนเวลากลับไปเมื่อสี่หมื่นปีก่อนโดยบังเอิญ และได้ประสบกับสงครามที่กวาดล้างยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง แต่ทว่ามันกินระยะเวลาเพียงค่ำคืนเดียวเท่านั้น เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้นมา ป๋ายฉวีเอ๋อและชาวจักรพรรดิสูงส่งทั้งหลายก็จางหายไปราวกับทรายดำ โลกมิตินี้จะหายวับไปหลังจากรุ่งอรุณมาถึงเหมือนกับคราวก่อน และส่งพวกเรากลับไปยังแดนโบราณวินาศไหมนะ…”
วัวแก่กระแอมไอ และทำลายจังหวะความคิดของเขา “ศิษย์น้อง ข้าเกรงว่าที่นี่จะไม่มีเวลากลางคืน”
ฉินมู่ตกตะลึงและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเห็นดวงตะวันดวงมหึมาแขวนห้อยอยู่บนฟ้าเบื้องบน ในสภาสวรรค์บรรพกาลแห่งนี้ไม่มีทางที่จะเป็นกลางคืนไปได้!
วัวแก่กล่าว “จักรพรรดิก่อตั้งก็พูดว่าเขาได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดพิสดารมาก่อน และหายตัวไปเป็นเวลาหลายเดือน ข้าสงสัยว่าเหตุการณ์พิสดารที่พวกเรากำลังประสบพบเจอ นั้นเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับจักรพรรดิก่อตั้ง! นี่หมายความว่า พวกเราอาจจะถูกกักเอาไว้ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือนเหมือนกับที่จักรพรรดิก่อตั้งหนุ่มได้ประสบ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อจักรพรรดิก่อตั้งพบกับเหตุการณ์พิสดาร นั่นก็น่าจะเป็นเมื่อสามหมื่นสี่หมื่นปีก่อน เขาและข้าเป็นผู้คนที่มาจากยุคสมัยอันแตกต่างกัน ข้าไม่รู้ว่าเมื่อข้าไปพบเจอกับเขาจะยิ่งเกิดเหตุการณ์พิสดารยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ศิษย์พี่ซานตัว จักรพรรดิก่อตั้งจะจดจำเจ้าได้หรือไม่”
วัวแก่ตะลึงไปเล็กน้อย และเขากล่าว “แน่นอนว่าต้องจำได้ จักรพรรดิก่อตั้งดีกับข้าเป็นอย่างยิ่ง เข้ามาเชิญข้าตั้งหลายหนให้ไปปกครองราชวังสวรรค์สักหลังหนึ่ง แต่ข้าขยาดเรื่องยุ่งยาก จึงปฏิเสธเขาไป”
“พวกท่านทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉินมู่ถามต่อ
วัวแก่คิดอยู่เล็กน้อยและกล่าว “ข้านั้นติดตามนายผู้เฒ่าอยู่ตลอด ในช่วงแรกๆ ของขวบปี นายผู้เฒ่าเลี้ยงต้อนวัวจากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง และข้าเป็นวัวที่เขาต้อนไปเลี้ยง ข้าลอบชมดูนายผู้เฒ่าเรียนวิชาหมัด และข้าก็เรียนตามเขาไปด้วย อยู่มาวันหนึ่ง ข้าก็อ้าปากพูดและทำให้นายผู้เฒ่าแตกตื่นไปหมด จากนั้นพวกเราจึงกลายเป็นสหายรักกัน เมื่อตระกูลใหญ่นั้นรู้ว่าสุดยอดวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลถูกเด็กเลี้ยงวัวเรียนรู้ไป พวกเขาก็คิดจะฆ่าเขาดังนั้นข้าจึงแบกนายผู้เฒ่าวิ่งและวิ่ง เมื่อพวกเราวิ่งหนีไปเป็นเวลานานจนกระทั่งไปพบกับจักรพรรดิก่อตั้ง เขาก็ตีพวกผู้ไล่ล่าจนแตกพ่าย พวกเราจึงติดตามเขาไป ในตอนนั้นเขาเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวเท่านั้น”
“นั่นเร็วมากๆ เขาจะต้องจดจำท่านได้แน่ๆ”
ฉินมู่กระโดดลงจากหลังของเขาและเปิดถุงเต๋าตี้ เขานำเอายันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาและกล่าว “ศิษย์พี่ซานตัว แปลงร่างเป็นมนุษย์ก่อน”
วัวแก่แปลงร่างเป็นเทพเจ้าหัววัว และฉินมู่แปะยันต์กระดาษเหลืองไว้บนหน้าผากของเขา “นี่คือยันต์กระดาษเหลืองจากราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพ หากว่ามันแปะไว้กับท่าน คนอื่นๆ จะไม่มีทางมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านได้ ด้วยวิธีนี้ ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าจักรพรรดิก่อตั้งจะจดจำท่านได้ ข้ามีมันเพียงแผ่นเดียว แต่ข้าไปฉวยยันต์กระดาษเหลืองมาจากราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ ดังนั้นนี่จะต้องเป็นของดีวิเศษอย่างแน่นอน”
วัวแก่เลิกยันต์เหลืองขึ้นและถามด้วยความสงสัย “ถ้าไปแปะไว้ที่อื่นมันจะได้ผลอยู่ไหม แปะไว้บนหน้านี่มันแปลกประหลาดจนเกินไป มันทำให้ข้ารู้สึกพิลึกและบดบังทัศนวิสัยของข้า”
“ข้ายังไม่เคยลองแปะไว้ที่อื่นเลย”
ฉินมู่มองสำรวจดูเขา และพบว่ามองไม่เห็นใบหน้าเขาจริงๆ “ทำไมท่านไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ”
วัวแก่แกะยันต์เหลืองออกและซ่อนมันไว้ในร่างกาย “เจ้ายังมองเห็นใบหน้าข้าหรือไม่”
ฉินมู่ก็ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่มองออกรางๆ ว่าเขาเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยันต์กระดาษเหลืองของราชันย์ขุนนางใช้แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ เขาเอามันมาแปะใส่หน้าข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันใช้แปะบนใบหน้าได้เท่านั้น พวกเรารีบไล่ตามจักรพรรดิก่อตั้งกันเถอะ!”
เขาขับเคลื่อนวิชาเสกสรรและเปลี่ยนแปลงรูปหน้าของตนเอง มันแตกต่างจากโฉมหน้าเดิมของเขาโดยสิ้นเชิง
วัวแก่ขับเคลื่อนพลังวัตร และทำให้เขาเคลื่อนที่เร็วปานสายฟ้า พวกเขาตามไปทันปลาคุนยักษ์นั้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็กระโดดลงไปเหยียบบนหลังของมันราวประกายไฟ
คุนยักษ์ถูกกดลงมาอย่างเร็วจี๋จากหนิวซานตัว และร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างหวีดหวือ
“เทพสูงส่งที่ไหนมาหยอกล้อเทพผู้น้อยอย่างข้า”
ปลาคุนตัวนั้นร้องออกมา “ลงไปเร็วเข้า ลงไปเร็วเข้า! ร่างของเทพสูงส่งท่านหนักเกินไปแล้ว เทพผู้น้อยอย่างข้าไม่อาจแบกรับไหว!”
วัวแก่ใบหน้าแดงฉาน และรีบโคจรพลังปราณเพื่อยกร่างของตนเองให้ลอยขึ้น คุนยักษ์ที่กำลังจะร่วงลงพื้นเมื่อถูกแรงกดทับอัดเข้าใส่ก็พลันเบาตัว เขารีบกระพือครีบและดึงร่างเหินขึ้น เฉียดผ่านเทพหัวนกอันน่าเกรงขามที่่มีขนนกประดุจชั้นเมฆ
เทพเจ้านั้นพวยพุ่งด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ และราวกับว่าเขาคือดวงตะวันอันเจิดจ้า เขามองไปยังผู้คนบนหลังปลาด้วยความสนอกสนใจ และเขามิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพครองดาวมหาตะวันที่ฉินมู่ได้พบเห็นเมื่อก่อนหน้านี้
ปลาคุนยักษ์ผ่านไประหว่างปราสาทราชวังทั้งหลาย และโฉบลงไปอีกครั้งเพื่อผ่านไปทางสะพานเหินหาว ก่อนที่จะผงาดร่างขึ้นอีกทีเพื่อเหินทานสู่ชั้นเมฆ เมื่อเขาตั้งหลักมั่นคงดีแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพสูงส่ง ท่านขึ้นโดยสารมากลางทางและไม่ได้จ่ายค่าโดยสารเหมือนคนอื่นๆ ท่านจะต้องจ่ายยาวิญญาณให้ข้าเยอะกว่าปกติสักหน่อย”
วัวแก่หน้าแดงฉานและพึมพำ “ยาวิญญาณอะไร”
ผู้โดยสารบนหลังปลาทั้งหมดมองไปยังฉินมู่และหนิวซานตัวซึ่งจู่ๆ ก็มาโผล่บนหลังปลา หนึ่งในชายหนุ่มที่นั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุนชมชอบที่จะกินยาเม็ดมังกรหยก และเพราะว่าสภาสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนเกินไป คุนเทพยดาจึงรับส่งผู้โดยสารไปรอบๆ สภาสวรรค์ และรับยาเม็ดมังกรหยกเพื่อเป็นอาหาร หากว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่มียาเม็ดมังกรหยก ข้าก็มีอยู่ที่นี่จำนวนหนึ่ง ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าจ่ายให้ก่อนได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณเขา “ถ้าเช่นนั้น ก็ขอบคุณศิษย์พี่ท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร”
ชายหนุ่มผู้นี้ทั้งหล่อเหลาและเหนือธรรมดา และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าแซ่หยิน นามเฉาจิ่น ข้าควรจะเรียกหาศิษย์พี่ว่าอย่างไร”
ฉินมู่ตาเป็นประกาย “หยินเฉาจิ่น? แซ่หยินนี้หายากยิ่งนัก หรือศิษย์พี่หยินจะรู้จักคนที่มีเรียกหาว่าโอรสหยินสวรรค์”
ชายหนุ่มรูปหล่อผู้นั้นตื่นตระหนก และเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ข้าโด่งดังขนาดนั้นเชียวหรือ อันที่จริงแล้ว ข้าเรียกตนเองว่าโอรสหยินสวรรค์ในสถานที่เล็กๆ ของพวกข้า แต่ทว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องขำขันในบ้านนอกคอกนาเท่านั้น ส่วนคนผู้นี้คือพี่ฉิน!”