ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 733 เมื่อถ้อยคำเปรี้ยวฝาด
หลังจากที่ได้ยินว่าหยินเฉาจิ่นคือโอรสหยินสวรรค์ ฉินมู่ก็ยังไม่ฟื้นสติสตัง และเมื่อพี่ฉินที่หยินเฉาจิ่นกล่าวถึงเดินเข้ามา เขาก็โค้งคารวะแก่ฉินมู่และวัวแก่ “ชื่อของข้าคือฉินไค คนพเนจร ยินดียิ่งนักที่ได้พบกับท่านทั้งสอง”
ฉินมู่สะกดข่มความตื่นตระหนกในหัวใจ และเขาก็รีบคารวะกลับไป หนิวซานตัวเองก็รีบคารวะตอบ
เมื่อฉินมู่กำลังประสานมือคารวะอยู่นั่นเอง เขาก็เหลือบมองไปยังวัวแก่ และวัวแก่ก็พยักหน้าน้อยๆ
ฉินมู่เข้าใจทันทีว่า ‘พี่ฉิน’ ผู้นี้คือจักรพรรดิก่อตั้งที่วัวแก่กล่าวถึง เขานั้นเป็นชื่อแรกของบันทึกวงศาคณาญาติของตระกูลฉิน จักรพรรดิก่อตั้ง ฉินเย่!
เขาได้ตั้งชื่อตนว่าฉินไค และไม่ใช้ชื่อจริงของเขา เขาคงจะต้องตระหนักแล้วว่าเขานั้นอาจจะย้อนเวลากลับมายังอดีตด้วยความประหลาดพิสดารของแม่น้ำหย่ง ดังนั้นเขาจึงระวังตัวและใช้ชื่อปลอม
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นสำรวจตรวจตราดูจักรพรรดิก่อตั้ง และตัวเขาเองนั้นก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับจักรพรรดิก่อตั้งหนุ่มจริงๆ พวกเขาทั้งสองล้วนแต่สูงและแข็งแกร่ง และแม้ว่าทั้งคู่จะไม่หล่อเหลาเท่ากับโอรสหยินสวรรค์หนุ่ม แต่ทั้งคู่ก็ดูหมดจดและเหมาะสม
แต่ถึงอย่างไร เพราะว่าฉินมู่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพิการชรามาเมื่อยังเด็กๆ นิสัยสันดานของเขาจึงค่อนข้างเจ้าเล่ห์ แม้ว่าเขาจะดูจริงใจและสดใสเหมือนกับเด็กชายตัวโข่งที่อยู่ในวัยรุ่นๆ และดูไม่ประสีประสาอะไรทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน จักรพรรดิก่อตั้งมีบรรยากาศของชายหนุ่มฉกรรจ์ และเพียงแค่มองครั้งเดียว ผู้มองก็จะถูกดึงดูดด้วยลักษณะอันเหนือธรรมดาของเขา
ท่วงทีของเขามิใช่ท่วงทีของผู้นำอย่างที่วัวแก่ได้กล่าวถึง ในทางตรงข้าม มันเป็นกลิ่นอายท่วงทีของผู้ที่ได้บุกฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากของการริเริ่ม และผู้ที่ปณิธานมั่นคงมิอาจคลอนแคลนไปได้แม้ว่าจะพลิกผันผ่านเหตุไม่สมดั่งใจมาร้อยแปดพันประการ
นั่นคือท่วงทีของบุคคลผู้ซึ่งมีจิตเต๋าอันแน่วแน่ไม่หวั่นไหว และสมาทานเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เกริกไกรเอาไว้ แม้ว่าจักรพรรดิก่อตั้งจะยืนอยู่บนหลังปลาคุนยักษ์ แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่รอบตัวเขา แม้ว่าภาพทิวทัศน์จะไหลผ่านไปข้างกาย เขาก็ดูเหมือนกับยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของฟ้าและดิน ทุกสิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง และมีแต่เขาที่ตั้งมั่นไม่ไหวติง
นี่ไม่ใช่เพราะว่าร่างกายเขาไม่ขยับเขยื้อน ที่ไม่ขยับเขยื้อนคือจิตเต๋าและความวิริยะพากเพียรในหัวใจของเขา
ฉินมู่มีจิตคิดสงสัย จักรพรรดิก่อตั้งเช่นนี้ จะเป็นจักรพรรดิก่อตั้งที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลและไม่วกกลับมาสู้กลับได้อย่างไร
สายตาของจักรพรรดิก่อตั้งกระจ่างจ้า และแสงในดวงตาของเขาเหมือนกับทะเลสาบนิ่งสงบที่ทาบทอไปด้วยแสงตะวันยามบ่าย ไหล่ของเขานั้นกว้างกว่าฉินมู่เล็กน้อย และเขาก็ดูเหมือนจะเตี้ยกว่านิดหน่อย ในตอนที่เขายังเยาว์ คงจะประสบความยากลำบากมา
เมื่อเขาเห็นผู้เฒ่าที่มีใบหน้ารางเลือนคารวะตอบกลับมา จักรพรรดิก่อตั้งก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นขั้นวรยุทธของผู้เฒ่านี้ แต่เขาจะต้องเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสภาสวรรค์เป็นแน่ ทำไมตัวตนระดับนี้จึงโค้งคารวะตอบกลับมาอย่างนอบน้อม
โอรสหยินสวรรค์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จัก “ข้าเพิ่งจะได้พบกับพี่ฉินหลังจากที่ขึ้นมายังแดนเบื้องบน ฝีมือของเขาน่าตื่นตระหนก และเขาเองก็เลิศล้ำไม่ธรรมดา ข้าจะเรียกหาศิษย์พี่ทั้งสองนี้ว่าอย่างไรดี”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชื่อของข้าคือมู่ชิง นี่คือศิษย์พี่ของข้า เขาแซ่หนิว นามเปิน”
“หนิวเปิน?”
วัวแก่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และโชคยังดีว่ามียันต์กระดาษเหลืองของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ ดังนั้นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาจึงไม่ถูกพบเห็น เขาคิดอยู่ในใจ เมื่อครั้งกระโน้น หลังจากที่จักรพรรดิก่อตั้งได้สถาปนาสภาสวรรค์ของเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาก็เคยยิ้มแก่ข้าและบอกข้าว่าอยากจะเปลี่ยนชื่อให้ข้า เขาบอกว่าข้าไม่น่าจะชื่อหนิวซานตัว แต่น่าจะเรียกว่าหนิวเปินมากกว่า หรือว่าเขาจะตระหนักตั้งแต่ตอนนั้นว่าคือข้าที่อยู่ที่นี่
ฉินมู่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และเขาก็มองไปยังโอรสหยินสวรรค์พลางครุ่นคิด หากว่าข้าสังหารโอรสหยินสวรรค์ไปเลยในตอนนี้ โอรสหยินสวรรค์ในอนาคตจะหายตัวไปด้วยหรือเปล่า โอรสหยินสวรรค์ตอนนี้มิใช่ยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ แม้แต่เทพเจ้าเขาก็ยังไม่บรรลุ การสังหารเขาน่าจะง่ายดาย…
โอรสหยินสวรรค์เห็นฉินมู่มองมาที่เขาและยิ้มตอบไปทันที “พี่มู่ นี่คือมหาสมาคมวิเศษครั้งแรกแห่งสภาสวรรค์ อัจฉริยะเยาว์ทั้งหลายจากโลกมิติทุกขนาดต่างก็มากัน และพวกที่เข้าร่วมได้ล้วนแต่เป็นตัวตนอันเลื่องชื่อในโลกของพวกเขา ผู้คนอย่างพวกเราเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอาจจะเป็นปลาซิว แต่พี่หยินนั้นเป็นคนใหญ่คนโต”
โอรสหยินสวรรค์รีบถ่อมตนทันที แต่เขาก็ปิดบังความพึงพอใจของเขาไม่มิด “ข้าอาจจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในบ้านนอกชนบทของข้า แต่ข้าก็ยังไม่อาจจะเทียบเทียมกับคนอื่นๆ ได้”
ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นคง “ข้าเห็นว่าพี่หยินจะไม่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาแบบนี้ต่อไปในอนาคต เจ้าจะต้องประสบความสำเร็จอันสะเทือนฟ้าในกาลข้างหน้าแน่นอน!”
จักรพรรดิก่อตั้งสายตาวูบไหว และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าพี่หยินจะยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนี้ พวกเราก็สามารถอนุมานเรื่องราวมากมายจากสิ่งเล็กน้อยได้ พี่หยินจะต้องโด่งดังในอนาคตอย่างแน่นอน”
โอรสหยินสวรรค์ท่วมท้นไปด้วยความปลาบปลื้ม และเขาก็กล่าว “จักรพรรดิฟ้ายังต้องการที่จะขนานนามแก่สภาสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงเพรียกขานเทพบรรพกาลทั้งหมดในใต้หล้ามา พวกเราคงไม่อาจจะเข้าไปประจบเทพบรรพกาลได้ แต่ข้ามีเครือข่ายมิตรสหายอันกว้างขวาง สุภาพชนมากมายมาจากทุกเผ่าพันธุ์ในคราวนี้ และนั่นรวมไปถึงอัจฉริยะหลายคนที่ได้คิดค้นวิธีการบ่มเพาะสมบัติเทวะ อัจฉริยะกลุ่มนี้มิใช่เทพเจ้าบรรพกาล พวกเขาสรรค์สร้างสมบัติเทวะ และทำให้พวกเราสามารถฝึกวิทยายุทธได้”
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง ตัวตนที่ได้คิดค้นระบบการบ่มเพาะสมบัติเทวะอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่ว่าระบบการบ่มเพาะสมบัติเทวะถูกคิดค้นขึ้นมาโดยเทพบรรพกาลอย่างนั้นหรือ
เขามองไปที่จักรพรรดิก่อตั้ง และจักรพรรดิก่อตั้งก็ดูร้อนรนไม่ต่างกัน
หรือว่าในที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะได้พบกับผู้คนที่คิดค้นระบบสมบัติเทวะ
โอรสหยินสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่สระหยก และพวกเขาก็วางแผนที่จะจัดงานชุมนุมสระหยก จักรพรรดิฟ้าและเทพตนอื่นๆ ก็จะไปจัดงานมหาสมาคมสภาสวรรค์ ขณะที่พวกเราจะจัดงานชุมนุมสระหยก แม้ว่ามันจะไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่ากับมหาสมาคมสภาสวรรค์ แต่พวกเราก็ไม่อาจพลาดงานนี้ได้! ลือกันว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้นั้นกำลังจะประกาศบางสิ่งที่ใหญ่โต ข่าวคราวอันทำให้ทุกคนต้องแตกตื่น!”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเครือข่ายสหายของพี่หยินกว้างขวาง เจ้าจะสามารถแพร่งพรายข่าวให้พวกเราทราบก่อนสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่”
โอรสหยินสวรรค์ลังเลไปครู่หนึ่ง และเขาข่มเสียงให้เบาลงก่อนจะกล่าวอย่างลี้ลับ “จากคำร่ำลือ วิญญูชนสวรรค์ทั้งหลายได้ตรึกตรองเข้าใจวิธีการที่จะทำให้พวกเราบรรลุเป็นเทพเจ้าได้แล้ว! ในงานชุมนุมสระหยก เขาต้องการจะประกาศเรื่องนี้!”
ฉินมู่ร้องออกมา “วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า? ไม่มีผู้ฝึกวิชาเทวะที่ฝึกปรือจนเป็นเทพเจ้ามาก่อนเลยหรือ”
โอรสหยินสวรรค์และจักรพรรดิก่อตั้งมองไปที่เขาด้วยสีหน้าประหลาด
ฉินมู่พลันตระหนักว่าเขากล่าวบางอย่างผิดไป และหน้าแดงฉานขึ้นมา “ข้ามาจากบ้านนอก ก็เลยไม่มีความรู้อะไร โปรดอย่าหัวเราะเยาะข้าเลย ข้านั้นคิดมาตลอดว่ามีเทพเจ้ามากมายอยู่ในสภาสวรรค์”
จักรพรรดิก่อตั้งมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม จากนั้นเขาจึงอธิบาย “สภาสวรรค์ย่อมมีเทพเจ้ามากมาย นอกจากเทพบรรพกาลแล้ว ยังมีเทพเจ้าประเภทอื่นๆ อีก แต่เทพเจ้าเหล่านั้นมิได้มาจากการฝึกวรยุทธ พวกเขาถือกำเนิดมาก็แข็งแกร่งตามธรรมชาติ แต่ทว่า พวกเขาล้วนแต่มีอายุขัยอันจำกัด และเมื่อายุขัยของพวกเขาสิ้นสุดลง ดวงวิญญาณของพวกเขาก็จะกลับไปยังแดนใต้พิภพ”
โอรสหยินสวรรค์ปรบมือหนึ่งคราอย่างหนักหน่วง และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นแหละคือเหตุผล! พี่มู่ไม่มีความเข้าใจในด้านนี้ จึงไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ อันที่จริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงครึ่งเทพ และนั่นมาจากสายเลือดของพวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นทายาทของเทพบรรพกาล และเพราะว่าสายเลือดของพวกเขาบริสุทธิ์ พวกเขาจึงมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา แต่กระนั้นก็มิได้เป็นอมตะเหมือนกับเทพบรรพกาล ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามิได้พึ่งพิงการฝึกวรยุทธ แต่พึ่งพิงการเติบโต”
“การเติบโต?” ฉินมู่ยิ่งฉงนฉงาย
“ยกตัวอย่างเช่น ปลาคุนยักษ์ที่กำลังบรรทุกพวกเราไปยังสระหยกนั้นก็เป็นเทพเจ้าตนหนึ่ง”
โอรสหยินสวรรค์กล่าว “อันที่จริงแล้วปลาคุนยักษ์นี้เป็นทายาทของเทพบรรพกาล เมื่อพวกเขาเพิ่งกำเนิดมา ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ตอนที่พวกเขาแข็งแกร่งที่สุด ปลาคุนยักษ์อาศัยยาเม็ดมังกรหยกเพื่อเจริญเติบโต และไม่เหมือนกับพวกเรา พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกปรือ เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นร่างเต็มวัย กายเนื้อและพลังวัตรของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งเกินเปรียบปาน! ในตอนนั้น กำลังฝีมือของพวกเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าเทพบรรพกาลเลย แม้ว่าจะด้อยกว่าบ้าง แต่ก็ไม่ด้อยกว่ามาก”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวต่อ “แต่ทว่า ในเมื่อพวกเขามีอายุขัยจำกัด จึงถูกเรียกหาว่าเป็นครึ่งเทพ พวกเขาไม่อาจเป็นอมตะ ในทางกลับกัน พวกเราจะต้องเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ และฝึกวรยุทธมาเป็นขั้นๆ เพื่อเปิดสมบัติเทวะไปทีละชิ้นๆ มีแต่แบบนั้นพวกเราจึงจะสามารถฝึกปรือไปถึงเขตขั้นอันสูงส่งได้ ความแตกต่างระหว่างพวกเราและครึ่งเทพก็คือสายเลือดของพวกเรานั้นต่ำต้อย พวกเราเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะได้จากการฝึกปรือ แต่ครึ่งเทพสามารถเติบโตได้โดยอาศัยจากสายเลือดของพวกเขา”
ฉินมู่กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
แต่ทว่า เขาก็ยังมีความสงสัยใจมากไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเดินทางย้อนเวลามายังยุคอันแสนดึกดำบรรพ์
ยุคสมัยนี้ไม่มีแม้แต่ระบบฝึกวรยุทธขั้นปราสาทสวรรค์ และเพิ่งมีเพียงแต่ระบบฝึกวรยุทธสมบัติเทวะ ถ้าอย่างนั้น ยุคสมัยนี้คือยุคสมัยใด
สภาสวรรค์ดูเหมือนจะเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา และแม้แต่ชื่อก็ยังไม่แน่นอนตายตัว
หรือว่าสภาสวรรค์แห่งนี้ จะเป็นสภาสวรรค์ของเทพบรรพกาล
หากว่านี่คือสภาสวรรค์แห่งเทพบรรพกล ถ้าอย่างนั้น มีความเชื่อมโยงระหว่างสภาสวรรค์เทพบรรพกาลกับสภาสวรรค์นอกโลกหรือไม่ อันไหนคือสภาสวรรค์เก่าที่ผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งกล่าวถึง
นักบุญคนตัดไม้ไม่เคยกล่าว และตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่รู้ว่าศัตรูของพวกเขาคือใคร
ผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ดูจะไม่รู้ว่าสภาสวรรค์นอกโลกคือใคร พวกเขาเรียกพวกนั้นว่ามารนอกโลก
และสำหรับสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าใครคือศัตรูที่ทำลายล้างยุคสมัยแสงฉาน และไม่รู้ว่าคนพวกนั้นแข็งแกร่งสักเพียงไหน
ฉินมู่ครุ่นคิดและครุ่นคิด แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็หวั่นไหว ศิษย์คนโตของนักบุญคนตัดไม้ บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ เว่ยสุยเฟิง นั้นกำลังเสาะหาแง่อัศจรรย์ภายใน และบัดนี้เขาก็หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย
บรรพจารย์ก่อตั้งได้เดินทางไปอย่างกว้างขวาง และทิ้งแผนที่ภูมิประเทศเอาไว้จำนวนหนึ่ง หนึ่งในสิ่งที่เขาส่งต่อให้ผู้เฒ่าชิงหวงเก็บรักษานั้นก็เป็นป้ายประกาศิตทัพอันโบราณกาลเป็นอย่างยิ่ง ป้ายประกาศิตทัพดังกล่าวยังคงอยู่ในมือของฉินมู่ ดังนั้นแล้ว ป้ายประกาศิตนี้มาจากยุคสมัยใดกันแน่
ข้ายังคงไม่อาจสังหารโอรสหยินสวรรค์ได้ในตอนนี้
ฉินมู่เผยรอยยิ้มละไมบนใบหน้าและครุ่นคิดอยู่ในใจ ถึงอย่างไรโอรสหยินสวรรค์ก็เป็นผู้ให้ข้อมูลท้องถิ่นที่นี่ ดังนั้นข้ายังต้องการเครือข่ายผู้คนเพื่อที่จะค้นพบความลับของยุคสมัยให้มากไปกว่านี้ และเปิดเผยความจริงที่ถูกกลบฝังในประวัติศาสตร์ให้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังต้องการให้เขาแนะนำผู้คนในตำนานเหล่านั้นให้ข้าได้รู้จัก ผู้ก่อตั้งทั้งหลายที่คิดค้นระบบฝึกวรยุทธแห่งสมบัติเทวะและปราสาทสวรรค์!
หัวใจเขาเต้นระทึก และเขาก็รู้สึกรุ่มร้อนไปหมด
ผู้ก่อตั้งเหล่านั้นได้สร้างสรรค์ระบบฝึกปรือทักษะเทวะให้แก่ชนรุ่นหลัง ในที่สุดเขาก็จะได้พบกับพวกเขา!
วัวแก่จิ้มเขาเบาๆ ฉินมู่จึงได้สติกลับคืนมา เขายังคงเห็นจักรพรรดิก่อตั้งมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มอันไม่เชิงยิ้ม และรู้สึกแตกตื่นในใจ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเขากล่าวอะไรพลั้งพลาดไปเมื่อครู่ ได้สะกิดความสงสัยจับพิรุธของจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ทว่าจักรพรรดิก่อตั้งยังไม่ฉีกหน้าเขาออกมา
อันที่จริง ข้าก็อยากจะบอกเจ้าอยู่หรอกว่าข้าคือลูกหลานรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดของเจ้า
ฉินมู่เผยรอยยิ้ม แต่เขาไม่พูดสิ่งที่คิดเอาไว้ เขาครุ่นคิดในใจ ข้าอยากจะบอกกับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าพูดออกไปไม่ได้…
โอรสหยินสวรรค์วิ่งไปที่ศีรษะของคุนยักษ์และตะโกนมาจากที่ไกลๆ “มาที่นี่เร็วเข้า! มาดูสิ รถม้าของเทพีหยินสวรรค์แล่นมาแล้ว!”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปที่นั่นเถอะ”
ฉินมู่พยักหน้า และทั้งสองคนก็เดินเคียงกันไปยังศีรษะของปลาคุนยักษ์ ที่นั่นยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่รีบรุดเข้ามาเพื่อมองไปยังรถลากของเทพีหยินสวรรค์อย่างตื่นเต้น
“เจ้าเข้ามาในเหตุการณ์พิสดารนี้ได้อย่างไร” จักรพรรดิก่อตั้งมองตรงไปข้างหน้าและถามอย่างแผ่วเบา
วัวแก่กลายเป็นกระสับกระส่าย และเขาก็กระตุกชายเสื้อของฉินมู่เพื่อให้สัญญาณว่าอย่าออกปากยอมรับ
ฉินมู่กล่าวอย่างแผ่วเบาเช่นกัน “ก็เหมือนกับเจ้า ข้าเผลอเดินเข้าไปในก้อนหมอก และข้าก็มาโผล่ที่นี่”
จักรพรรดิก่อตั้งมองมายังเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาถึงที่นี่ได้หลายวันแล้ว และเมื่อตอนที่ข้าเพิ่งมาถึง ข้าก็ตื่นตระหนกอย่างเหลือแสน แต่ทว่า ในตอนนี้ข้าสงบใจลงได้แล้ว การได้เข้ามาในยุคสมัยอันประหลาดพิสดาร และเป็นประจักษ์พยานต่อแหล่งกำเนิดของอารยธรรมในอนาคตของพวกเรานั้นเป็นสิ่งที่ควรสำรวมและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ข้ารู้สึกว่าข้าควรเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์และไม่รบกวนยุคสมัยนี้”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วอย่างไรต่อให้เจ้ารบกวนขัดจังหวะมัน เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งจะถูกลิขิตมาแล้วหรือไม่ บางที ด้วยการรบกวนขัดจังหวะยุคสมัยนี้ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอนาคต หากว่าเจ้าฝืนตัวเองไม่ให้ยื่นมือเข้าไปขัดจังหวะมัน เจ้าอาจจะทำให้เกิดเรื่องราวอันเกินความคาดเดาในอนาคตก็เป็นได้”
จักรพรรดิก่อตั้งเลิกคิ้ว และเขากล่าวอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนว่าความคิดของเจ้าจะแตกต่างไปจากข้า ข้าคิดว่าทั้งข้าและเจ้ามาจากแม่น้ำหย่งเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเดาผิด ผู้คนที่เดินกันคนละมรรคามิอาจร่วมแผนการกันได้”
ฉินมู่ยิ้มหยัน “เมื่อคำพูดเปรี้ยวฝาด พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเห็นเจ้าดื้อรั้นหัวแข็ง แต่หัวใจข้างในของเจ้าทั้งอ่อนแอและไร้ความสามารถ เจ้าเพียงแต่เสาะหาความสำราญในชีวิต ข้าอับอายแทนเจ้าจริงๆ”
จักรพรรดิก่อตั้งขมวดคิ้ว และเพ่งพิศดูเขาขึ้นๆ ลงๆ “ชื่อที่เจ้าใช้ก็ปลอม แม้แต่ใบหน้าของเจ้าก็เทียมเท็จ นี่แสดงว่าเจ้ามีความลับดำมืดในหัวใจ เจ้าเป็นตัวตนที่ทะเยอทะยานและอำมหิตที่หมายจะก่อกวนยุคสมัยนี้ให้โกลาหล ข้าจะต้องหยุดยั้งเจ้าเอาไว้!”
ฉินมู่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ชื่อของเจ้าก็ปลอม เจ้าดูมั่นคงและห้าวหาญ ทำให้ง่ายที่จะโกหกผู้อื่น เพื่อให้พวกเขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็เป็นตัวบัดซบที่ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เจ้านั้นดีไม่ได้เศษเสี้ยวของภาพเสแสร้งที่เจ้าแสดงออกมา!”
วัวแก่ปาดเหงื่อเย็นเยียบที่หน้าผาก และเขาก็โอดครวญในใจ ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าจะทำอย่างไรดี! ทำไมทั้งสองคนถึงอารมณ์ร้อนกันแบบนี้ หากว่าทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดวิวาทกับบรรพชนเฒ่าของเขา เขาก็คงจะเริ่มต่อยตีบรรพชนเฒ่า! ถ้าเขาถูกบรรพชนเฒ่าอัดจนน่วมก็พอว่า แต่หากว่าเขากระทืบบรรพชนเฒ่าจนน่วมแล้วละก็ นั่นมันคือเรื่องใหญ่!
ในตอนนั้นเอง เสียงของโอรสหยินสวรรค์ก็ดังมา “รถลากของเทพีหยินสวรรค์มาทางนี้แล้ว! พี่ฉิน พี่มู่ มาที่นี่เร็วเข้า!”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเบือนสายตาออกจากกัน และทั้งสองคนก็เดินกะเผลกไปข้างหน้า จังหวะปราณของพวกเขาพัวพันกันและกัน ในเมื่อต่างก็พยายามจะประชันขันแข่งกับอีกฝ่าย